ตอนที่ 44: หาวิธีถ่วงเวลา
เผยลี่เชินหัวเราะเบา ๆ “ทำไมหัวหน้าหม่าสรุปเร็วขนาดนี้หละครับ ผมถือว่าได้เปรียบสำหรับราคาของที่ดิน การดำเนินการต่าง ๆ พวกเราก็เตรียมไว้เรียบร้อย ตอนนี้ขาดแค่การอนุมัติจากคุณเท่านั้น”
“ก็จริงอย่างที่คุณพูด แต่ที่ดินนี้มีข้อขัดแย้งบางอย่าง ก่อนที่จะจัดการไม่มีทางจะอนุมัติได้” หม่าสวี้หยางเอนตัวพิงเบาะ แต่ในนัยน์ตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เผยลี่เชินยิ้มไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้บรรยากาศมาคุ ฝืนคุยต่อไปยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปมากขึ้น
เขามองไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ข้าง ๆ สั่งไปว่า “ไปหยิบไวน์ตรงนั้นมาสองแก้ว วันนี้ได้มีโอกาสเจอหัวหน้าหม่า พวกเราจะดื่มสักหน่อย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเดินไปหยิบไวน์มาสองแก้ว ตอนที่เธอกลับมาเผยลี่เชินได้เปลี่ยนประเด็นพูดคุยแล้ว บรรยากาศผ่านคลายจากเดิมขึ้นเยอะ
ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งจะเสิร์ฟไวน์ให้ โทรศัพท์ของเผยลี่เชินดังขึ้น เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอแล้วรีบมองไปทางหม่าสวี้หยาง “ขอโทษนะครับหัวหน้าหม่า ผมขอตัวรับโทรศัพท์หน่อยครับ”
หม่าสวี้หยางพยักหนา ดื้มไวน์อย่างไม่แยแส เผยลี่เชินลุกขึ้นจากไปเหลือเพียงไป๋เสว่เอ๋อร์และหม่าสวี้หยางอยู่สองคน
หม่าสวี้หยางดื่มไลน์ตามลำพัง ไม่มีวี่แววที่จะสนใจเธอสักนิด ผ่านไปไม่นานเขามองไปทางที่เผยลี่เชินเดินจากไปแล้วหันมามองไป๋เสว่เอ๋อร์ “เลขาไป๋ครับ ผมยังมีธุระต่อ เอางี้นะ คุณฝากบอกประธานเผยว่าถ้าครั้งนี้ยังมีโอกาสจะคุยกับเขาอีกทีหนึ่ง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยิน หัวใจบีบตัวแน่นแล้วรีบลุกขึ้นตาม
หม่าสวี้หยางพูดแบบนี้จงใจจะขอตัวลาก่อน แต่ถ้าเขาไปแล้วที่ดินจะทำยังไงหละ
เธอต้องให้หม่าสวี้หยางอยู่ต่อ ไม่งั้นเขาจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินไปครึ่งก้าวแล้วยผุดรอยยิ้มมาตรฐาน “หัวหน้าหม่าคะ เมื่อกี้ประธานเผยบอกว่าจะดื่มกับคุณอีกสักแก้ว นี่ยังไม่ทันได้ดื่มเลย คุณรออีกสักนิดได้มั้ยคะ”
หม่าสวี้หยางลังเล ขมวดคิ้วมองเหล้าบนโต๊ะผ่าน ๆ แล้วเห็นหน้าตายิ้มแย้มของไป๋เสว่เอ๋อร์ จึงกลับมานั่งอีกครั้ง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือแว๊บหนึ่ง ในใจกังวงร้อนรนอย่างยิ่ง ถ้าเผยลี่เชินยังไม่กลับมาภายในไม่กี่นาที เผลอ ๆ หม่าสวี้หยางอาจจะไปจริง ๆ ก็ได้ เธอต้องหาวิธีถ่วงเวลาไว้ก่อน
สายตาเธอแสกนบนตัวหม่าสวี้หยางหนึ่งรอบ เมื่อสายตากวาดไปถึงปกเสื้อของเขาได้ชะงักลง ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจเข้าลึก ๆ แล้วถามว่า “หัวหน้าหม่าคะ ขออนุญาตถามนะคะ แบบปักเย็บบนปกเสื้อคุณใช้การปักเย็บแบบซูโจวหรือเปล่าคะ”
หม่าสวี้หยางชะงักแล้วก้มลงมองปกเสื้อตัวเอง ตั้งตัวได้แล้วพยักหน้าใส่ไป๋เสว่เอ๋อร์ “คุณรู้ได้ไง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มบาง ๆ “ลวดลายบนเสื้อเชิ้ตของคุณเป็นเอกลักษณ์มาก ตอนที่คุณดื่มไวน์เมื่อกี้เห็นปกเสื้อพอดี งานประณีตมาก ก่อนหน้านั้นฉันเคยเห็นผลงานการปักเย็บแบบซูโจว คิดว่าเหมือนมากก็เลยลองทายดูค่ะ”
หม่าสวี้หยางไม่คิดว่าเธอจะรู้เรื่องแบบนี้ เมื่อโดนไป๋เสว่เอ๋อร์ชมเช่นนี้ สีหน้าเริ่มผ่อนคลายลง “ผมคิดว่าวัยรุ่นอย่างพวกคุณคงจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ซะอีก”
“ฉันมีป้าคนหนึ่งเป็นศิลปินเย็บปักแบบซูโจว ทำงานปักเย็บแบบซูโจวโดยเฉพาะ ตั้งแต่อายุ 18 เขาทำมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว เมื่อก่อนป้าชอบให้ถุงเครื่องหอมหรือไม่ก็ผ้าเช็ดหน้า ดังนั้นฉันจึงมีความทรงจำกับงานปักเย็บแบบนี้ แต่ว่าเมื่อสองปีที่แล้วป้าสุขภาพไม่ดีจึงไปพักฟื้นในป่า ฉันเองก็ไม่ได้เจอป้ามานานแล้วเหมือนกันค่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดอย่างไม่ได้ตั้งใจมากนัก แต่หม่าสวี้หยางตาแววเป็นประกาย เขารีบเอ่ยปากถาม “ขอถามหน่อยได้มั้ยว่าศิลปินท่านนี้มีนามว่าอะไรครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าสบตาหม่าสวี้หยาง “หร่วนชิวไป๋ค่ะ ศิลปินงานฝีมือศิลปะการปักเย็บวัฒนธรรมซูโจว”
แววตาหม่าสวี้หยางเป็นประกายขึ้น มีความตื่นเต้นเบา ๆ “อาจารย์หร่วน ผมสะสมผลงานของอาจารย์หร่วนเยอะมาก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบถาม “หัวหน้าหม่ารู้จักป้าหร่วนหรอคะ”
“รู้จักสิครับ ผมสนใจวัฒนธรรมปักเย็บซูโจวมาก งานอดิเรกปกติของผมคือสะสมงานฝีมือปักเย็บซูโจว ผมชื่นชมศิลปินรุ่นเก๋าที่ซูโจวพวกนี้มานานแล้ว”
“บังเอิญขนาดนี้หรอคะ แต่ตอนนี้ป้าหร่วนพักฟื้นอยู่ในป่า ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้แกอยู่ไหนเหมือนกันค่ะ แต่ก่อนแกจะไป แกให้ผลงานปักเย็บซูโจวกับฉันไว้” ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดไปด้วยล้วนโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา หารูปให้หม่าสวี้หยางดู
หม่าสวี้หยางเห็นรูปปุ๊บตาแพรวระยิบทันที เขาซูมเข้าซูมออกดูรูปภาพหลายรอบ
“งานละเอียด ‘นกนางนวล’ ความหมายดี แถมยังเป็นผลงานชิ้นเดียวในโลก เลอค่าอย่างยิ่ง ก่อนที่อาจารย์หร่วนจะไปยังให้ผลงานเลียนแบบให้กับคุณ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มแล้วเก็บโทรศัพท์กลับมา ตอบด้วยเสียงเบา “ป้าหร่วนเป็นเพื่อนสนิทของพ่อฉัน ปกติความสัมพันธ์ดีเยี่ยมค่ะ ต่างดูแลกันและกัน”
หม่าสวี้หยางพยักหน้าอยู่ในความเงียบไม่พูดไม่จา ไป๋เสว่เอ๋อร์ยกแก้วไวน์ขึ้น “หัวหน้าหม่า ฉันคิดมาตลอดว่าคนที่เข้าใจงานปักเย็บมีเทสหมด วันนี้ได้เจอกับคุณถือว่าเป็นวาสนา ฉันขอเชิญคุณดื่มกับฉันสักแก้วนะคะ”
หม่าสวี้หยางยิ้มและรีบยกแก้วขึ้นมาชน ไป๋เสว่เอ๋อร์ซดเหล้าเข้าปากคำหนึ่งแล้ววางแก้วลง บังเอิญเห็นแววตาลังเลของผู้ชายตรงหน้า ถือโอกาสพูดขึ้น “ถ้าหัวหน้าหม่าชอบงานปักเย็บชิ้นนี้ ฉันให้คุณได้นะคะ”
หม่าสวี้หยางได้ยินขมวดคิ้วขึ้นแล้วส่ายมือไปมา “ไม่ได้ครับ ผมรับไว้ไม่ได้”
“จริง ๆ แล้วฉันไม่ค่อยเข้าใจงานปักเย็บเท่าไหร่ แต่สำหรับการชื่นชมต่อป้าหร่วนฉันพอเข้าใจ ผลงานชิ้นนี้เป็นเพียงงานฝีมือชิ้นหนึ่งสำหรับฉัน แต่สำหรับคุณแล้วมีความหมายลึกซึ้งมากกว่า จะว่าไปนี่เป็นศิลปะวัฒนธรรมของประเทศเรา บางคนกำลังจะลืนเลือน แต่บางคนกลับกำลังสืบสานต่อไป ถ้าคุณสามารถสะสมผลงานปักเย็บพวกนี้มากขึ้น และมองหาโอกาสจัดแสดงให้ทุกคนเห็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมเหล่านี้หละก็ ฉันยินดีที่จะมอบผลงานชิ้นนี้ให้กับคุณค่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดอย่างตรงไปตรงมา เธอจงใจขีดเส้นแบ่งแยกระหว่างการมอบของให้และการติดสินบน รวมถึงก่อนหน้านั้นเธอรู้ว่าหม่าสวี้หยางไม่ใช่คนที่เห็นแก่ได้แต่อย่างไร ถึงจะยินยอมมอบผลงานนี้ให้กับเขา
หม่าสวี้หยางได้ยินแล้วครุ่นคิดสักพักไม่เอ่ยปากพูดใด ๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์บอกว่า “ถ้าคุณหลงรักวัฒนธรรมปักเย็บซูโจว งั้นสิ่งที่คุณสามารถทำได้อาจจะมากกว่าเลขาเล็ก ๆ อย่างฉัน ดังนั้นฉันมอบงานศิลปะชิ้นนี้ให้คุณ ถ้าหากคุณสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมดั้งเดิมผ่านงานศิลปะที่คุณสะสมได้ ถือว่าเป็นเกียรติมากสำหรับฉันค่ะ”
สุดท้ายหม่าสวี้หยางก็สั่นคลอน เขามองด้วยสายตาชื่นชมไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ “ความจริงแล้ว ผมคิดว่าจะไปขอโซนนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์เมืองหนานไห่เพื่อโชว์วัฒนธรรมปักเย็บซูโจว ถ้าคุณจะมอบงานศิลปะชิ้นนี้ให้ผมอย่างไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ผมขอขอบคุณมากครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะหัวหน้าหม่า การเผยแพร่วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่คนจีนอย่างเราควรจะทำ คุณเป็นแบบอย่างที่ดีมากค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ได้จงใจ เหลือบเห็นเผยลี่เชินกำลังเดินมุ่งมาทางนี้พอดี
โทรศัพท์นี้เขาคุยเกือบสิบนาที สีหน้าตึงเครียด เหมือนเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจเข้าลึก ๆ เบี่ยงสายตามองมาทางหม่าสวี้หยาง เอ่ยปากขึ้น “หัวหน้าหม่าคะ ฉันขอนามบัตรคุณหน่อยค่ะ หลังจากฉันกลับไปที่เมืองไห่เฉิงแล้วจะรีบติดต่อแล้วส่งผลงานให้คุณนะคะ”
“ขอบคุณครับ รบกวนด้วยนะครับ”หม่าสวี้หยางยิ้มแล้วหยิบนามบัตรยื่นให้เธอ
เผยลี่เชินเดินมาถึงพอดี เขาเห็นท่าทางที่ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังรับนามบัตรไว้ สายตาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานกลับมาเป็นปกติแล้วหันหน้าไปทางหม่าสวี้หยาง ถามด้วยเสียงอารมณ์ดี “หัวหน้าหม่า พวกคุณคุยอะไรกันอยู่ครับ?”