ตอนที่ 63 ผิดพลาดครั้งใหญ่
หรือว่าช่วงนี้เขาจะดีกลับเธอเกินไป? ทำให้เธอนิสัยเสีย ตัดสินใจทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวเขาก่อนสักนิด
เผยลี่เชินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ แม้ว่าการกระทำครั้งนี้ของเธอจะส่งผลดี แต่เธอกลับไม่ได้คิดว่าถ้าหากผลลัพธ์ที่ได้เกิดตรงกันข้าม เธอจะทำให้พวกเขา ทำให้เผยซื่อต้องอับอายแค่ไหน
สิ่งที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำในครั้งนี้ เท่ากับบีบบังคับลู่ผิงชวนจำใจต้องทำตามสัญญา หม่าสวี้หยางเมื่อได้ยินคำพูดของลู่ผิงชวนก็ต้องส่งมอบที่ดินผืนนั้นให้แก่พวกเขา แต่ถ้าลู่ผิงชวนกลับรู้สึกโกรธเพราะพวกเขาไปบังคับแบบนี้ เขาต้องไม่ยอมปล่อยที่ดินผืนนั้นไปง่ายๆ อย่างแน่นอน พวกเขากับลู่ผิงชวนต้องเผชิญหน้ากันแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นอย่าได้พูดถึงโครงการนี้เลย เกรงว่าโครงการอื่นของเผยซื่อของพวกเขาที่เมืองหนานไห่ก็คงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เผยลี่เชินมองด้วยสายตาเย็นชา แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อน
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาของเผยลี่เชิน เธอคิดไม่ถึงว่าการที่เธอใช้ความพยายามอย่างหนักในการนัดหม่าสวี้หยางออกมาเพื่อให้ได้ที่ดินผืนนั้น ไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจเลย
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากกำมือโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอหายใจเข้าลึกๆ กดที่จมูกแล้วหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับคำถาม “ฉันทำผิดใช่ไหม?”
ดวงตาของเผยลี่เชินดูเศร้าหมอง “ใช่ เธอทำผิดครั้งใหญ่”
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์เต้นแรง เกิดอาการแสบจมูกขึ้นมาทันที เธอกลั้นน้ำตาไว้ กัดฟันไว้ พูดด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ฉันว่าฉันไม่ผิด”
เธอรู้ว่าในทางธุรกิจการค้าไม่อาจเลือกวิธีได้ และรู้ว่าบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้วิธีที่เคยใช้อยู่บ่อยๆ ถึงจะบรรลุเป้าหมาย เพี่อที่ดินผืนนั้นพวกเขาเริ่มจากเมืองหนานไห่ผ่านอุปสรรคมามากมาย ถึงตอนสุดท้ายแค่ขาดคำพูดของลู่ผิงชวน เธอต้องการแค่ตอนเริ่มแล้วผลักดันไปข้างหน้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอทำแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิด ในเมื่อลู่ผิงชวนเอ่ยปากแล้ว หม่าสวี้หยางก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บที่ดินผืนนั้นไว้ มีเพียงวิธีนี้พวกเขาถึงจะบรรลุเป้าหมาย
เธอไม่รู้ว่าทำไมเผยลี่เชินถึงได้โกรธเธอ ในเมื่อผลลัพธ์สุดท้ายคือสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานแล้ว
สายตาของเผยลี่เชินดำดิ่ง ดูเหมือนเขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดเช่นนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอคิดว่าตัวเองไม่ผิด?”
“ไม่ผิด” ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันพูด เธอยังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง
เผยลี่เชินหัวเราะเย้ยหยัน ตอนแรกเขาชื่นชมในความดื้อรั้นของเธอ แม้ว่าจะถูกบังคับจนไม่มีทางออก เธอก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ แต่พอมาถึงวันนี้เธอกลับโง่มาก
เขาเคยบอกกับเธอให้เธอรักษาการยืนหยัดต่อสู้ของตนเองไว้ แต่พอมาตอนนี้เธอกลับนำมาใช้ในทางที่ผิด
“ติง…” เสียงเตือนที่ชัดเจนช่วยทำลายบรรยากาศที่หดหู่ภายในลิฟต์ลง คนที่ยืนคอยลิฟต์หน้าประตู เมื่อได้เห็นท่าทางของทั้งสองคนก็มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
เผยลี่เชินถอยหลังกลับมา จ้องมองดวงตาของผู้หญิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอกลับไปทบทวนตัวเองดูนะ”
เขาพูดจบก็หันหลังกลับ เดินจากไปโดยไม่ลังเล ทิ้งไป๋เสว่เอ๋อร์ไว้คนเดียว
ใจไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกด้านชา หลังจากที่เข้ามาในเผยซื่อแล้ว เธอทำงานตามความรับผิดชอบด้วยความขยันขันแข็ง ทำในสิ่งที่เลขาควรทำ ทุกการตัดสินใจเธอคิดอย่างละเอียดรอบคอบ แต่เรื่องนี้ซึ่งในสายตาเธอคิดว่าทำได้ แล้วทำไมในสายตาของเผยลี่เชินกลับเป็นเรื่องผิดพลาดขนานใหญ่?
เธอรู้สึกเสียใจและเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม เธอเดินออกมาจากลิฟต์ผ่านห้องโถง ไม่เห็นแม้แต่เงาของเผยลี่เชิน เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ของโรงแรม รถยนต์ยี่ห้อไมบัคที่คุ้นเคยก็ไม่อยู่แล้ว แสดงว่าเขาไปแล้ว
เขาคือเผยลี่เชินคนไร้อารมณ์ที่ดูน่ากลัว
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกผิดหวัง เธอเดินออกจากโรงแรมขณะที่กำลังจะเรียกรถแท็กซี่กลับโรงแรมก็พบว่าโทรศัพท์มือถือของเธอแบตหมดแล้วเครื่องก็ปิดเองอัตโนมัติไปตั้งแต่เมื่อไรเธอเองก็ไม่รู้
ส่วนกระเป๋าของเธอก็อยู่ในรถ พร้อมทั้งคีย์การ์ด เงินสดอยู่ในกระเป๋าทั้งหมดเลย
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากมองดูมือถือที่จอมืดสนิทด้วยหัวใจที่เย็นชา สถานที่นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรงแรม อีกอย่างนักธุรกิจที่มาที่นี่ก็จะเป็นพวกที่นั่งรถลีมูซีน ประเภทนั่งรถแท็กซี่จึงมีน้อย เธอจึงได้แต่เดินไปตามถนน เดินอยู่นานยังไม่เห็นรถแท็กซี่สักคัน
คืนเดือนมืด อากาศค่อนข้างเย็น ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินไปไม่นานก็รู้สึกหนาวสั่น เธอสวมเสื้อผ้าไม่มาก ความแตกต่างทางอากาศของเมืองหนานไห่มีมาก เธอจึงทนไม่ค่อยไหว
เธออาศัยความจำเมื่อตอนมาโรงแรม ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินออกมีที่ถนน ซึ่งมีคนไม่มากนักแต่ดูรีบร้อน ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกอ้างว้าง ตอนที่คนประสบกับเคราะห์กรรมก็เหมือนคนที่ดื่มน้ำเย็น มันเย็นจนเข้าถึงรากฟัน เธอกอดอกเดินตรงไปข้างหน้า รู้สึกว่าท้องฟ้าช่างมืดมิดนัก
ลมพัดแรงมาพร้อมกับเม็ดฝนเท่าเมล็ดถั่วกระทบพื้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจ แต่ไม่มีเวลาตอบสนอง ฝนก็ตกลงมา เธอรีบวิ่งไปที่อาคารพาณิชย์ที่อยู่ด้านข้าง พยายามหลบอยู่ใต้ชายคาอาคาร แต่ยังไปไม่ถึงเสื้อผ้าเปียกเสียก่อน
ฝนตกโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ทำให้เธอไม่ทันระวังตัว
ขณะเดียวกันเผยลี่เชินซึ่งอยู่ในรถเห็นฝนตกเท่าเม็ดถั่วในใจรู้สึกกังวล
เจิงหงคนขับรถเปิดที่ปัดน้ำผม พร้อมกับพูดว่า “คุณผู้ชาย ฝนตกแล้วครับ”
เผยลี่เชินได้ยินแต่ยังคงเงียบอยู่
เจิงหงทดลองถามอีกครั้ง “ทิ้งเลขาไป๋ไว้แบบนั้น จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือครับ?”
สีหน้าของเผยลี่เชินดูอึมครึม “ขับรถต่อไป”
“ครับ”
เจิงหงได้ยินดังนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ขับรถต่อไป
เผยลี่เชินมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ฝนยิ่งตกยิ่งแรง และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ มือที่กำโทรศัพท์มือถือยังคงกำโทรศัพท์ไว้แน่น ในใจรู้สึกสับสน
เขากำลังจะละสายตา แต่เหลือบไปเห็นกระเป๋าแบบย้อนยุควางอยู่บนที่นั่งข้างๆ เขา เขาจ้องมองแล้วยื่นมือไปหยิบขึ้นมา มันคือกระเป๋าของไป๋เสว่เอ๋อร์
เผยลี่เชินขยับตัวพร้อมกับคิดอะไรออกบางอย่าง เขาเปิดกระเป๋าของเธอโดยไม่ลังเล เห็นคีย์การ์ด เงินสด ทั้งหมดล้วนอยู่ในกระเป๋านี้ เธอไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากโทรศัพท์มือถือ
เผยลี่เชินหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ในสมองเกิดคิดถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ดื้อรั้นตอนอยู่ในลิฟต์
เธอควรกลับไปคิดไตร่ตรองดูให้ดี แต่พอไม่สนใจเธอ เขากลับรู้สึกมีอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ในจิตใจ
เม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วตกกระทบกับกระจกรถ เสียงดังพอดู เผยลี่เชินรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งตกกระทบในใจเขา ซึ่งเขาก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
เขาหยิบโทรศัพท์โทรหาไป๋เสว่เอ๋อร์ แต่กลับมีเสียงตอบรับที่แสดงว่าปิดเครื่อง
เผยลี่เชินรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ ใบหน้าของเขารู้สึกร้อนผ่าวนิดหน่อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไวน์ หรือเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นกันแน่น
สีหน้าของเผยลี่เชินแม้ดูเย็นชา แต่ก็ทนไม่ได้ จึงสั่งคนขับรถด้วยเสียงเย็นชา “กลับรถ!”
เจิงหงตะลึง มีปฏิกิริยาตอบทันที เขาค่อยๆ ชะลอรถแล้วกลับรถที่ถนนด้านหน้า รถแล่นไปตามถนน
ตอนที่ขับรถใกล้ถึงที่หมาย เจิงหงชะลอรถ มองหาตามถนนสองข้างทาง
เดิมทีแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว แถมฝนตกอีกด้วย คนบนถนนยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
เผยลี่เชินมองไปทางเท้าคนเดินซึ่งก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาได้แต่กำมือแน่น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธออยู่ที่ไหนกันแน่น!