บทที่11 ช่วยครั้งที่สอง
“ช่วยเธองั้นเหรอ?” เผยลี่เชินมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตน ก่อนจะสบถเสียงเย็น “ไป๋เสว่เอ๋อร์ หน้าเธอนี่มันหนาดีจริงๆ”
นิ้วเรียวยาวพยายามง้างริมฝีปากที่กัดแน่นของหญิงสาวอย่างรุนแรง ก่อนใบหน้าแสนเย็นชานั้นจะประคองคนในอ้อมกอดออกไปจากที่นี่
……
เป็นเวลาเช้าตรู่ของอีกวันกว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะฟื้นคืนสติ
แค่เพียงหันไปมองรอบตัวก็ทันเห็นเผยลี่เชินที่นุ่งผ้าเช็ดตัวปิดส่วนล่างเดินออกมาจากห้องน้ำ กล้ามเนื้อแปดแพคที่แข็งแรงยังคงเต็มไปด้วยหยดน้ำ ซึ่งความเป็นจริงนั่นเป็นสิ่งที่น่าล่อใจมาก
เธอพึมพำกับตัวเมื่อรู้สึกใจเต้นแรงราวกับถูกเติมเต็ม
ชายหนุ่มอีกฝั่งที่เห็นเธอตื่นแล้วก็ไม่ได้มีสีหน้าตกใจอะไร ดูเหมือนความชื้นของน้ำจะฝังลึกเข้าไปถึงดวงตาอีกคน ทำให้มันลึกลงไปอีกอย่างยากที่จะคาดเดาสายตานั่น
เขาทำเพียงแค่มองไปที่เตียงแค่แป๊ปเดียว ก้าวไปข้างหน้าเทน้ำหนึ่งแก้ว แล้วเดินกลับมายื่นให้คนบนเตียงพร้อมสายตาที่เย็นชาเหมือนเดิม “ไป๋เสว่เอ๋อร์ นี่เป็นรอบที่สองที่ฉันช่วยเธอ”
การที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอเผยลี่เชินเป็นคนแรก เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
มองเห็นมือหนากำลังถือแก้วน้ำในมือ ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ไม่รู้ตัวเรื่องปากตัวเองก็ไม่ได้ระวังเสียจนบังเอิญไปโดนแผลจนได้ เธอสูดหายใจเข้าออกแรงๆอีกครั้งก่อนจะเรียกสติกลับมา “เออใช่ แล้วจ้าวหยางหลินเป็นยังไงบ้าง?”
จริงๆเขาก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าคำถามแรกของคนพึ่งตื่นขึ้นมานี่จะเอ่ยถึงผู้ชายคนอื่น เผยลี่เชินว่างแก้วลงแทบจะทันที สายตามองเธออย่างเย็นชา “ตายไปละ”
“ว่าไงนะ?!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจ ว่าจะลุกขึ้นยืนตามอีกคนไปแต่เรี่ยวแรงที่ไม่มีทำเอาล้มกลับไปที่เตียงเหมือนเดิม “ตอนนี้ตระกูลไป๋จะมีข่าวลบๆอีกไม่ได้แล้ว บอกฉันมาตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวหยางหลินกันแน่?”
เรื่องไม่ดีจะต้องเกิดขึ้นเรื่อยๆต่อแน่ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวหยางหลินเข้าจริงๆ เป็นข่าวขึ้นมาก็ไม่พ้นว่าเธอจะต้องโดนกล่าวหาอีกแน่
มองเห็นท่าทีแบบนั้นของหญิงสาว เผยลี่เชินก็เผลอขมวดคิ้วมุ่น ประชดประชันออกไป “แต่ก่อนไป๋เจิ้งตงเคยบอกฉันไว้ ว่าลูกสาวของเขาไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ แต่ถ้าตอนนี้เขามาล่ะก็ ฉันคงต้องรีบไปให้เขาเปลี่ยนคำพูด”
ชายหนุ่มโน้มตัวลงก่อนจะใช้นิ้วของตนเชยคางหญิงสาวบังคับให้มองตน “ดูเหมือนว่าฉันจะดูถูกเธอมากเกินไปจริงๆ เรื่องเมื่อคืนฉันไม่น่าจะโผล่ไป ทำเอาธุรกิจใหญ่โตของคุณหนูไป๋ล่มไม่เป็นท่า เมื่อคืนเป็นประธานจ้าว คืนพรุ่งนี้เป็นใครดีล่ะ ประธานซุนงั้นเหรอ ไป๋เจิ้งตงบอกว่าเธอไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าการขายเนื้อหนังมังสาของตัวเองก็ดูช่ำชองดีนิ”
“ปล่อยฉันนะ!” เธอขยับร่างกายพยายามให้พ้นมือของอีกคน พยายามดันเข่าให้ชนเข้าต้นขาอีกคน แต่กลายเป็นไปโดนส่วนอื่นเข้าแทนเสียให้
เผยลี่เชินสบถอย่างไม่พอใจ สีหน้าดูเริ่มที่จะโกรธขึ้นมา “นี่เธอคิดจะทำอะไร? จะหนีงั้นเหรอ?”
การสัมผัสเข้าตรงนั้นที่เปลี่ยนไปของอีกคนทำเอาเธออดจะหน้าแดงไม่ได้ เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอขยับมากขึ้นในเวลานี้เรื่องที่แย่จะต้องแย่ลงเรื่อยแน่ๆ
แต่ไม่ใช่เพราะร่างกายของอีกคนที่เปลี่ยนไป แต่เป็นเธอต่างหาก…
กลัวว่าอีกคนจะจับได้เข้า เธอเหยียดร่างกายมองไปที่เผยลี่เชินเล็กน้อยก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “เผยลี่เชิน ฉันรู้ว่าคุณดูถูกสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ แต่ตอนนี้แรงกดดันของตระกูลไป๋มันมากเสียเกินไป ถ้ายังจะเกิดเรื่องขึ้นอีก ฉันก็ไม่สามารถไปยื่นข้อเสนอใครได้อีก ถือว่าฉันขอร้องคุณ เรื่องที่เกิดขึ้นอย่าให้เป็นเรื่องเลยเถอะ”
“งั้นเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่มีอะไรมาต่อรอง เธอทำได้แค่กำมือแน่นผ่านผ้านวมผืนหนา ก้มหัวลงอย่างหมดหนทาง “ประธานเผย ฉันขอให้คุณช่วยสนับสนุน ขอแค่เรื่องพวกนั้นไม่หลุดออกไป”
จริงๆแล้วเธอเป็นคนที่อ่อนโยนทั้งนิสัยและการแสดงออก เสียงของเธอก็ดึงดูดให้เขารับฟังเช่นกัน
เขายกริมฝีปากก่อนจะโน้มศีรษะลงไปเพื่อที่จะจูบริมฝีปากที่บอบช้ำนั่น ก่อนจะกัดเข้าริมฝีปากนั้นแผ่วเบา “ขอให้ฉันช่วยสนับสนุนเธองั้นเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เริ่มรู้สึกเจ็บที่ปาก ร่างกายสั่นเทิ้มไปชั่วครู่ ไม่ทันจะได้ต่อต้านริมฝีปากหนาก็ผละออกไปค่อยๆจูบไล่ไปที่แก้มและไหปลาร้าไล่ความอุ่นร้อนของลมหายใจค่อยๆไล่ตามผิวกายเธอลงไปเรื่อยๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกสะท้านไปทั้งตัว ราวกับมีไฟฟ้าช็อตหน้าอกเธอแล้วความชาไล่ไปทั่วร่างกาย “เผยลี่เชิน คุณทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง…”
“ไป๋เสว่เอ๋อร์นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะให้ จะเอาไม่เอา?”
เผยลี่เชินเงยหน้าขึ้น สีหน้าแสดงความต้องการเล็กน้อย แต่ดวงตากลับมีความชั่วร้ายแฝงอยู่ในนั้น
เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถามส่ายหัวเรียกสติตัวเอง ก่อนที่วินาทีต่อมาจะเอื้อมมือยึดไหล่หนาและยื่นตัวไปจูบตอบกลับอีกคน
“เอา”
บทที่12 ตลกร้าย
บางทีแอลกอฮอล์ที่ไหลวนอยู่ในตัวคงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่ทำให้เธอกล้าทำมันลงไป เพราะถ้าเปรียบเทียบระหว่างจ้าวหยางหลิน เผยลี่เชินก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจในเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี
เรื่องที่เผยลี่เชินเข้าไปหิ้วไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ตี้เหาแน่นอนว่าเริ่มจะมีการพูดคุยถึง เช่นเดียวกับเผยอี้ที่หลังจากที่รู้ใจก็เริ่มอยู่ไม่สุข เขานอนไม่หลับเลยหนึ่งคืนเต็ม
เขาไม่รู้มาก่อนเลยผู้หญิงคนนั้นไปมีความสัมพันธ์กับเผยลี่เชินตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขารู้อยู่แก่ใจเขาดี คนอย่างเผยลี่เชิน ถ้าไม่ได้สนใจไป๋เสว่เอ๋อร์จะไม่มีวันลงมือด้วยตัวเองแน่
แฟนเก่าของตัวเองไปมีความสัมพันธ์กับพี่ชายต่างแม่ ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายเสียจริง!
ฟ้ายังไม่ทันได้สว่าง เผยอี้ก็รีบขับรถไปยังคฤหาสน์ของเผยลี่เชินทันที
เขาทนไม่ได้อีกต่อไป คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนสาวของเขาตอนนี้กลับกลายเป็นคนของเผยลี่เชิน!
สายตามองไปยังชายที่นั่งตรงกันข้ามนั่งดื่มกาแฟชั้นดี เผยอี้รอบมองร่องรอยที่โผล่พ้นออกมา โดยเฉพาะรอยฟันที่อยู่ตรงคอของอีกคน
เผยอี้ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป “พี่ ไป๋เสว่เอ๋อร์เป็นแฟนของผม บ้านเธอมีเรื่องมันก็ควรจะเป็นผมที่จะไปจัดการ…”
“นายมันก็แค่แฟนเก่า” เผยลี่เชินเอ่ยขัดจังหวะเข้าให้ น้ำเสียงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ทำกลับทำให้คนฟังรู้สึกเป็นรอง “เลิกกันนานแล้วไม่ใช่เหรอ นายนั่นแหละที่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไง?”
“ต่อให้พวกเราเลิกกันจริงๆแล้วยังไง?” เผยอี้ขยับตัวลุกขึ้น “แย่งผู้หญิงที่ผมไม่เอาแล้ว พี่ภูมิใจมากนักเหรอ? ผมจะบอกพี่ให้นะเผยลี่เชิน พี่คิดจะจัดการผมด้วยวิธีนี้ มันต่ำเกินไป!”
เผยลี่เชินหลุดขำออกมา สายตาอีกคนราวกับไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นนึง “ฉันจัดการนายงั้นเหรอ? เหมือนกับว่านายจะยังแยกไม่ออกฐานะของตัวเองจริงๆสินะ”
“พี่หมายความว่าไง!”
ร่างเพรียวบางยืนนิ่งอยู่ที่บันไดเมื่อเห็นสถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นกลางบ้าน
ร่างที่ยืนนิ่งอยู่แน่นอนว่าเป็นไป๋เสว่เอ๋อร์ น่าจะเป็นเพราะทั้งเหล้าทั้งยาที่โดนมา ทำให้เธอปวดหัวมาก กลางดึกเกือบเช้าตรู่ก็โดนเผยลี่เชินดูดพลังไปเสียหมด หลับก็หลับไม่ลง
ข้างล่างก็มามีเสียงทะเลาะรบกวนอีก เธอขยับท่านอนไปมาสุดท้ายเสียงดังลั่นนั่นก็รบกวนเธอจนนอนไม่ได้อยู่ดี
เธอแต่งตัวสบายๆลงมาเพื่อมาดูว่าด้านล่างเกิดอะไรขึ้น โดยไม่ได้คาดคิดก็เห็นเผยอี้นั่งอยู่ห้องด้านใน จะช่วยอะไรก็ไม่ได้
เผยอี้ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์แถมยังใส่ชุดของเผยลี่เชินอีก ความยาวของเสื้อมันปิดได้ถึงแค่ต้นขาเพรียวบางแสนขาวนั่น ส่วนคอที่ผ่าไปครึ่งก็ทำให้เห็นร่องรอยจูบที่ชัดเจนตรงไหปลาร้า
แค่นี้ก็ดูออกหมดจดแล้วว่าเมื่อคืนเธอกับเผยลี่เชินทำอะไรกัน!
ความโกรธปิดความนึกคิดในสมอง เขาโกรธเสียจนดวงตาแดงก่ำ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอนี่เก่งจริงๆ ฉันดูเธอน้อยเกินไป เมื่อวานคนที่หิ้วเธอขึ้นไปไม่ทันไร ก็มาจับเอาพี่ชายฉัน ไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างหรือไง?”
ไป๋เสว่อเอ๋อร์หันกลับมาเผชิญหน้า เธอรู้ว่าทำไมเผยอี้ถึงโกรธขนาดนี้
ที่สุดแล้ว มันไม่มีใครยอมรับได้หรอกที่แฟนเก่าตัวเองจะกลายมาเป็นคนของพี่ชายตัวเองเข้าเสียได้
แล้วยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของเผยอี้กับเผยลี่เชินก็ไม่ได้ดีนัก
เธอหันสายตาไปทักทายเผยอี้ “วันนั้นที่คุณอยู่กับจินจิงจิงบนเตียงแล้วไล่ฉันออกมา ไม่ใช่ว่าหมายถึงพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วเหรอ? ฉันจะเก่งหรือจะอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณชายอี้จะมาให้ราคากับมัน แล้วยิ่งไปกว่านั้น ทุกเรื่องที่ฉันทำฉันต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ใช่อย่างคุณที่ไม่ทันจะเลิกกัน ก็ไปเด็ดดอกไม้มาเชยชมเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดไม่แยแสของหญิงสาวทำเอาเขาไร้ซึ่งสติ เดินเข้าไปง้างมือเตรียมตบอีกคนอีกคนเข้าให้ “เป็นบ้าหรือไง เมื่อกี้พูดอะไรออกมา!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่คิดเลยจริงๆว่าอีกคนจะลงมือลงไม้กับเธอเลยไม่ทันนึกหลบ สายตามองตามมือที่กำลังจะกระทบกับใบหน้าอีกครั้ง ตาก็หลับปี๋แทบจะทันที
หลังจากนั้นไม่นานไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับใบหน้าอย่าที่คิด แรงมหาศาลแสนแข็งแรงจับเข้าที่ข้อมือของเธอและรั้งทั้งตัวเข้าไปในอ้อมอกแกร่ง
ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นว่าคนตรงหน้าคือเผยลี่เชินที่มือนึงกำลังเข้ากับมือของเผยอี้ยังแขนที่เคยจะจัดการเธอนั้นไว้
ใจเธอเต้นเร็วแรงเสียจนอธิบายไม่ได้
เผยอี้ที่โกรธเมื่อครู่เมื่อเห็นท่าทางของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเอง แต่ความเสียใจนั้นมันก็ไม่เท่ากับสิ่งที่เผยลี่เชินทำกับเขา
เผยลี่เชินเม้มปากแน่น ก่อนจะปล่อยมือที่จับแขนของเผยอี้ออก สายตาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายเข้าใจยาก “เย่ชิวหรงสอนลูกชายของเธอให้มีนิสัยที่น่าชื่นชมเสียจริง ลงไม้ลงมือกับผู้หญิง ดูเหมือนทั้งตระกูลเผยจะมีแค่นายคนเดียวที่กล้าทำมัน”
“ผมว่าคนที่เก่งน่าจะเป็นพี่มากกว่า ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ งั้นโครงการพัฒนาแปลงที่ดินที่หนานไห่ก็ยกให้พี่เลยละกัน”
บทที่13 พวกเรามาพนันกัน
ดวงตาของเผยลี่เชินเผลอสั่นเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าอยู่ๆเผยอี้จะพูดเรื่องโครงการพัฒนาที่ดินที่หนานไห่ขึ้นมา
เขาลูบมุมปากตัวเองเบาๆ ทำตัวราวกับไม่ได้ใส่ใจ “ถ้าจะว่าฉันเก่ง แน่นอนว่าถ้าเปรียบกับนายฉันเก่งกว่ามาก”
“แต่ว่า โครงการนี้พ่อเป็นคนให้นายจัดการ ฉันแค่รู้สึกว่าโปรเจคเล็กๆนี้ ไม่ต้องถึงขั้นให้ฉันเข้าไปดูหรอกนะว่าไหม?”
แค่เพียงไม่กี่คำของเผยลี่เชิน ก็ทำเอาเผยอี้โกรธเสียจนถึงที่สุด “เผยลี่เชิน! พี่ไม่ต้องมาทำเป็นไม่สนใจ! ผมไม่เชื่อหรอก โครงการนี้ผมยกให้พี่ และพี่ต้องทำให้มันสำเร็จตามกำหนด!”
เผยซื่อจะขึ้นอยู่กับใครไม่มีใครรู้ เรื่องโครงการที่หนานไห่เป็นโปรเจคที่เป็นปัญหาถกเถียงมาจนถึงตอนนี้ ใครรับมาก็รังแต่จะโชคร้าย กับการที่พ่อของพวกเขาโยนเรื่องนี้ให้เผยอี้จัดการก็ทำเอาเผยอี้ไม่พอใจมาตั้งแต่แรก
“ถ้างั้นทำไมไม่ลองพนันกันล่ะ?” เผยลี่เชินยกยิ้มมุมปากก่อนจะว่าต่อ “ฉันจะรับโครงการนี้เอง และถ้ามันเสร็จตามกำหนดเวลา…”
เผยลี่เชินค่อยๆพูดอย่างต่อเนื่อง ว่าเข้าเรื่องสัญญาให้เผยอี้ไปตัดสินใจเอาเอง
เผยอี้ที่เคยรู้สึกโกรธ แต่เมื่อได้ยินว่าอีกคนจะพนันกับเขาก็ทำให้อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ “แน่นอน ถ้าพี่ทำมันได้ผมจะรับเงื่อนไขของพี่”
“แต่ถ้าไม่ล่ะก็…” เผยอี้กวาดตาไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดของเผยลี่เชิน ฟันขบกันเบาๆ “พี่ห้ามมายุ่งกับไป๋เสว่เอ๋อร์อีก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์อดจะหน้าบึ้งขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ เรื่องพวกนี้มันเป็นการสู้กันของสองพี่น้องตระกูลเผย แล้วทำไมจะต้องมาลากเธอเข้าไปเกี่ยวด้วย?
“ได้สิ ฉันรับปาก” เผยลี่เชินตกปากรับคำเสียรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงมองไปยังหญิงสาวในอ้อมแขนตนเอง แล้วตั้งใจพูดกับอีกคนต่อหน้าเผยอี้ที่กำลังมองอยู่ “อาหารเช้าอยู่บนโต๊ะ ไปกินตอนร้อนๆเถอะ”
การกระทำของชายหนุ่มเจ้าของอ้อมแขนทำเอาเธอใจสั่น แต่ก็ได้ไม่นาน เธอก็เข้าใจเมื่อเห็นสายตาเผยอี้ที่มองตามมา บนโต๊ะอาหารตอนนี้เธอเลยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เผยอี้แอบกำมือแน่น เส้นเอ็นที่แขนราวกับจำระเบิดออกมาเสียได้ แต่ก่อนที่เขากับไป๋เสว่เอ๋อร์คบกัน เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้เชื่อฟังใครขนาดนี้ ทำไมวันนี้กับเผยลี่เชิน เธอกลับ…
เผยลี่เชินหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม แอบถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอก เห็นเผยอี้มองตามไป๋เสว่เอ๋อร์ไป เขาก็ขยับตัวเล็กน้อยบดบังสายตาที่ทอดตามอีกคนไม่เลิกนั่น
“ทำไม? ไม่ได้กินข้าวเช้ามารึไง? จะมาร่วมด้วยว่างั้น?”
ความหมายแฝงในน้ำเสียงของเผยลี่เชินมันชัดเจนมากๆอย่างที่คนอย่างเผยอี้ต้องดูออกอย่างแน่นอน
สีหน้าของเผยอี้เริ่มจะเปลี่ยนสีอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อตอบกลับก็รีบเดินออกไป
เผยลี่เชินถือแก้วในมือเดินตามไป เดินไปจนถึงปากประตู เผยอี้ที่กำลังเปิดประตูขึ้นรถก็อดไม่ได้ที่จะประชดเยาะเย้ยตอกกลับมา “ช่างน่าแปลกใจจริงๆ วันนี้พี่ชายออกมาส่งผมได้”
ทันทีที่เขาว่าจบก็เงยหน้ามองเผยลี่เชินอีกครั้ง ถึงได้เห็นสายตาที่แสนเย็นชามองกลับมา นัยน์ตาแบบเดิมที่ช่างอ่านออกยากเสียเหลือเกิน
“ฉันรู้ว่านายไม่พอใจที่ฉันเข้าใกล้ไป๋เสว่เอ๋อร์ แต่ว่าเผยอี้ ฉันมีเรื่องที่จะเตือนนายอย่างนึง คนที่ส่งไป๋เสว่เอ๋อร์มาให้ฉันไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นคนของนาย”
ดวงตาของเผยลี่เชินสั่นไหวเล็กน้อย “นายก็น่าจะรู้ เมื่อวานตอนกลางคืนไป๋เสว่เอ๋อร์โดนคนวางยา แต่คนวางยาไม่ใช่ใครเธอก็คือยอดรักของนายจินจิงจิง”
เผยอี้หน้าเปลี่ยนแทบจะทันที ก่อนจะปฏิเสธเสียงดังลั่น “เป็นไปไม่ได้!”
“อยากให้ฉันเปิดกล้องวงจรปิดให้ดูไหมล่ะ? เมื่อวานตอนที่ไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่กับจ้าวหยางหลิน จินจิงจิงสั่งเหล้าและใส่ยานั่นให้พนักงานเข้าไปเสิร์ฟ ถ้าฉันไปไม่ทันนายคิดไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?”
เผยอี้แทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ ร่างกายที่ไม่มีที่จับยึดทำเอาแทบจะล้มลง
“ท ทำไม ทำไมเธอถึงกล้าทำมัน!” เผยอี้กำหมัดแน่น เขาว่าเขาบอกกับจินจิงจิงถึงสถานะของเธอไปอย่างชัดเจนแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าถึงขนาดวางยาไป๋เสว่เอ๋อร์
เผยลี่เชินจริงๆไม่ได้สนใจเผยอี้สักนิด แต่ก็ขยับเท้าเข้าไปอีกก้าว เว้นระยะช่องว่างให้ใกล้อีกนิด
เขาสูงกว่าเผยอี้แค่ครึ่งศีรษะ ตอนนี้ถ้ามองจากเขาลงไปก็ดูจะเหมือนเป็นการข่มอีกคนไปในตัวไม่น้อย
“ฉันขอเตือนนายนะเผยอี้ ดูแลคนของนายดีๆ ฝากไปบอกจินจิงจิงไม่ว่าเธอจะมีเครื่องระวังหรือจะฉลาดขนาดไหนฉันไม่สน ครั้งนี้ถือว่าเห็นแก่นายฉันจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าคราวหน้ายังจะมายุ่งกับคนของฉัน เราได้คิดบัญชีทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่แน่!”
หัวใจของเผยอี้เหมือนถูกบีบแน่น ท่าทีของเผยลี่เชินเหมือนกับโดนจัดการโดยสมบูรณ์ เขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและหงุดหงิด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเผยลี่เชินปกป้องผู้หญิง!
“หึ!” เผยอี้หลุดเสียงขำ “ดูเหมือนต่อมรับรสของพี่นี่จะพิเศษจริงนะครับ กับการที่ดูจะให้ความสำคัญกับแฟนเก่าที่ผมไม่เอาแล้วนั่น !”
เขาแสดงออกกลับไปอย่างใจเย็น แม้ในใจจะเผาไหม้เสียจนร้อนขึ้นไปยังสมอง ว่าจบเขาก็เอี้ยวตัวขึ้นรถไป ปิดประตูดัง “ปึง” และรีบขับออกไป
เผยลี่เชินมองตามรถของเผยอี้จนสุดสายตา ก่อนจะหันตัวกลับเข้าสู่คฤหาสน์ตัวเอง ทันทีที่เข้ามาก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างตกกระทบตรงคนที่นั่งอยู่ให้เห็นสีผมและสีผิวที่โดนแสงสะท้อนเสียจนเป็นสีทองอ่อนๆน่าเชยชมนั่น
เงินที่หายไปช่างคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา ทุกอย่าง ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่รู้สึกเหมือนเป็นเป้าสายตาก็เงยหน้าขึ้นมา ทันทีที่ทำอย่างที่คิดก็เห็นเผยลี่เชินที่กำลังท้าวแขนกับโต๊ะข้างหน้ามองเธออยู่ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายลง มองมาทางเธอย่างเฉยเมย สายตาที่เคยเย็นชามันน้อยลงเสียจนแทบไม่เห็นในนัยน์ตานั้น
หญิงสาววางช้อนซุปในมือลง เหลือบตามองไปก่อนจะสบเข้ากับตาอีกคนอย่างไม่คิดที่จะกลัว “ประธานเผย คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ การเปิดศึกของคุณกับเผยอี้ฉันไม่ได้สนใจมัน เพราะฉะนั้นอย่าคิดที่จะเอาฉันไปเกี่ยวข้อง”
ตอนนี้แค่เธอจะปกป้องตัวเองก็ว่ายากแล้ว ทั้งยังไป๋ซื่อที่กำลังตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง เธอต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและแน่นอนว่าเธอไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาจัดการเรื่องอื่น ยิ่งเป็นเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผยลี่เชินหรือว่าเผยอี้ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของเธอและเธอจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยง เธอจะไม่ยอมกลายเป็นเหยื่อของการต่อสู้เพื่ออำนาจของพวกเขาหรอก
ดวงตาของเผยลี่เชินส่อแววประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกยิ้มมุมปากของเขาขึ้น หญิงสาวตรงหน้าลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ก่อนจะก้าวเข้าไปหาชายหนุ่ม
“มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ คุณอยากจะจัดการเผยอี้ มันเป็นเรื่องง่ายจะตาย ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ฉันเพื่อให้เผยอี้คลั่ง แล้วหลังจากนั้นคุณก็จัดการกับโครงการให้เรียบร้อย เพราะยังไงความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ไม่ได้ปกติเท่าไหร่”
คำพูดของหญิงสาวตรงมาก และมันทำให้เขาประหลาดใจ
“ดูเหมือนเธอจะไม่โง่เกินไป”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่มองฉากที่เขาเล่นนี้ออก แสดงให้เห็นว่าเธอพอจะมีความสามารถในการทำธุรกิจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างเผยอี้ที่อยู่กับเผยซื่อมาตั้งหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับเด็กน้อยจากตระกูลไป๋ที่เข้าใจและจัดการกับเรื่องอย่างมีสตินึกคิด
คนในบริษัททั้งหมดต่างรับรู้ว่าโครงการที่หนานไห่มันเกิดปัญหาที่จะต้องรีบเร่งจัดการและทำให้จบโดยเร็ว แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้จุดประสงค์ว่าทำไมท่านพ่อเผยถึงส่งงานนี้ให้กับเผยอี้ดูแลกัน? ทุกคนเห็นว่าเขา เผยลี่เชิน เป็นหน้าตาเป็นตาให้แก่เผยซื่อ แต่เรื่องราวหลังฉากที่ซับซ้อนเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อของเขาเก็บเงื่อนงำอะไรไว้บ้าง
ท่านพ่อเผยดูเหมือนจะให้โครงการแสนยากนี้แก่เผยอี้ แต่มันเป็นเหมือนการทดสอบของหมอนั่น ถ้าเผยอี้เขาทำได้จริงๆ แน่นอนว่าท่านพ่อต้องปฏิบัติกับน้องชายต่างสายเลือดเขาต่างไปจากเดิมแน่ๆ
โครงการนี้มันเป็นสิ่งที่เผยอี้จะสามารถพิสูจน์ตัวเอง แต่ดูเหมือนเขาก็ดูเหมือนจะโง่มากที่ปล่อยผ่านมันไป
แต่อย่างไรความโง่ของเผยอี้ก็ยังคงเป็นความหวังของเขา รวมไปถึงความฉลาดอย่างไม่คาดคิดของไป๋เสว่เอ๋อร์นี่ด้วยที่เขานึกไม่ถึง
เขาก้าวไปข้างหน้า ยืดแขนของเขาโอบรอบเอวอีกคนกดเข้าหาตัว
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ ความฉลาดของเธอต้องอยู่ให้ถูกที่นะ”
บทที่14 ข้อกำหนดเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหวอย่างที่ไม่อาจจะคาดเดาได้เท่าเอาไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจเล็กน้อย เธอเงยหน้าเหลือบมองใบหน้าที่เคร่งขรึมแสนเย็นชานั่นที่อยู่ใกล้นี่ ก่อนจะรับรู้ถึงอาการตื่นตระหนกของตัวเอง… ผู้ชายคนนี้ช่างเก่งที่ทำให้คนอื่นสับสนเสียจริง
เผยลี่เชินดูออกว่าอีกคนจมเข้าไปในความคิดตัวเอง มือหนาช้อนคางอีกคนขึ้น บีบหน่อยๆเรียกสติ “เหม่อไปถึงไหน?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเรียกสติให้กลับมา ดวงตาสั่นไหวแต่ก็แสร้งทำเป็นสงบ “ต่อให้ฉันจะฉลาดกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องบางเรื่องความฉลาดก็เอามาตัดสินอะไรไม่ได้”
อย่างวิกฤตการณ์ทุกวันนี้ของเผยซื่อ เธอต้องเงิน และก็ไม่ใช่แค่ก้อนเล็กๆด้วย
เผยลี่เชินปล่อยหญิงสาวในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เขาเลิกคิ้วก่อนจะเดินไปที่โต๊ะกินข้าวแล้วนั่งลง “ไป๋เสว่เอ๋อร์ หรือว่าเรามาทำข้อตกลงกันหน่อยเป็นไง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงียบอยู่ครู่นึง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มและเดินตามไปนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย
“ข้อตกลงอะไร?”
ตอนนี้สถานภาพของเธอไม่สามารถที่จะปฏิเสธอะไร เพราะตอนนี้ถ้าเพียงแค่สิ่งที่เผยลี่เชินต้องการ เป็นสิ่งที่เธอมี และสิ่งที่เธอจะทำมีเขาช่วย ก็ไม่มีข้อตกลงไหนที่เธอจะปฏิเสธ หรือจะเรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งคู่ก็ได้
“ครั้งที่แล้วเธอเคยบอกฉัน ถ้ามันเป็นเรื่องที่ฉันพอจะช่วยเผยซื่อได้ เธอก็ยินดีจะมอบตัวเธอให้ฉัน แต่ฉันก็เคยบอกว่าตัวเธอไม่สมกับที่จะแลกเพื่อไป๋ซื่อในราคาร้อยห้าสิบล้าน”
มือทั้งสองของไป๋เสว่เอ๋อร์บิดกันมาแน่น หน้าเริ่มรู้สึกร้อน การตั้งค่าเธอเป็นราคามันเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธอ แต่ว่าตอนนี้ เธอก็ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้เธอก็หน้าด้านหน้าทนพออยู่แล้ว จะให้มีเรื่องต้องอับอายอีกเธอก็ไม่กลัว ไป๋เสว่เอ๋อร์หัวเราะออกมา ราวกับกำลังคุยเรื่องธุรกิจอย่างสนุก “แล้วยังไงต่อ? ประธานเผยคิดว่า เงินก้อนนั้นจะต้องตอบแทนด้วยอะไรถึงจะพอ?”
เผยลี่เชินมองดูใบหน้าที่กำลังหัวเราะของอีกคน ซึ่งในความจริงการตอบสนองน่าจะเป็นอีกนัยน์นึงเสียมากกว่า แต่ก็กลับทให้รู้สึกถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นเริ่มน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ตอนนี้คนอื่นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับไป๋ซื่อ แต่เธอน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าไป๋ซื่อก็เหมือนเปลือกหอยที่ว่างเปล่า ถ้าฉันเอาเงินเข้าไปลงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาตะกร้าสานไม้ไผ่ไปตักน้ำ เพราะฉะนั้นมันไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้”
ทันทีที่ได้ยิน หน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนสีแทบจะทันที
ไป๋ซื่อเป็นสิ่งที่พ่อของเธอลงทุนลงแรงมา ถ้าเพียงแค่บอกให้ทิ้งแล้วทิ้งเลยนั้น เธอจะเผชิญหน้ากับพ่อเธอได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่มีไป๋ซื่อแล้ว ทั้งครอบครัวและเธอจะทำยังไง?
เมื่อเห็นความช้าในการตอบคำถามของไป๋เสว่เอ๋อร์ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดวิธีอะไรอยู่ในใจ เขายืดตัวขึ้นก่อนจะเอนตัวลงไปพิงกับพนักเก้าอี้ข้างหลัง ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ก็ถ้าเธอตกลง ฉันก็จะเอาเงินก้อนนั้นให้ทันที ช่วยให้เธอจัดการกับคฤหาสน์ของเป๋ยซื่อก่อน แต่เรื่องของคดีทางนั้น ฉันจะหาวิธีจัดการ อาจจะไปกระชับความสัมพันธ์ ให้พวกข้างบนนั้นจัดการกับพ่อคุณ ถ้าคุณคิดว่าแผนนี้มันเวิร์คก็เป็นอันว่าข้อตกลงเราสำเร็จ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เสียสติไปพักนึง เผยลี่เชินพูดแบบนี้ ก็น่าจะมั่นใจได้ว่าเขาจะสามารถมากพอให้สำเร็จ แต่จะให้เธอหันหลังให้กับไป๋ซื่อ มันก็ช่างน่าละอายใจต่อพ่อกับแม่ของเธอจริงๆ
แต่ว่าถ้าไม่ได้เงินกู้นี่ บ้านเธอก็จะไม่เหลือ ทีนี้เธอกับแม่ได้ไปนอนกลางถนนแล้วจริงๆแน่ และยังพ่อของเธออีก ตั้งแต่ที่ไป๋ซื่อเกิดปัญหา ทั้งเพื่อนสนิท รวมไปถึงเพื่อนเก่าทุกคนตีออกห่างตระกูลไป๋ ตัดความสัมพันธ์และทิ้งพ่อของเธอไว้อย่างโดดเดี่ยว…
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดปากตัวเองแน่น ในใจวัดข้อดีข้อเสียจนตัดสินใจได้แล้ว แต่กลับพูดสิ่งที่ตัดสินออกมาไม่ออก
“ขอเวลาฉันแป๊ปนึง ฉันขอคิดดูสักนิด” ไป๋เสว่เอ๋อร์ว่าจบก็พาร่างกายขึ้นไปยังชั้นสอง
เผยลี่เชินไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร เพราะเขามั่นใจมากพอว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะเลือกอะไร
ท้ายที่สุด นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครช่วยเธอได้ รอเธอเห็นด้วย จะช้าหรือเร็วก็ไม่ใช่ปัญหา
ไป๋เสว่อเอ๋อร์ขังตัวเองไว้ในห้องนอน ผ่านไปประมาณกว่าหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจได้
จริงๆแล้วเผยลี่เชินเข้าใจดีพอที่จะเห็นปัญหาทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน การหันหลังให้ไป๋ซื่อนั้นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอ
ทันทีที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ตัดสินใจจะเดินออกไปคุยกับเผยลี่เชินให้รู้เรื่อง ก็หันไปเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางไว้บนโต๊ะในห้องนอน เพราะเมื่อคืนก่อนเสื้อผ้าเธอถูกฉีกขาด เสื้อผ้านี้ก็น่าจะเป็นชุดใหม่ที่เผยลี่เชินให้คนส่งมา
เธอถอดเสื้อเชิ๊ตตัวยาวของอีกคนบนตัวเธอออก เปลี่ยนเป็นชุดของชาแนลสีเบจ ตั้งแต่ชั้นในยันชั้นนอกเป็นตัวใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงชุดชั้นในก็ไซส์พอดีตัวเธอเป๊ะ
ไป๋เสว่เอ๋อร์อดจะคิดดีไม่ได้ เผยลี่เชินมีผู้หญิงทั้งหมดกี่คน ถึงจะสามารถคุ้นเคยกับขนาดของผู้หญิง และเดาได้แม่นยำขนาดนี้กัน?
เธอออกมาจากห้องนอน เดินไปดูที่ห้องรับแขกก็ไม่เห็นร่างของเผยลี่เชิน เลยต้องถามคนรับใช้ ถึงได้รู้ว่าเขาอยู่ที่ห้องสมุด
ไป๋เสว่อเอ๋อร์จ้องถาดในมือของคนรับใช้ มันเป็นชาที่พึ่งชงมาใหม่ๆ เธอเลยถามขึ้น “เอาไปให้ประธานเผยใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
“เอามาให้ฉัน ฉันกำลังมาหาเขาอยู่พอดี” ไป๋เสว่อเอ๋อร์หยิบถาดมาถือไว้เมื่อสาวใช้ชี้ทางให้ตรงไปยังชั้นสอง
เดินมาถึงหน้าห้องสมุด เธอยกมือขึ้นมาเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงอีกคนตอบกลับมาก็ถึงจะเปิดประตูเข้าไป
เผยลี่เชินกำลังพลิกดูเอกสาร หญิงสาวค่อยๆเดินไปที่ด้านหน้าโต๊ะ ค่อยๆวางถาดที่มีน้ำอยู่ที่มุมโต๊ะ หลังจากนั้นเธอก็หยิบถ้วยชามาเทชา และวางมันลงไปข้างมือของอีกคน
เมื่อเห็นว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้องเผยลี่เชินจึงเงยหน้าขึ้นมา ทันทีที่เห็นไป๋เสว่อเอ๋อร์ มองดูทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ก็ทำเอาเขายกคิ้วขึ้นมา “คิดออกแล้วเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที กลับกันเธอดันถ้วยชาไปยังด้านหน้าของอีกคน ก่อนเสียงนุ่มจะเอ่ยขึ้น “ประธานเผย ดื่มชาก่อน”
เผยลี่เชินมองเธออย่างสนใจ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาทำอะไรแบบนี้ มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
เธออุตส่าห์เทชาให้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนเรื่องทำข้อตกลงจะแกร่งกว่าเขาเสียอีก
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มขำ “แน่นอนว่าไม่มีอะไรสามารถซ่อนได้จากประธานเผย ฉันตกลงข้อตกลงนั่น แต่ว่าฉันมีข้อกำหนดเพิ่มเติม”
“ว่ามาสิ”
“ฉันหวังว่าประธานเผยจะพอมีงานให้ฉันทำสักที่ ให้ฉันได้ไปตั้งตัวตั้งหลักในเผยซื่อ อย่างน้อยมันก็จะทำให้ฉันใช้ชีวิตธรรมดากับแม่ของฉันได้”
เผยลี่เชินเอื้อมมือไปคว้าชามาจิบอย่างไม่พูดอะไร
จริงๆแล้วเขาคิดไว้แล้วให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำงานที่นั่น แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะเสนอตัวเธอเอง
“ได้ จัดการเรื่องของไป๋ซื่อเสร็จ ก็มารายงานที่บริษัท ฉันจะให้คนจัดการงานของเธอให้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่คิดว่าเผยลี่เชินจะเห็นด้วยอย่างง่ายดาย เธอยิ้มให้ชายคนนั้น และกล่าวเอ่ยขอบคุณออกมา “ขอบคุณค่ะท่านประธาน”
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ยินอีกคนเรียกตัวเองแบบนั้นก็อดจะตาเป็นประกายไม่ได้
“งั้นถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดขึ้นก่อนจะหันเตรียมก้าวเท้าออกไป
“อย่าขยับ”
เสียงของเขาทำเอาเธอชะงักแทบจะในทันที เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเผยลี่เชิน เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีนักของอีกคนก็ทำให้ใจมันสั่นแปลกๆ
“ประธานเผย…”
เผยลี่เชินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวไป๋เสว่เอ๋อ ดวงตาจ้องเธออย่างลึกซึ้ง “ทีหลัง นอกจากในที่บริษัท เวลาอื่นไม่ต้องมาเรียกว่าฉันว่าประธานเผย”
หญิงสาวตะลึงไปกว่าครึ่งวินาที “งั้น จะให้ฉันเรียกคุณว่าอะไร?”
เผยลี่เชินหยุดไปสักครู่นึง ก่อนจะหันตัวกลับและทิ้งประโยคไว้ “ก็แล้วแต่คุณจะเรียก”
บทที่15 ประกาศล้มละลาย
แล้วแต่เธอจะเรียก? แล้วเธอจะรู้ได้ไงว่าเรียกยังไงเขาถึงจะพอใจ? ลี่เชิน? โจวโจว?
ชื่อเรียกแต่ละชื่อผุดออกมาจากสมองของไป๋เสว่เอ๋อร์ ทำเอาเธอรู้สึกนึกรังเกียจ ช่างมันๆ ก็เรียกชื่อปกติก็พอแล้วนั่นล่ะ
……
จากบ้านเผยลี่เชินจนกลับมาถึงบ้าน ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอดรองเท้าเปลี่ยนที่หน้าประตูบ้าน ก่อนจะมองไปทั่วแต่ก็ไม่มีแต่เงาคุณแม่ไป๋ของเธอ
วันนี้เธอตกลงทำข้อตกลงกับเผยลี่เชิน ซึ่งก็คือต้องยอมปล่อยไป๋ซื่อ การตัดสินใจครั้งนี้ แน่นอนว่าเธอจะต้องบอกแม่ของเธอมันถึงจะสมบูรณ์ ส่วนพ่อของเธอนั้น ก็ต้องค่อยๆว่ากันต่อไปทีละขั้นตอน
ท้ายที่สุดเมื่อจะต้องเลือกการเอาชีวิตรอด กับเรื่องที่ต้องเผชิญของไป๋ซื่อ แน่นอนว่าเธอจะต้องเลือกรีบจัดการกับความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของเธอก่อน
“แม่คะ?”
ไป๋เสว่อเอ๋อร์เดินขึ้นบันไดไปด้วย เรียกไปด้วย วนไปรอบก็ยังไม่เจอร่างของอีกคน สุดท้ายเธอก็เลยเดินลงไปข้างล่าง เข้าห้องครัวอย่างคิดที่จะทำอะไรกินดีแทน
แม่ของเธอเคยใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวยมาก่อน แต่ก่อนจะคอยมีแต่คนรับใช้มาคอยดูแลจะทำอะไรก็ไม่แม้แต่จะต้องลงมือทำด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ตระกูลไป๋ล้มละลาย คนรับใช้ก็ออกไปกันหมด แม่ของเธอก็เลยเริ่มที่จะลองเข้าครัว แต่สิ่งที่เธอพอจะพยายามทำได้บ้างกลับไม่ใช่การต้มเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่กลับข้าวต้มเปล่าๆแค่นั้นเอง
แต่สำหรับไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอชำนาญในเรื่องเปียโน, การเขียนอักษร, และการวาดภาพ จริงๆแล้วก็ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน แต่ตอนนี้สถานการณ์นั้นบังคับให้เธอต้องทำมัน เธอคงต้องยอมรับว่าแม้ว่าจะไม่รู้อะไรแต่ก็ยังหัวรั้นทำมัน
ในขณะที่ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังติดตามการสอนเกี่ยวกับการทำไข่กวนบนโทรศัพท์มือถือของเธอ ทั้งมือก็พยายามตอกไข่อยู่ ไม่ทันที่เธอจะได้เปิดเตา เสียงก็ดังมาจากข้างนอก
เธอวางมือในสิ่งที่ทำอยู่ก่อนจะออกไปและมองเห็นแม่ของเธอที่กลับออกมาจากข้างนอก
“แม่ออกไปไหนมาคะ?”
คุณแม่ไป๋มองเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์เดินออกมาจากห้องครัวก็อดจะแปลกใจไม่ได้ ก่อนจะตอบกลับไป “ม แม่… แม่ไปติดต่อกับพวกเพื่อนเก่าของแม่หลายๆคน ไปลองดูว่าพวกเขาพอจะช่วยบริษัทของเราได้บ้างไหม”
เพื่อน? เท่าที่ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้ เพื่อนๆของไป๋ซื่อ ทันทีที่เราตกชะตากรรมลำบากพวกเขาก็เปลี่ยนหน้าเร็วเสียยิ่งกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสือ ไม่มีใครที่จะให้ความช่วยเหลือได้สักคน
หญิงสาวสูดลมหายใจตั้งสติ ก่อนจะเดินเข้าไปหา เอื้อมมือจับมือผู้เป็นแม่ก่อนจะบีบมันเบาๆ “แม่คะ หนูมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแม่”
เมื่อคนเป็นแม่เห็นสีหน้าลูกสาวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจัง “เสว่เอ๋อร์ ลูกบอกแม่มาตรงๆว่าลูกหาคนมาช่วยพวกเราได้แล้วหรือไม่?”
“แม่คะ หนูพูดตามตรงเลยนะ ไป๋ซื่อตอนนี้มันพังไปแล้ว นอกจากเหลือแต่เพียงชื่อ ที่เหลือก็ไม่มีอะไร…”
“ลูกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร?” ทันใดนั้นสีหน้าของคุณแม่ไป๋ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “ลูกก็ไปหลงเชื่อข่าวลือที่ข้างนอกเขาพูดกันใช่ไหม! อะไรพัง! บริษัทยิ่งใหญ่จะตายอยู่ๆจะมาพูดว่ามันเหลือแต่ชื่อ ทุกอย่างพังไปแล้วปล่อยให้พังอย่างที่ว่างั้นเหรอ!”
ใบหน้าคนโตกว่าเปลี่ยนแทบจะทันที ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เธอหายใจเข้าลึกๆก่อนจะอธิบายอย่างอดกลั้น “แม่คะ ฟังหนูก่อน ตอนนี้ทางธนาคารกำลังเร่งพวกเรา ถ้าเรายังไม่มีอะไรไปคืนเขาบ้านเราก็จะถูกยึด และถ้าเรารอจนถึงตอนนั้นเราก็ไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไปแล้ว!”
“ยังมีพ่อไง ตอนนี้พ่อจะเป็นยังไงบ้างก็ยังไม่รู้ เรายังต้องใช้เงินเพื่อไปช่วยเขา ถ้าไป๋ซื่อพังพินาศ เราก็จะยิ่งพังเข้าไปอีก!”
ยิ่งคุณแม่ไป๋ได้ยินว่าบ้านจะถูกยึดไปขาย ยิ่งทำให้สติแตกมากกว่าเดิม “แล้วเราจะทำยังไง เสว่เอ๋อร์ บ้านนี้ไม่สามารถไม่มีมันได้แล้ว ไม่งั้นเราจะไปซุกหัวนอนที่ไหน!”
“แม่คะ อยู่ในป่ายังไงก็ไม่กลัวว่าไม่มีฟืน ตอนนี้เราทำได้แค่ประกาศเรื่องบริษัทล้มละลาย แล้วเลิกกิจการซะ หลังจากนั้นเราก็มาหางานทำกัน เพื่อรักษาชีวิตเราเอง”
หน้าตาคนเป็นแม่ไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วเธอก็ทำได้แค่ถอนหายใจ “เฮ้อ ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้ ไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วล่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์จ้องมองสภาพแตกสลายของแม่ของเธอ ในใจเธอรู้สึกละอายใจไม่น้อย เธอซบใบหน้าลงที่ไหล่ของคนเป็นแม่ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “แม่คะ วางใจเถอะนะ หนูจะพยายามเพื่อที่แม่จะอยู่อย่างสุขสบาย…”
ตอนนี้เธอเองก็ไม่มีทางเลือก เธอเคยอยู่จุดสูง ซ้ำยังเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เธอก็ไม่สามารถขายตนเองเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด
หลังจากได้รับการยื่นขอล้มละลายจากศาล ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงเข้าบริษัทและทำตามกระบวนการ แต่ว่าข่าวลือเรื่องล้มละลายกลับกระฉ่อนไปทั่วอยู่แล้ว
พนักงานกำลังจะสูญเสียงานของพวกเขาและพวกเขาเริ่มไม่พอใจแล้วเมื่อตอนนี้มีข่าวลือว่าทรัพย์สินของบริษัทไม่เพียงพอที่จะจ่ายเงินชดเชยและมันก็ยิ่งทำให้พวกเขาปั่นป่วน
ทันทีที่ไป๋เสว่อเอ๋อร์เดินเข้ามาก็ได้ยินหลายๆคนคุยเรื่องนี้ ถึงขั้นที่กล้าที่จะคุยเรื่องนี้กันต่อหน้าเธอ หญิงสาวจัดการติดต่อแผนกการเงินของบริษัท ก่อนจะรีบเปิดประชุมอย่างเร่งด่วน
การประชุมพึ่งเริ่มไปได้แค่ครึ่งทาง ด้านนอกก็ส่งเสียงวุ่นวายขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์เหลือสายตามองไปยังเลขาข้างตัว ก่อนจะออกคำสั่ง “ส้ง ออกไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“รับทราบค่ะ”
เลขาจัดการลุกขึ้นหันตัวเดินออกไปจากห้องประชุม ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองไปยังหัวหน้าของแผนกการเงินที่กำลังรายงานสถานการณ์ทางการเงินของบริษัท ก่อนจะบอกให้เขาพูดต่อ
หลังจากต้องมานั่งฟังคำพูดและข้อมูลที่เป็นมืออาชีพมากมาย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เริ่มที่จะปวดหัว หญิงสาวยกมือขึ้นขมวดคิ้วมุ่น “ผู้จัดการอู๋ นอกจากค่าใช้จ่ายพวกนั้นคุณช่วยพูดถึงเรื่องเงินสำรองที่เหลือจะเพียงพอสำหรับการจ่ายเงินชดเชยของพนักงานที่เหลืออยู่ได้ไหม?”
ผู้จัการอู๋ดูลังเล แต่นั่นมันก็ยากที่จะซ่อน “ถ้าหากรวมพนักงานประจำและพนักงานระยะสั้นทุกคนพนักงานประจำแต่ละแผนกและผู้จัดการของแผนกต่างๆเงินทุนที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอ … “”
ยังไม่ทันที่ผู้จัดการอู๋จะว่าจบ เสียงด้านนอกดังขึ้นดังขึ้นและประตูก็เปิด “ปัง” ขึ้นมา เลขาส้งรีบเปิดประตูวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก แล้วรีบผลักประตูล็อค ว่าเอ่ยขึ้น “ไม่ดีแล้วประธานไป๋! พนักงานข้างนอกโวยวายใหญ่แล้ว! ”
“อะไรนะ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์สั่นขึ้นมาทันที หลังหญิงสาวเหยียดตรง ก่อนจะรีบผลุดลุกขึ้น “ทำไมถึงโวยวายขึ้นมาได้? ฉันไม่ได้ให้พวกเธอไปอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังก่อนหรอกเหรอ?”
“แต่พวกเขาไม่ฟังเลย!”
เลขาส้งก็ไม่มีวิธีแก้ไขแล้วเหมือนกัน ทันใดนั้น หัวหน้าทั้งหลายกับเลขาทั้งห้องประชุมก็ต้องหน้าตาตื่น
บางคนที่อยู่นอกห้องประชุมกระแทกประตูอย่างหนักและมีเสียงต่าง ๆ ปะปนกัน แต่บางคำก็ได้ยินเสียงแผ่วเบา
“เปิดประตู ท่านไป๋ คุณจะต้องออกมาแถลงการณ์กับเรา”
“ฉันทำงานให้ไป๋ซื่อมา7-8ปีแล้ว! จะมาคิดจะไล่ก็ไล่ไม่ได้นะ! เปิดประตู!”
“ใช่! ตอนบริษัทมีปัญหาพวกเราก็อยู่ไม่ได้หนีไปไหน ตอนนี้ค่าชดเชยก็ไม่ให้! ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?!”
“……”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดเหล่านั้น สมองก็แทบระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ
เธอกัดฟันกำหมัดแน่น ตอนนี้พ่อเธอไม่อยู่ แน่นอนว่าเธอจะต้องจัดการกับมันเพียงลำพัง
สุดท้าย เธอก็ลุกไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูก่อนจะเอ่ยกับเลขาของตัวเอง “ส้ง เปิดประตู”
“ไม่ได้นะคะท่านประธาน! คุณไม่เห็นเหรอว่าพวกเขาเป็นอย่างไร! ไม่รู้ว่าเปิดมาจะมาต่อยตีกันที่นี่หรือเปล่าก็ไม่รู้!”
“เรียกรปภ. เถอะ!” คนที่พึ่งรายงานการประชุมเมื่อครู่อย่างผู้จัดการอู๋ก็เอ่ยขึ้นมา
เลขาส้งส่ายหน้า ราวกับจะสื่อว่ามันไร้ประโยชน์ “รปภ.ก็อยู่ร่วมกับพวกเขาข้างนอก…”
“แล้วจะทำยังไง? พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาโวยวายแบบนี้ต่อไปไม่ได้! งั้นก็เรียกตำรวจเลยแล้วกัน!”
“ไม่ได้!” ไป๋เสว่เอ๋อร์ปฏิเสธในทันที
ภ้าหากว่าเรียกตำรวจมาล่ะก็ เวลานั้นพนักงานของบริษัททุกคนคงจะผิดหวังเข้าไปใหญ่ และเรื่องก็จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ตอนนี้สิ่งที่สามารถทำได้นั้นก็คือการที่เธอเผชิญหน้ากับมัน ต้องบอกพวกเขาให้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน!
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” เสียงของไป๋เสว่เอ๋อร์แข็งขึ้นในทันที “ฉันจะออกไปคุยกับพวกเขา!”