“อะไรนะ” น้ำเสียงของจงรั่วปิงสูงขึ้น
จ้องเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยถาม “ความหมายของเจ้าคือ เป่ยเฉินเสียงคิดรับเจ้าเป็นพระชายารองแล้ว”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า จากนั้นสีหน้าไม่คัดค้าน “ข้าไม่สนใจ บุรุษที่คิดเองเออเองหลงตัวเองเกินเหตุเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าเข้าใจหรือยัง”
“ไอ้เจ้าคนตาบอดนี่มันอะไรกัน” จงรั่วปิงเกิดโทสะแล้ว
คำสบถหยาบคายทำเอาคนทั้งหมดในที่นี้ต่างกระตุกมุมปาก
ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนยังนับว่าเข้าใจอีกฝ่าย ถึงแม้นางเป็นคุณหนูมีสกุล แต่ว่าออกท่องยุทธภพเป็นเวลานาน หลังจากมีน้ำโหแล้ว เอ่ยวาจาหยาบคาย…ได้คล่องปากนัก
ยามนี้จงรั่วปิงด่าว่า “เป่ยเฉินเสียง ตาเขาไปงอกอยู่ที่ก้นแล้วหรือไง ข้าจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่งเป็นพระชายา ยังอยู่ที่นี่ไม่ทันแต่งเข้าตระกูล เขาคิดรับพระชายารองแล้วหรือ เขาจะเอาศักดิ์ศรีข้าไปทิ้งไว้ที่ไหน ข้าจงรั่วปิงเป็นสตรีที่พร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ เขากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียว”
เยี่ยเม่ยหางตากระตุก ดูท่าสตรีเบื้องหน้านาง ก็เป็นคนมั่นใจในตัวเอง
เหล่าบุรุษจำนวนไม่น้อยในเหตุการณ์ ยื่นมือออกมากุมหน้ากันเป็นแถว พวกเขาใครก็คิดไม่ถึงว่า แม่นางจงที่รูปโฉมน่าชมราวกับนางฟ้า จะเอ่ยคำด่าพวกนี้ออกมาได้
พวกเขา…เลื่อมใสนัก
เห็นจงรั่วปิงโมโหจนทนไม่ไหว ซือหม่าหรุ่ยใช้ศอกระทุ้ง “ใจเย็น ใจเย็นก่อน อย่าได้แตกตื่นไปนัก ภาพลักษณ์ ระวังภาพลักษณ์”
“ภาพลักษณ์เหลวไหล ข้าจะถอนหมั้น” จงรั่วปิงรีบพ่นคำออกมาทันที
ไม่ช้า นางก็มองเยี่ยเม่ย “เจ้าว่ามาเถอะ เจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร จะตีหรือจะฆ่า”
ซือหม่าหรุ่ยรีบเบือนหน้ามองเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด แล้วเป็นซือถูเฉียงแทรกกลางยุแยง จงรั่วปิงรู้ความจริง ไม่สู้ปล่อยไปเถอะนะ”
ซินเยว่เยี่ยนเองก็พยักหน้า “จริงด้วย หากฆ่าปิงปิงจริง นั่นไม่เท่ากับตกหลุมพรางของนางแพศยาซือถูเฉียงแล้ว”
คำพูดนี้มีเหตุผลไม่น้อย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า สายตาที่มองจงรั่วปิงไม่นับว่าเป็นมิตร แต่ก็ทอนความเย็นชาลง “เดิมทีไร้เรื่องราว ล้วนเป็นเพราะปากคนคอยยุยง คนเราควรแยกแยะเหตุผล ก็สามารถเข้าใจเรื่องเท็จจริง ผู้อื่นเอ่ยอะไรก็เชื่อเช่นนั้น ผลลัพธ์ของความมีจิตใจดีงามและความเชื่อ ทำให้เจ้าสูญเสียความเยือกเย็น หุนหันเกินเหตุ สุดท้ายก็เป็นแค่อาวุธของผู้อื่น หวังว่าแม่นางจงจะจดจำคำพูดของข้าในวันนี้ให้ดี”
คราวนี้ คนอื่นๆ ในเหตุการณ์ต่างพยักหน้า
จริงด้วย เรื่องราวมากมายบนโลก ล้วนถูกปลุกระดมขึ้นมา เพราะจงรั่วปิงเชื่อซือถูเฉียงมาเกินไปถึงถูกหลอกใช้
หลังจากจงรั่วปิงฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็พยักหน้า สูดลมหายใจลึก ถามกลับ “ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย ตัดสินได้อย่างไรว่าข้ามีจิตใจดี”
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว “ง่ายมาก คนเจ้าเล่ห์ มองผู้อื่นย่อมคิดว่าเจ้าเล่ห์ ถึงต้องระแวงสงสัย ส่วนคนมีเมตตา จิตใจดีงาม มองผู้อื่นว่าจิตใจดีงาม ดันนั้นใครพูดอะไรก็เชื่อ ง่ายๆ เท่านี้เอง”
ความจริงแล้วคนถูกหลอกได้ง่าย หลายๆ ครั้งไม่เกี่ยวกับความโง่เขลา กลับเป็นเพราะจิตใจดีมากเกินไป
จงรั่วปิงได้ยินดังนี้ กลับถามเยี่ยเม่ยอีกประโยค “อย่างนั้นไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย คิดว่าตนเองเป็นคนเจ้าเล่ห์ หรือเป็นคนมีจิตใจดีงามกันเล่า”
“สำหรับพวกเจ้าเล่ห์ข้าก็เจ้าเล่ห์ สำหรับคนดีข้าก็ดีด้วย” เยี่ยเม่ยตอบทันควัน สรุปอีกว่า “ต้องดูว่าจะจัดการเรื่องราวอย่างไร อย่างแรกต้องรู้จักมองคน”
จงรั่วปิงประสานมือ “ได้รับการชี้แนะแล้ว”
คราวนี้ นางเลื่อมใสจากใจ
คำพูดนี้ไม่ผิด อย่างแรกต้องเรียนรู้การมองคน รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร รู้ว่าอีกฝ่ายโฉดชั่วหรือว่าจิตใจดี ถึงจะรู้ว่าควรใช้วิธีการโฉดชั่ว หรือวิธีการดีงามเพื่อรับมือ
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางเลื่อมใสของจงรั่วปิง ก็รู้ยามนี้อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายต่อตนเองอีกแล้ว
มีศัตรูมากขึ้นคนหนึ่งไม่สู้มีสหายเพิ่มขึ้นคนหนึ่ง ด้วยนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไปเถอะ หากยังมีครั้งหน้า ข้าไม่ใจกว้างอีกแล้ว”
จงรั่วปิงพยักหน้า “ความผิดพลาดเช่นเดิม ข้าไม่มีทางทำผิดเป็นครั้งที่สอง หากผิดครั้งที่สอง นั่นไม่เรียกว่าจิตใจดีแล้วแต่นั่นคือโง่เขลา ยังมีอีก แม่นางเยี่ยเม่ย หากเจ้าและข้าต่างเป็นบุรุษ หากมีสักวันที่ต้องการแย่งชิงอำนาจ อาศัยสติปัญญาและความกล้าแกร่งของเจ้า ข้าจะต้องติดตามจนตัวตายอย่างแน่นอน”
คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง มองอีกฝ่าย “เหตุไฉนต้องแบ่งแยกเพศด้วยเล่า สตรีขอเพียงมีความพยายาม ต้องมีสักวันที่จะทำลายการยึดติดเรื่องเพศไปด้วย พิสูจน์ว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าบุรุษ ร่วมมือกับสตรีทั่วหล้า ผงาดค้ำแผ่นดินขึ้นมาได้”
เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาจงรั่วปิงพลันวาวโรจน์
พูดตามจริง หลายปีที่ผ่านมาจงรั่วปิงรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมช่างไม่ยุติธรรม ไฉนมีเพียงบุรุษถึงได้เป็นขุนนาง ไฉนทุกอย่างมักมีแต่บุรุษเป็นผู้พูด ไฉนฮ่องเต้ถึงต้องเป็นบุรุษ
แต่ความคิดเช่นนี้ของนาง ไม่ว่าจะบอกใคร อีกฝ่ายต่างรู้สึกว่านางทำผิดศีลธรรมจรรยา คิดไม่ถึงว่าจากปากคนที่นางเห็นว่าเป็นศัตรู กลับได้คำตอบที่แตกต่างออกไป
จงรั่วปิงประสานมือ “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าต้องไปแล้ว เพราะว่าสิ่งแรกที่ข้าจะทำทันทีก็คือกลับเมืองหลวงไปถอนหมั้น ภายหน้าหากมีโอกาส หวังว่าจะได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับเจ้า”
“เชิญ” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สีหน้าเย็นชาดังเก่า
เยี่ยเม่ยรู้สึกได้อย่างหนึ่ง ภายหน้าจงรั่วปิงจะมีความคิดเช่นเดียวกับนางไม่น้อย
ในยามนี้เยี่ยเม่ยและจงรั่วปิง ใครก็ต่างคิดไม่ถึงว่า อนาคตยามที่เยี่ยเม่ยทำศึก จงรั่วปิงจะคอยติดตามอยู่ด้านหลังจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทีของจงรั่วปิงเปลี่ยนไปอย่างกลับตาลปัตร เห็นเยี่ยเม่ยไม่คิดสังหารคนอีก ซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยพลันคลายใจ
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ข้าว่านะปิงปิง เจ้าชอบองค์ชายใหญ่ขนาดนั้นจริงหรือ ข้าได้ยินว่าเขาโมโหมาก เตรียมกลับมาหาเรื่องในไม่ช้า”
“เพ้ย” จงรั่วปิงรีบร้องออกมา “ข้าเห็นเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันจะได้พูดคุยสักประโยค ความรักมีจากไหนกัน เพียงแต่คนทั่วหล้ารู้ว่าเขาคือคู่หมั้นของข้า ข้าทำไปเพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองก็พอแล้ว ในเมื่อเขาไม่เคารพข้า ข้ายังไม่ทันแต่งเข้า ก็คิดรับพระชายารองแล้ว ข้ามีคู่หมั้นพรรค์นี้จะมีประโยชน์อันใด ขอตัว”
เห็นนางจากไปด้วยความโมโหโทโส ท่าทางมุ่งกลับไปเอาเรื่องที่เมืองหลวง
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย ถามว่า “ในที่นี้หากยังไม่แต่งภรรยาเอก แต่งภรรยารองก่อนเป็นเรื่องร้ายแรงมากเหรอ”
“อืม จะว่าร้ายแรงก็ร้ายแรง บอกว่าไม่ร้ายแรงก็ไม่ร้ายแรง” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “ความจริงเรื่องมีอยู่บ่อยครั้ง แต่ยากที่จะไม่ให้เข้าใจว่า ให้เกียรติภรรยาเอกหรือว่าสามีรักภรรยารองมากกว่า ปิงปิงรักศักดิ์ศรีขนาดนี้ ต้องทนรับไม่ได้ เพียงแต่อย่างไรก็เป็นการแต่งงานของราชนิกุล ไม่ใช่อยากถอนหมั้นก็ถอนหมั้นได้”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าเอ่ย “ข้ารู้แล้ว”
ดังนั้น นางสมควรตักเตือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสักหน่อยหรือไม่ อย่าได้เล่นลูกไม้อะไรลับหลัง ทำเรื่องให้นางต้องเสียหน้า
อืม เดี๋ยวก่อน นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูคล้ายจะไม่มีความสัมพันธ์อันใดกันนะ
ในขณะที่ใช้ความคิด พลันมีบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้าหาเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ดีแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วหนีออกจากบ้านไปแล้ว”