บทที่16 ไม่เล่นตามเกม
เลขาส้งลังเล แต่ความแน่วแน่ของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ทำให้เธอรู้ว่าฉุดไม่อยู่ ตอนนี้คงทำได้แค่เปิดประตูห้องประชุมนี้เท่านั้น
ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด ท่าทางทุกคนดูข่มขู่และก้าวร้าวเสียแทบทั้งหมด
“ท่านไป๋! คุณต้องให้คำแถลงการณ์แก่พวกเรา!”
ทันทีที่คนเหล่านั้นเข้ามาพวกเขาก็เข้าล้อมรอบไป๋เสว่เอ๋อร์ เลขาส้งกลัวว่าจะมีคนลงมือกับเธอเลยรีบเดินเข้าไปในวงแต่ฝูงชนไม่รู้ว่าใครเข้ามาจึงผลักเธอออกไป
ไป่เสว่เอ๋อร์มองอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น “ทุกคนโปรดอดทนรอ ที่วันนี้ฉันมา ก็เพื่อที่จะให้แผนกการเงินจัดการเรื่องทรัพย์สินของบริษัท”
“เชื่อก็บ้าแล้ว! ใครๆเขาก็รู้ว่าตอนนี้ไป๋ซื่อมีแต่เปลือก เป็นหนี้มหาศาล แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้พวกเรากัน?!”
คนในกลุ่มนั้นเอ่ยประโยคไม่น่าฟังนั่นขึ้น
“ใช่! เลิกหลอกเราได้แล้ว! พวกเรารู้ว่าพวกคุณคนด้านบนกำลังแบ่งเงินกันอยู่ใช่ไหมล่ะ และพวกที่เหลือพนักงานระดับล่างอย่างพวกเราพวกคุณก็ไม่สนใจ!”
“ใช่แล้ว! ทั้งๆที่ไป๋ซื่อเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาทำไมกลายเป็นพวกเราซวย? ฉันตาบอดจริงๆที่มาเข้าบริษัทนี้!”
“ถูกต้อง! ถ้าฉันตกงานจะไปหางานอื่นก็ยากแล้ว เงินชดเชยก็ไม่จ่าย! นี่ยังอยากให้คนอื่นเข้ามีจมูกหายใจบ้างไหม!”
“……”
เมื่อไป๋เสว่อเอ๋อร์ได้ยินเสียงเหล่านี้หัวของเธอก็เกือบจะระเบิด บริษัทประสบปัญหา ตอนแรกเธอคิดว่าพนักงานที่ยังอยู่นั้นจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อถึงคราวจริงไม่มีใครควบคุมอารมณ์ได้เลย
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันแน่นก่อนจะตะโกนลั่น “หากพวกคุณไม่มีแม้แต่ความอดทนที่จะฟังสิ่งที่ฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้แล้วพูดมันอีกต่อไป! เหตุผลที่ฉันเปิดประตูก็เพื่อที่คุยกับพวกคุณให้เข้าใจอย่างชัดเจน!”
“ฉันพบกับฝ่ายการเงินเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินชดเชย หากพวกคุณมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาและทำให้กระบวนการช้าลงก็อย่ามากล่าวโทษเราถ้าเรายังหาเงินไม่ได้ตอนนี้! เงินนี้จะให้เมื่อไหร่มันไม่สำคัญกับฉัน! แต่ถ้าคุณทำเสียไปอีกหนึ่งวัน เงินที่จะถูกจ่ายก็ถูกเลื่อนไปอีกวันเหมือนกัน!”
เพียงแค่ไม่กี่ประโยคของไป๋เสว่เอ๋อร์ ก็ทำเอาทุกคนที่อยู่ในปัจจุบันสงบลง แม้ว่าพนักงานเหล่านี้จะใจร้อน แต่พวกเขาก็เป็นพวกเข้าใจง่าย การจ่ายเงินชดเชยจะต้องผ่านกระบวนการ
“ที่ประธานไป๋พูดก็ถูก หรือพวกเราควรจะอดทนรออีกสักหน่อย…” ไม่รู้ว่าใครในกลุ่มเอ่ยประโยคนั้นขึ้น
แต่ทันใดนั้นคนข้างกายก็คัดค้านขึ้น “รองั้นเหรอ? ถ้าเธอเอาเงินหนีไปพวกเราจะทำยังไง? ถึงเวลานั้นก็ไม่มีแม้แต่ที่ที่จะมาร้องครวญครางแล้ว!”
ไปเสว่เอ๋อร์สูดอากาศเข้าเต็มปอด มือกำหมัดแน่น ก่อนจะใช้มือแหวกทางผู้คนเดินตรงไปยังแท่นกล่าวในห้องประชุมด้านหน้า
เธอยืนนิ่งที่แท่นประกาศนั้น ก่อนจะเงยหน้าไล่กวาดมองทุกคน
“ฉันเชื่อว่าพนักงานทุกคนในห้องเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพของไป๋ซื่อ เมื่อไม่นานมานี้ไป๋ซื่อกำลังพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หลายๆคนที่กลัวก็ค่อยๆลาออกไปและเลิกไป พนักงานของบริษัทออกไปกันกว่าครึ่ง คงมีแต่พวกคุณที่ยังคงอยู่ ฉันรู้ว่าพวกคุณบางคนทำงานกับไป๋ซื่อมาหลายต่อหลายปีแล้ว ทุกก้าวของไป๋ซื่อมีทุกคนเป็นพยานมาโดยตลอด จริงๆแล้วฉันรู้สึกขอบคุณมาก ขอบคุณที่พวกคุณอยู่ร่วมทางมาจนถึงวาระสุดท้ายของไป๋ซื่อ ขอบคุณพวกคุณจริงๆ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูด ก่อนจะโค้งคำนับกว่าเก้าสิบองศาให้แก่ผู้คนด้านล่าง
ในห้องประชุมเงียบสนิท ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่คนที่เป็นผู้นำในการตั้งคำถามตอนนี้ก็ไม่พูดอะไร
ไม่กี่วิต่อมา ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยืดตัวขึ้น และพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ตอนนี้ไป๋ซื่อล้มละลายแล้ว ได้ใบแจ้งจากศาลอย่างชัดเจน แน่นอนว่าฉันจะจัดการเรื่องเงินชดเชยให้ทุกคนตามกระบวนการ แม้ว่าทรัพย์สินที่เหลืออยู่ของ บริษัท จะไม่เพียงพอหลังจากทำบัญชี แต่ฉันไป๋เสว่เอ๋อร์ให้สัญญา ไม่ว่าต้องยืมหรือต้องกู้เงินที่ไหน ฉันจะต้องเอาเงินที่พวกคุณสมควรได้มาให้ แน่นอนว่าจะไม่มีการติดค้างและการล่าช้า”
“ถ้าหากว่าพวกคุณยอมที่เชื่อคำพูดฉัน เชื่อในไป๋ซื่อ พวกเราจะรีบระดมทุนให้เร็วที่สุด จัดการคืนเงินชดเชยนั่นให้กับทุกคน ถ้าใครมีข้อเสนออะไรก็มาคุยกับฉันได้ แต่นอกเหนือจากนี้ ฉันหวังว่าจะไม่มีใครใช้โอกาสนี้รบกวนจิตใจคนอื่น! ถ้าหากพวกคุณไม่มีความคิดเห็นใดๆ ก็ไปตรงนั้นลงชื่อกับเลขาส้ง แล้วก็รอบทสรุป!”
คนด้านล่างมองหน้ากัน สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด พวกเขาเดินไปหาเลขาส้งลงชื่อกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครคนไหนแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
หญิงสาวใส่สูทสีอ่อนที่ยังคงยืนอยู่บนแท่นด้านบน และน้ำเสียงมุ่งมั่นทำให้ทุกคนดูสงบและวางใจขึ้นได้มาก
เผยลี่เชินยืนมองไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ที่หน้าต่างด้านนอกห้องประชุม ก่อนความคิดจะ
พลุ่งพล่าน ความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นในวันนี้มันเหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่เขาได้พบเธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะกัดฟันฮึดสู้ ราวกับกวางน้อยที่แสนแข็งแกร่ง
“ประธานเผย คุณดูแล้วยังจะเข้าไปข้างในไหมครับ?” เลขาข้างกายเอ่ยขึ้น
“ไม่” เผยลี่เชินตอบกลับ ก่อนจะหันหลังกลับเดินตรงไปยังลิฟต์
เนื่องจากเธอสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าไปอีกครั้งอย่างไรก็ตามคราวนี้เขาเห็นว่าเธอกำลังจัดการเรื่องนี้และเขาก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่มานี่
เมื่อเห็นทุกคนไปเซ็นชื่อ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ลงมาจากเวที ดวงตาจ้องมองไปที่หน้าต่างด้านหลังของห้องประชุม ก่อนจะเห็นหลังไวๆของอีกคนที่คุ้นเคย
ดวงใจของเธอสั่นไหว สมองภายในอยู่ๆก็หน้าของเผยลี่เชินขึ้นมา ใช่เขาหรือเปล่า? หลังที่กว้างและเป็นเอกลักษณ์แบบนั้น นอกจากเผยลี่เชินแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?
ไม่ทันที่เธอจะได้เดินไปตามหาคำตอบให้ตัวเอง ก็มีพนักงานอีกคนมาตัดหน้าเธอไว้ “ประธานไป๋ ผมมีเรื่องจะสอบถามคุณเกี่ยวกับค่าชดเชย…”
รอคนตรงหน้าถามเสร็จ ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงเดินออกไป แต่สิ่งที่เห็นก็มีแค่ทางเดินที่ว่างเปล่า แผ่นหลังของคนเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
ทันทีที่ออกจากบริษัท ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ตรงไปที่ธนาคารโดยตรงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเงินกู้ ที่ตอนนี้ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ของบริษัทไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายเงินชดเชยแก่พนักงานและเนื่องจากเธอสัญญาต่อหน้าทุกคนเธอจะต้องทำมันให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะไปธนาคารอีกกี่แห่ง แค่เพียงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเหตุผลมากมายก็ประเดประดังมาให้เธอทำเรื่องไม่ผ่านอยู่ร่ำไป
แน่นอนว่าไป๋เสว่เอ๋อร์รู้ว่าการล้มละลายของไป๋ซื่อทุกคนทั้งเมืองต่างก็รู้ทั้งหมด บริษัทยังคงเป็นหนี้เงินกู้จากธนาคาร การที่เธอต้องการกู้เงินในชื่อของเธอเองมันก็ยิ่งจะเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ประตูธนาคารคิดเกี่ยวกับคำพูดที่พนักงานธนาคารเพิ่งพูดกับเธอ ก่อนคิ้วของเธอจะขมวดแน่น
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็สั่นสะเทือน เธอหยิบขึ้นมารับสาย “ฮัลโหล?”
“นี่เธอคิดว่า ตอนนี้ธนาคารในเมืองไห่เฉิงที่ไหนจะปล่อยให้เธอกู้เงินกัน?”
เสียงชายหนุ่มเอ่ยออกมาเสียงเบา ไป๋เสว่เอ๋อร์ใจสั่นระรัว ก่อนจะมองไปรอบๆเพื่อค้นหาเงาร่างของปลายสาย “คุณอยู่ไหน?”
“มาที่บ้านฉัน” เผยลี่เชินเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะตัดสายไป
ตั้งแต่ที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ไปตั้งแต่ธนาคารแรก คนที่นั่นก็โทรหารายงานเขาแล้ว มันยากสำหรับเขาที่จะรู้ผู้หญิงคนนี้ ตอนฉลาดก็แสนฉลาด แต่บทจะโง่ก็โง่มากเหมือนกัน
แค่เพียงถ้าหากเธอโทรหาเขา เขาก็พร้อมที่จะเอาเงินให้เธอในทันที ทำไมจะต้องมาวิ่งแล่นหาไปทุกธนาคารแบบนี้กัน?
ดูเหมือนว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะยังไม่เข้าใจการทำธุรกรรมของเราสองคน เผยลี่เชินก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะช้อนรอยยิ้มขึ้น
ไม่เป็นไร เขาชอบที่เธอไม่เล่นตามเกมเขา
บทที่17 งั้นคืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินทางมาถึงคฤหาสน์ของเผยลี่เชิน คนรับใช้พาเธอไปยังหน้าห้องสมุด
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงื้อมือขึ้นก่อนจะเคาะและเปิดประตูเข้าไป หน้าตาไม่สู้ดีนัก
เธอไม่รู้ว่าเผยลี่เชินรู้วิธีการของเธอขนาดไหน แต่ความรู้สึกที่ได้สัมผัสดวงตาของบุคคลอื่นนั้นไม่ดีเลย แต่คำพูดและการกระทำแบบนี้ไม่ดีเลยในสายตาของอีกคน
เผยลี่เชินก้าวช่วงเท้ายาวเข้าไปนั่งยังโซฟา มือหนามีแท็บเลตไว้ในมือ ทันทีที่ได้ยินเสียง ก็วางสิ่งในมือลงข้างตัว ก่อนจะลอบยิ้มมองจ้องไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ ทั้งบ่ายนี่เธอตระเวนไปกว่าสี่ธนาคารและถูกปฏิเสธเสียหมดนี่รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นสีหน้าเธอก็ดูย่ำแย่ลง “ประธานเผยเรียกฉันมา เพื่อที่จะมาเยาะเย้ยงั้นเหรอคะ?”
เธอเน้นคำว่า “ประธานเผย” อย่างจงใจซึ่งแน่นอนว่าตั้งใจอย่างชัดเจน
ดวงตาของเผยลี่เชินหลุบลง เขาสามารถมองเห็นอารมณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้หญิงตรงหน้า เขาตบโซฟาข้างเขาและพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “มานี่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการยับยั้งที่จับต้องไม่ได้ของชายตรงหน้า เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วนั่งลง แต่จงใจเว้นช่องว่างให้ห่างจากเผยลี่เชิน
“ฉันจัดการเธอได้ จะท้าฉันงั้นเหรอ?” เผยลี่เชินขมวดคิ้ว “มานี่!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขยับไปนั่งใกล้ เธอจ้องมองไปที่คนด้านข้างก่อนจะพูดขึ้น “ฉันคิดว่าเรามีบางสิ่งที่จะต้องพูดให้ชัดเจน เราทำข้อตกลงกัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าแต่ไม่ได้หมายความว่าฉันได้สูญเสียอิสรภาพโดยสิ้นเชิง การจับตาดูฉันแบบนี้ฉันทนไม่ไหว ”
เป่ยหลี่เฉินหัวเราะพลางก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ไป๋เสว่เอ๋อร์เธอจะบอกว่าฉันวุ่นวายมากเกินไปงั้นเหรอ?? ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากการเฝ้าดูคุณเหรอ? หืม?”
“งั้นคุณรู้ได้ยังไง…”
“ฉันก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก แต่โทรศัพท์ที่ธนาคารโทรมาแจ้งฉัน ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ยากที่ปฏิเสธ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รับฟังแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คิ้วขยับแต่ไม่ได้ขมวดกันแน่น
เผยลี่เชินเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันเรียกเธอมาทำอะไร?”
“หญิงสาวเงียบไม่ได้ตอบ”
ข้อตกลงของเรามันเริ่มแล้ว ถ้าต้องการเงินก็แค่มาบอกฉัน
แม้ว่าเผยลี่เชินจะไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าใจความหมายของคำพูด เป็นความจริงที่ว่าตราบใดที่เธอสามารถทำให้เผยลี่เชินพอใจเงินก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่สุดท้ายแล้วเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ล่องลอยไปมาระหว่างดอกไม้ตามธรรมชาติเธอไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเธอได้ในทันที
สายตาที่อีกคนจ้องมองมา ทำเอาลำคอของหญิงสาวแห้งผาก เธอหายใจเข้าลึกก่อนจะเรียกความกล้าหาญออกมาพาร่างส่วนบนของเธอไปพิงซบกับชายหนุ่ม “งั้นคืนนี้ ฉันจะอยู่ที่นี่…”
ทันทีที่พูดออกมา หน้าเธอก็ขึ้นสีแดงก่ำเสียแทบจะทันที เธอไม่ใช่หญิงสาวที่โชกโชน เพราะแค่คำพูดตัวเองเธอก็เขินเสียจนหน้าแดงแล้ว
เผยลี่เชินเมื่อเห็นหูที่แดงของเธอก็ยกรอยยิ้มขึ้น
มือของเขาโอบรอบเอวของผู้หญิงและกดเธอให้แนบกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ทั้งดวงตาของชายหนุ่มก็แสดงออกถึงความต้องการออกมาและไม่ลืมยกยิ้ม “จะรอถึงคืนนี้ทำไม?”
ทันทีที่พูดจบเผยลี่เชินก็หมุนตัวกดร่างหญิงสาวให้อยู่ใต้อาณัติทันที
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ เธอออกจากห้องน้ำมาก็เห็นเผยลี่เชินกำลังจ้องมองกระเป๋าที่เปิดออกของเธอ ข้างในเป็นหนังสือธุรกิจ เธอเพิ่งหยิบอะไรบางอย่างและลืมดึงซิปรูดปิด ดีหน่อยที่มันเปิดแค่มุมหนึ่ง
ดูเหมือนว่าเผยลี่เชินจะให้ความสนใจมาก เขาหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วพลิกมันดู สายตาราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ “ของเธอเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ตอบ ท่าทางเพิกเฉย
ในวันนั้นหลังจากที่เธอได้เรียนรู้จากเผยลี่เชินว่าพ่อของเธอเคยพูดว่าเธอไม่มีความคิดทางธุรกิจ เธอรู้สึกราวกับโดนตีแสกหน้า เพราะตระกูลไป๋เติบโตได้ด้วยการทำธุรกิจ แต่เธอ ในฐานะลูกสาวคนเดียวของตระกูล วันๆก็เรียนแต่เปียโน วาดรูป แล้วก็มารยาท คณะที่เรียนเมื่อมหาวิทยาลัยก็คือพวกภาษารองซึ่งไม่มีความข้องเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจเสียอย่างใด ตั้งแต่ที่พ่อของเธอถูกจับไป การดูแลไป๋ซื่อก็ถูกแบกไว้บนไหล่ เธอถึงรู้ว่าเธอบกพร่องในเรื่องธุรกิจอย่างชัดเจน
ความไม่เต็มใจที่จะล้าหลังทำให้เธอต้องการเพิ่มพูนความรู้เป็นครั้งแรก ดังนั้นเธอจึงไปที่ห้องสมุดของพ่อของเธอและเอาหนังสือสองสามเล่มมาอ่าน เธอคิดว่าเล่มนี้มันดีเลยพกไว้ในกระเป๋าของเธอ
ไม่คิดเลยเหมือนกันว่าจะถูกเผยลี่เชินเห็นซะได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เธอเดินไปข้างหน้าก่อนจะหยิบหนังสือออกมาจากชายหนุ่มและเก็บมันเข้ากระเป๋าตามเดิม “ฉันก็ดูมั่วไปเรื่อย”
เผยลี่เชินยิ้มออกมาเบาๆ “มาอยู่กับฉันสักปี คงจะได้เรื่องกว่าอ่านหนังสือพวกนี้อีกร้อยเล่ม”
เผยลี่เชินเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เธอรู้ตำแหน่งของเผยลี่เชินในโลกธุรกิจ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดที่มั่นใจและหลงตัวเองจากชายตรงหน้า
ชายตรงหน้าเหมือนจะดูออกว่าเธอตกตะลึง ก่อนเขาจะเปลี่ยนเรื่อง “กินข้าว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์คืนสติ ก่อนจะตามอีกคนไป
อาหารเย็นวันนี้นั้นอุดมสมบูรณ์มาก แต่ไป๋เสว่เอ๋อร์พบว่าอาหารทุกจานเบาและรสชาติมีแนวโน้มที่จะหวาน ไป๋เสว่เอ๋อร์ตักข้าวต้มเข้าปาก ก่อนจะพบว่ามันใส่น้ำตาลลงไปเช่นกัน
เป็นไปได้ไหมว่าเผยลี่เชินชอบรสหวาน
หญิงสาวไม่มีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยถามออกไป เธอทำแค่คิดอยู่ในใจ
อาหารมื้อนี้ผ่านไป ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูเวลา แล้วพบว่ามันไม่เช้าแล้ว โทรศัพท์มีสายที่ไม่ได้รับของคนเป็นแม่หลายสาย แน่นอนว่าน่าจะโทรมาเพื่อถามไถ่ว่าจะกลับบ้านเมื่อไหร่
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลไปพักนึง มาคิดว่าสิ่งที่พวกเขาควรทำก็ทำแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่
“งั้น… เผยลี่เชิน ฉันขอตัวกลับก่อน” ว่าจบก็ลุกขึ้น สายตามองยังเจ้าของชื่อที่ดูเหมือนกำลังตอบข้อความใครสักคนผ่านมือถืออยู่
คนตัวสูงรับฟัง เงยหน้ามอง “จะกลับแล้ว?”
“อืม ฉัน…”
ไม่ปล่อยให้อีกคนพูดจบ เผยลี่เชินก็เอ่ยปากขัด “ถ้าฉันจะให้เธออยู่ล่ะ?”
ดวงตาดำลึกที่ยากจะคาดเดานั่น ทำเอาเธอเปิดตาเปิดปากแต่กลับไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา
เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธเขา เธอลังเลไปครู่เดียวก่อนจะตอบตกลง “งั้นฉันก็จะอยู่”
เมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ย เผยลี่เชินแสดงสีหน้าจริงจังออกมาเพียงครู่นึง ก่อนจะยืดลำตัวขึ้นจ้องมองไป๋เสว่เอ๋อร์โดยไม่พูดอะไรต่ออีก
คนโดนจ้องสุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามไป “เป็นอะไรไป?”
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ รวมไปถึงปฏิเสธฉันด้วย” เสียงของเผ่ยลี่เชินเย็นเฉียบเสียจนไม่ไหว “แม้ว่าจะมีการทำธุรกรรมการเงินระหว่างเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องประนีประนอม นี่เป็นเรื่องจริงในชีวิตโดยเฉพาะเรื่องการค้า”
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์สั่น ความรู้สึกลึกลับที่เกิดขึ้นกับหัวใจดวงเล็กนี้ เธอมองเห็นนัยน์ตาดำลึกนั่น หญิงสาวพยักหน้าเบาๆตอบกลับ “ฉันเข้าใจแล้ว”
ทันทีที่ออกมาจากบ้านอีกคน สมองของไป๋เสว่เอ๋อร์ย้อนไปถึงที่เผยลี่เชิน น้ำเสียงจริงจังนั่น มันเต็มไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ
ใช่เธอไม่ควรคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นข้อตกลงที่สกปรก และแน่นอนเธอจะไม่สูญเสียความพยายามครั้งสุดท้ายของตัวเอง ตั้งแต่วันที่เธอได้พบกับเผยลี่เชินที่ประตูบ้านของเผยอี้ เขาเป็นคนแรกที่เธอคิดถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเธอจะตกลงมาสูงเท่าไหร่ เธอก็จะไม่มีวันเสียความพยายามครั้งสุดท้ายของเธอไป
ในเวลานั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ขอบคุณที่ทำให้เธอพบกับเผยลี่เชิน ในช่วงเวลาสั้น ๆนี้เธอเรียนรู้มากในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุดอย่างการยอมแพ้รวมไปถึงการที่จะยืนหยัด
เรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อย แต่เรื่องบางเรื่องก็จำต้องพยายามยืนหยัดไว้
อาการเหม่อลอยถูกตัดจบเมื่อเลขาส้งโทรมา
“ประธานคะ เราได้รับเงินแล้ว! ประธานไป๋ไปเอาเงินมาจากไหนกันคะ นี่บวกกับเงินทุนส่วนที่เหลือของบริษัทก็ยังเพียงพอสำหรับการจ่ายเงินชดเชยด้วย!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถือโทรศัพท์แน่นิ่ง เธอหันกลับไปมองคฤหาสน์ที่เธอพึ่งจะจากออกมาไม่ไกล ใจสั่นไหวรุนแรง
เงินพวกนั้น เธอรู้อย่างเต็มอกเลยว่ามันมาจากไหน
บทที่18 ไปรายงานตัวที่เผยซื่อ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์เปลี่ยนชุดให้เป็นทางการมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมไปรายงานตัวกับเผยซื่อ
เมื่อวานนี้หลังจากที่เงินถูกโอนมาถึง เธอก็ได้สั่งให้เลขาส้งส่งเงินให้ทุกคนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และในเวลาเดียวกันก็ประกาศการล้มละลายของบริษัท ตอนนี้ทั้งหมดที่เหลือที่เธอต้องทำคือใช้เวลาในจัดการเขียนข้อมูลบริษัท
เมื่อคืนที่ผ่านมาทันทีที่บริษัทประกาศล้มละลาย ข่าวทางอินเทอร์เน็ตแพร่สะพัดไปในทันที ตัวเลขการตลาดและสื่อต่างๆไล่ตามฮอตสปอตเป็นครั้งแรกและส่งบทความต่างๆออกมา อะไรกัน “ไป๋ซื่อหยุดที่จะสู้ สุดท้ายยอมแพ้เสียราบคาบ”งั้นเหรอ… พวกหัวข้อบ้าบอที่ทันทีที่เธอเห็นก็ต้องยกมือกุมขมับ จำต้องเลื่อนปิด ไม่พบไม่เห็นไม่ดูอะไรทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องคิดมากอะไรอีก
เธอรู้ดีว่าการล้มละลายของไป๋ซื่อที่ถูกประกาศเมื่อวานนี้ วันนี้เธอออกไปทำงานและตามข่าว เธอไม่รู้ว่าสื่อและทุกคนจะเขียนยังไง แต่ว่าเธอรอไม่ไหว ตอนนี้เงินเก็บของตระกูลเธอมีไม่มาก เธอไม่สามารถนั่งกินนอนกินรอไปแบบนี้
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนจะไปเธอก็ไม่ลืมที่จะจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณแม่ของเธอ ก่อนจะออกจากบ้านมาอย่างสบายใจ
เมื่อถึงเผยซื่อ เคาร์เตอร์ต้อนรับเมื่อได้ยินว่าเธอมารายงานตัวก็รีบโทรสายต่อทันที รอไม่นานหญิงนับสามสิบกว่าก็มารับเธอขึ้นไป
“ฉันหลัวหงรองผู้จัดการฝ่ายบุคคล คุณสามารถเรียกฉันพี่หง เดี๋ยวฉันพาคุณกรอกข้อมูลเพื่อลงนามในสัญญาแล้วเดี๋ยวจะสอนงานให้จะได้คุ้นเคย”
“ขอบคุณค่ะพี่หง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์น่ะปากหวาน เธอคุยกับหลัวหงอย่างเพลิดเพลินในลิฟต์อย่างไม่มีติดขัด
“พี่หงคะ คือฉันขอถามหน่อยว่าฉันทำงานหน้าที่อะไร?”
คนข้างบนเป็นคนจัดการให้คุณเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธานเผย รับผิดชอบเรื่องการจัดตารางการประชุม งานแต่ละวันและพวกงานเลี้ยงของท่านประธานเผย และก็ต้องติดตามท่านไปตลอดยามที่ท่านออกไปงานข้างนอก สมองและสายตาต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา รู้วิธีจัดการกับเหตุฉุกเฉิน บางครั้งก็จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตประจำวันของประธาน… ”
หลัวหงเปล่งเสียงยาวๆไป ไป๋เสว่เอ๋อร์จดบันทึกไปด้วยทั้งยังตั้งคำถามไปด้วย “ติดตามเวลาออกไปทำธุระข้างนอก” และ “รับผิดชอบชีวิตประจำวันของประธาน” ทำไมมันดูลึกลับจัง …
เมื่อหลัวหงเห็นว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ดุจะช็อคไปไม่น้อย จึงหยุดพูดชั่วคราว “ไม่ต้องกังวล งานตั้งเยอะขนาดนี้ มั่นใจได้ว่ามีประธานมีเลขามากกว่าหนึ่งคนแน่ เลขาแต่ละคนเรื่องที่ต้องดูก็ไม่เหมือนกัน ถ้าหากถึงตอนนั้นเธอเพียงทำตามบอกก็พอแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ผงกหัว “ขอบคุณมากพี่หงที่ช่วยเตือน ฉันพึ่งจะมาเจอเรื่องเยอะแยะแบบนี้เลยไม่ค่อยเข้าใจมาก หวังว่าพี่หงจะช่วยกรุณา”
หลัวหงได้ฟังดังนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือ “นี่เรื่องเล็กน้อยน่า เด็กใหม่ก็ต้องไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา หลังจากนั้นก็ค่อยๆศึกษาไปก็ได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะตามอีกคนขึ้นไปต่อ
ก่อนที่เธอจะมาเธอคิดว่าคนของเผยซื่อคงจะเข้าหาได้ยาก แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์แอบโล่งใจอย่างลับๆและติดตามหลัวหงไปยังแผนกบุคลากรเพื่อพิจารณาพิธีการ
หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว หลัวหงก็พาไป๋เสว่เอ๋อร์ไปทำความคุ้นเคยกับแผนกหลักของบริษัท คำถามยังคงหลุดมาอย่างต่อเนื่องจากไป๋เสว่เอ๋อร์ และหลัวหงก็มีความอดทนมากพอที่จะตอบคำถามนั้นเรื่อยๆเช่นกัน
“ข้างหน้าเป็นห้องเอกสาร เอกสารข้อมูลทั้งหมดสุดท้ายจะถูกเก็บไว้ในนั้น เอกสารไม่สามารถรั่วไหลไปไหนได้ และพวกเอกสารเก่าจะต้องถูกทำลายโดยเร็วที่สุด”
ไป๋เสว่เอ๋อร์โน๊ตจุดสำคัญที่หลัวหงว่าอย่างตั้งใจ ถึงขนาดที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เผยอี้เดินอย่างรีบเร่งด้านหลังตามมาด้วยชายสองสามคนที่ดูเหมือนลูกน้องกำลังคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่เขาเดิน เขาเหลือบไปทางด้านข้างโดยไม่ตั้งใจและจับตามองเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย
ไป๋เสว่เอ๋อร์? เธอมาทำอะไรที่นี่?
ทันทีที่เผยอี้เห็นคนที่พาเธอมาอย่างหลัวหง ทุกอย่างก็ชัดเจนทันที ความโกรธเข้าครอบงำ เขารีบเดินเข้าไปทันทีและยื่นมือไปจับข้อมืออีกคนทันที
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอมาทำอะไรที่นี่?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกดึงก่อนจะเห็นว่าเจ้าของมือนั้นคือเผยอี้ ใบหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธแต่ไม่ได้เปิดเผยออกมา
หญิงสาวขมวดคิ้ว มือพยายามแกะมือหนาของอีกคนออก ก่อนจะถอยออกมาสองสามก้าว “เผยอี้ รบกวนให้เกียรติกันด้วย!”
ความโกรธเข้ามาในสมองและดวงตาของเผยอี้เส้นเลือดในตาขึ้นเสียจนคิดว่าถูกเผา “ให้เกียรติ? อันนี้ฉันว่าน่าจะเป็นฉันที่บอกเธอมาเสียยิ่งกว่า เมื่อวานไป๋ซื่อพึ่งจะประกาศล้มละลาย มาวันนี้ก็รีบเผ่นมาทำงานกับเผยซื่อ เธอยังจะมีหน้าอยู่อีกเหรอ?
คำพูดของเผยลี่เชินนั้นไม่น่าพอใจและไม่ได้หลบเลี่ยงใครอื่นนอกจากลูกน้องของหลัวหงและเป่ยยี่พนักงานของ บริษัท ที่ผ่านการตรวจดูด้านข้างและมองดูพวกเขาด้วยการนินทา
ไม่ต้องรอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์แก้ตัว หลัวหงก็รีบอธิบายทันที “ท่านรองประธานคะ ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทและเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการของบริษัทแล้ว ไม่มีอะไรผิดถ้าจะมาทำงาน”
“ฉันบอกให้เธอพูดรึไง!” เผยอี้ไม่แม้แต่จะอดทนฟัง ตะโกนลั่นใส่หลัวหง ก่อนจะหันกลับไปมองไป๋เสว่อเอ๋อร์ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ งานนี้เธอได้มายังเธอรู้ดีอยู่แก่ใจดี พวกเราคบกันมาก่อน!ฉันรู้ว่าเธอมันแย่ขนาดไหน!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างของเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำก่อนที่เธอจะมาทำงาน แน่นอนเธอก็พร้อมที่จะถูกสอบสวน แต่เมื่อเผยอี้พูดกับเธอต่อหน้าผู้คนมากมายเธอกลับรู้สึกว่าถูกตบอยู่หน้าสาธารณชน
เธอสูดหายใจเข้าลึก มองไปที่เผยอี้ ท่าทีสงบกว่าและพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “รองประธานเผย ถ้าคุณพูดจบแล้ว งั้นฉันข้อตัวไปทำงานก่อนละกัน”
“เธอ…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่สนว่าอีกคนจะรู้สึกอย่างไร เธอหันกลับมาสนใจหลัวหงก่อนจะเอ่ยเข้า “พี่หง ไปกันเถอะค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็รีบเดินถอยหลังไป
เผยอี้มองดูหญิงสาวที่แสนดื้อรั้นตรงหน้า ในใจยิ่งเหมือนกับโดนเผาไปด้วยเพลิงไป เขามองผู้หญิงคนนี้ต่ำไปเสียจริงๆ? เขาไม่คิดเลยว่าเผยลี่เชินจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยผู้หญิงคนนี้ ถึงขนาดที่รับเธอเข้ามาทำงาน
เผยอี้เห็นพนักงานรอบๆมองมา จึงตะโกนว่าลั่นด้วยความโกรธ “มองอะไรกัน! ไสหัวไปทำงานกันให้หมด!”
พนักงานกระจายตัวออกทันที อย่างนกที่แตกฝูง แบ่งกลุ่มไปเป็นสองสามกลุ่ม รวมหัวกระซิบกัน
ไป๋เสว่เอ๋อร์กับหลัวหง เดินออกมาไกล ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรมาก สุดท้าย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด มองไปยังหลัวหง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่หง ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ด้วยนะคะ”
เธอพูด ก่อนจะก้มลงคำนับ
หลัวหงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและเธอเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลไป๋ หญิงสาวผู้ถูกดุด่าว่ากล่าวเธอไม่โกรธ แต่เธอใช้ความคิดริเริ่มขอโทษเธอซึ่งทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ
เธอเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและจับมือไป๋เสว่เอ๋อร์ไว้ “ไม่เป็นไรรองประธานท่านมักจะฝึกคนในบริษัทแบบนี้แหละ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ฟังก็เข้าใจ หลัวหงพูดแบบนี้ทั้งยังพยายามรักษาหน้าของเธอไว้ ทำให้เธอรับรู้ผ่านไปถึงในใจถึงความอบอุ่นที่ได้รับ ก่อนจะอมยิ้มออกมา
หลังจากที่หลัวหงพาเธอไปชมบริษัทให้เธอคุ้นเคยมาสักพัก ก็พาตรงไปยังชั้น22 ห้องผู้บริหารและเลขา รวมไปถึงห้องประชุมใหญ่ๆจะอยู่ชั้นนี้หมด
เพราะว่าไป๋เสว่เอ๋อร์คือเลขาของเผยลี่เชิน เพราะฉะนั้นถึงมีห้องทำงานเดี่ยวไม่ใหญ่นัก และก็อยู่ใกล้กับห้องท่านประธาน ซึ่งค่อนข้างสะดวก
หลังจากหลัวหงพาเธอไปดูห้องตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ก็ดูเหมือนงานของอีกคนจะจบลงแล้ว “คุณไป๋ ฉันพาคุณไปดูมาแล้ว สักพักคุณก็ไปห้องประธานรายงานด้วยตัวเองละกันนะ”
“โอเคค่ะพี่หง ขอบคุณมาก”
หลัวหงยิ้มก่อนจะปล่อยมือเธอ และหันกลับออกไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์จัดการห้องของเธอเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่ห้องของประธาน เธอยกมือเคาะห้องสามครั้ง เมื่อได้ยินเสียงคนด้านในตอบกลับจึงค่อยเปิดประตูเข้าไป
เผยลี่เชินนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ไม่ได้ใส่เสื้อสูท เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทำให้รู้สึกดูสุขุม แต่มันกลับขับให้ผู้ชายคนนี้ดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
เผยลี่เชินเงยหน้าขึ้นมอง และพูดกับเธอเบาๆ “คุณคุ้นเคยกับขั้นตอนการทำงานหรือยัง?”
“เข้าใจเกือบหมดแล้วค่ะ ประธานเผย” คำตอบที่ดูเคร่งขรึม ราวกับเธอเปลี่ยนตำแหน่งเลขไปแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “มานี่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินขึ้นไปดีงว่า ก่อนจะหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน รอคำสั่ง
เผยลี่เชินยกคางตัวเองขึ้น ก่อนจะมองข้างตัว “มาตรงนี้”
บทที่19 ตั้งใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองสถานที่ที่เขาส่งสัญญาณความหมายให้ตรงเข้าไป ความหมายกำกวมของเขาช่างชัดเจน การที่จะไปยืนตรงนั้นถ้าในสถานที่อื่นเธอจะไม่มีปัญหาแน่ แต่กับตอนนี้นั้นเป็นเวลาทำงาน วันแรกที่เริ่มงานเธอก็ไม่อยากจะถูกคนอื่นจับได้เรื่องความสัมพันธ์อันเป็นความลับของเธอกับเผยลี่เชิน แม้มันจะคลุมเครือมากก็ตาม
เธอมองตอบกลับไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “คุณมีอะไรก็บอกตรงนี้เลยก็ได้ค่ะประธานเผย ฉันได้ยิน”
เมื่อได้ยินเผยลี่เชินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ ดื้อดึงไม่น้อยเลยจริงๆ
เขาไม่ยอมแพ้ ยกมือแตะโต๊ะข้างตัว “มานี่ มาเอาแก้วไปเปลี่ยนกาแฟแก้วใหม่ให้ฉัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองตามไปแล้วก็เห็นแก้วกาแฟที่อยู่บนโต๊ะอีกคนจริงๆ เธอถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้
เธอพึ่งจะเดินมาถึงข้างโต๊ะไม่นาน มือยังไม่ทันได้จับแก้วกาแฟนั้น ชายหนุ่มด้านข้างก็เอื้อมมือมาคว้าเอวเธอเข้าเสียได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจเสียจนเกือบร้องออกมา เธอรีบมองไปยังประตูหน้าต่าง ยังดีที่ประตูถูกปิดไว้ แต่หน้าต่างถูกเปิดไว้ตั้งครึ่งบาน! ถ้ามีคนเดินมาตรงหน้าต่างนี่ก็เห็นชัดแล้วว่าในห้องกำลังเกิดอะไรขึ้น!
ไป๋เสว่เอ๋อร์สองมือกำหน้าอกเผยลี่เชินแน่น น้ำเสียงสั่นเสียจนน่าหดหู่ “ประธานเผย!นี่มันเวลางานนะคะ!”
“แน่นอนว่าฉันรู้” ชายหนุ่มไม่ได้คัดค้าน แต่กลับใช้ดวงตาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าซึ่งดูเป็นการกระทำตรงข้ามคำพูด “แต่เธอแน่ใจเหรอว่าเธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพราะตั้งใจ?”
เขาเอ่ยขึ้น มือก็ยกขึ้นไล้ไปตามหน้าอกของเธอแผ่วเบา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มหัวลงมองตาม ก่อนจะต้องตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่ากระดุมบนเสื้อของเธอปลดออกไปเม็ดนึง แต่นั่นก็มากพอที่จะเห็นความเปลือยเปล่าของผิวหนัง…
เธอรีบยกมือขึ้นเพื่อปกปิดหน้าอกของเธออย่างรวดเร็วแล้วตะโกนลั่นขึ้นมา “ฉัน … ฉันเปล่านะ!”
น่าจะเป็นเมื่อกี้ที่เธอกับเผยอี้เจอกันเมื่อสักครู่ ตอนที่เขาฉุดลากเธอเลยไม่ได้ระวังกระดุมเลยเผลอออกจากรังไปหนึ่ง เธอสาบานเลยว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ! และยิ่งงต้องมาเผชิญสายตาขี้เล่นของชายหนุ่มตรงหน้า เธอก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะไม่ทันไรหน้าเธอก็แดงก่ำเข้าเสียแล้ว
เผยลี่เชินปล่อยเธอเป็นอิสระ หน้าตากลับมาระคนจริงจัง “คราวหน้าไม่ต้องใส่ชุดนี้แล้ว”
มันไม่ใช่การต่อรอง แต่มันคือการบังคับ มันเป็นน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้เธอปฏิเสธ
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดปาก ก่อนจะรีบติดกระดุมให้เรียบร้อย แล้วรีบหยิบแก้วกาแฟตรงหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันไปทำกาแฟมาให้”
เมื่อหญิงสาวพูดจบก็รีบพาร่างตัวเองออกไป ทันทีที่ออกมาจากห้องทำงานของอีกคนและปิดประตูได้ ก็ถอนหายใจออกมาทันที
ไม่พูดไม่ได้แล้ว เธอเคยดูถูกงานพวกนี้มาก่อน แต่การที่ต้องอยู่ในห้องกับเผยลี่เชินแค่เพียงสิบนาทีก็ทำเอาเธอแทบหายใจไม่ออก
ก่อนหน้านี้ที่พี่หงพาเธอเดินดูรอบๆนี่ เธอรู้ว่ามีห้องทำเครื่องดื่มอยู่ และมันเอาไว้ทำให้เผยลี่เชิน
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเดินเข้าไป มันมีทั้งที่ชงชา เครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟนำเข้า และเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล ทั้งยังมีตู้ไวน์เล็กๆอยู่ ตรงหน้าต่างมีโต๊ะกับโซฟาเล็กๆสองตัว สภาพห้องนี้ถือว่าน่านั่งเลยทีเดียว เพราะว่ามีทุกอย่างพร้อมเพรียง
หญิงสาวทำท่าจะชงกาแฟแต่สุดท้ายก็หยุดมือท่าทางมีความลังเล
เมื่อกี้เธอลืมถามเจ้านายเธอไปเลยว่าชอบกาแฟอะไร ถ้าจะกลับไปถามตอนนี้ล่ะก็ มันก็ดูเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูแก้วในมือก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ใช่ความกล้า ตุ่มนิ้วก้อยลงในแก้วและชิมรสมัน
เอสเปรสโซ่ใส่น้ำตาล
แค่ชิมเธอก็รู้รส ก่อนจะเทชากาแฟเย็นที่เหลือลงพร้อมจะทำแก้วใหม่
“คุณเป็นใคร?”
เสียงมาจากตรงประตู ไป๋เสว่เอ๋อร์หันกลับไปมองก่อนจะเพ่งดูรอบๆ
มีหญิงสาวที่ใส่ชุดเหมือนเธอ ดูเหมือนจะอายุยี่สิบกว่าๆเหมือนกัน ดวงตาสีผลแอพพริค็อทสุกสว่าง ผมยาวปล่อยสลวย ความยามของมันกำลังพอที่จะขับความสง่าให้อีกคน
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบ แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ว่ามาก่อนแทน “ใครอนุญาตให้เธอมาที่นี่? นี่มันเป็นที่ของประธานเผยไม่รู้หรือยังไง!”
อายุก็ไม่ได้มาก แต่คำพูดคำจาก็ไม่ได้เด็ก “ปล่อยแก้วในมือเธอลง และไสหัวไป! เป็นพนักงานแผนกไหน? คนอื่นไม่อยู่ก็คิดที่จะมาอ่อยท่านประธานงั้นเหรอ หน้าหนาเสียจริง!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกว่ามาหลายประโยคอย่างไม่ทันได้อ้าปาก ดวงตาของเธอหยุดที่หน้าอกหน้าใจของอีกฝ่ายที่มีชื่อติดอยู่ ก็ทำให้เข้าใจถึงหน้าที่การงานของอีกฝ่าย
“เลขาประธาน สวี่เยว่หรู”
ที่แท้ก็เลขาของประธานเผยอีกคนนี่เอง ก่อนหน้านี้ก็ทันได้ยินหลัวหงบอกว่าเขามีเลขาอยู่หลายคน คิดไม่ถึงเลยว่าแป๊ปเดียวก็ได้เจอเข้าแล้ว
“มองอะไร! ฉันไล่ให้ไปไม่ได้ยินหรือไง?”
สวี่เยว่หรูมองหาป้ายที่หน้าอกของไป๋เสว่เอ๋อร์ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “เธออยู่แผนกไหนกันแน่ ป้ายชื่อก็ไม่ติด ยังจะมาโผล่ถึงที่นี่!”
เธอยอมรับว่าเธอก็ไม่ได้ติดป้ายจริงๆ วันนี้เธอพึ่งมาถึง ตอนที่พึ่งรายงานตัวหลัวหงแจ้งแล้วว่าน่าจะสักวันสองวันถึงจะได้ป้ายชื่อกับบัตร
“ฉันคือไป๋เสว่เอ๋อร์ เลขาใหม่ ยินดีที่ได้รู้จัก” ไป๋เสว่เอ๋อร์ส่งยิ้มให้กับสวี่เยว่หรู ก่อนจะยื่นมือไปทำความรู้จักก่อน
สวี่เยว่หรูตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเธอก็มองขึ้นๆลงๆอย่างใช้ความคิด และในไม่ช้าเธอก็ได้คำตอบว่าผู้หญิงที่คุ้นเคยต่อหน้าเธอคือไป๋เสว่เอ๋อร์สาวน้อยผู้เคยร่ำรวยที่เพิ่งล้มละลาย
แล้วทำไมเธอถึงมาโผล่ที่นี่ได้? และยังจะมาแย่งตำแหน่งเธออีก!
สวี่เยว่หรูพยายามควบคุมสติ มือก็เอื้อมไปทำความรู้จัก “คุณใช่เจ้าของไป๋ซื่อที่แสนร่ำรวยนั่นใช่ไหม? ทำไมถึงมาทำงานที่เผยซื่อของพวกเราได้?”
ดูเหมือนสวี่เยว่หรูจะถามแบบสบาย ๆ แต่นัยน์ตาของเธอดูชัดเจนแจ่มแจ้งไม่น้อยว่าไม่พอใจเท่าไหร่ ไป๋เสว่เอ๋อร์มองที่เธอและไม่โกรธเธอรีบอธิบายเบาๆตอบกลับว่า “ร่ำรวยหรือไม่ร่ำรวย สุดท้ายฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ฉันได้มีโอกาสมาทำงานกับเผยซื่อถือว่าช่างโชคดีที่ได้รับโอกาสนี้ หวังว่าพี่สวี่คงจะไม่คิดมากเพราะฉันก็แค่เด็กมาใหม่ ฝากตัวด้วยนะคะ”
คำพูดสวยหรูของไป๋เสว่เอ๋อร์ทำเอาเธอตกใจไม่น้อย ก่อนสวี่เยว่หรูจะเอ่ยตอบกลับไป “อายุเราก็ไม่ห่างกันเสียเท่าไหร่ ไม่ต้องเรียกพี่สวี่หรอก ฉันไม่ค่อยชิน เรียกชื่อฉันเฉยๆก็พอ”
“โอเคค่ะ”
แม้ทั้งสองจะได้ทำความรู้จักแล้ว แต่แน่นอนว่าสวี่เยว่หรูก็ยังไม่ได้คิดจะดีกับเธอ สายตาของอีกคนจ้องมองมาที่แก้วกาแฟนั่น ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำกาแฟให้ประธานเผยครั้งแรกเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า
“ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่นม” สวี่เยว่หรูทิ้งคำพูดไว้ ก่อนจะกลับหลังเดินออกจากห้องไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์ดูลังเลเล็กน้อย สายตามองตามอีกคนไป แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เรียกสติตัวเองกลับคืน
เมื่อกี้เธอใช้มือชิมรสชาติกาแฟของอีกคนไปแล้ว แน่นอนว่ามันใส่น้ำตาล ถึงจะไม่มากแต่ก็ถือว่าใส่ งั้นแล้วทำไมสวี่เยว่หรูถึงบอกเธออย่างนั้น “ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่นม อย่างนั้นเหรอ?”
ไม่มีทางน่ะ เธอตั้งใจงั้นเหรอ?
ไป๋เสว่เอ๋อร์ล้างถ้วยในมือให้สะอาด ก่อนจะเอาไปวางจัดการเลือกกาแฟก่อนจะกดปุ่มด้วยความลังเลในใจเล็กน้อย
รอกาแฟเสร็จ เธอก็มาให้ความสนใจน้ำตาลด้านข้าง คิดอีกทีก่อนจะใส่เข้าไปสองช้อน
ทันทีที่ทำเสร็จ เธอก็ยกแก้วกาแฟในมือตรงไปยังห้องประธานทันที
เธอยกมือขึ้นเคาะประตู ก่อนจะเปิดเข้ามา วางถ้วยกาแฟไว้ที่ด้านขวามือของเผยลี่เชินและถอยไปอยู่อีกด้าน
เผยลี่เชินกำลังอ่านแปลเอกสาร เมื่อเห็นว่ากาแฟมาแล้วก็เอื้อมมือยกขึ้นดื่ม และก็หันกลับไปสนใจทำงานต่อ
เมื่อเห็นท่าทางของอีกคนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรสชาติของมันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ดูเหมือนคนที่ชื่อสวี่เยว่หรูคิดจะหลอกเธอจริงๆ
บทที่20 เธอมีอะไรดีกว่าคนอื่น
เผยลี่เชินจัดการอ่านเอกสารในมือจนจบก่อนจะตระหนักได้ว่าด้านข้างมีไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ เขาจัดการปิดเก็บเอกสารทันที ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ได้เจอกับเลขาสวี่แล้วหรือยัง?”
ความหมายเลขาสวี่ของชายหนุ่ม แน่นอนว่าต้องเป็นสวี่เยว่หรูไม่ใช่ใครอื่นแน่
“เมื่อกี้เจอแล้วที่ห้องทำเครื่องดื่มค่ะ” เธอตอบตามความจริง
“เลขาสวี่รับผิดชอบเรื่องจัดตารางงานในแต่ละวัน ฟังฉันและไปจัดการ สายๆเธอไปหาเลขาสวี่ บอกเขาว่าต้องการตารางการเดินทางของฉัน และอีกสักพักก็ไปเข้าประชุมกับฉันด้วย มีประชุมกับพวกระดับสูงกับโปรเจคหนานไห่ เธอต้องรับผิดชอบในการสรุปการประชุม”
“รับทราบค่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบรับ ชายหนุ่มสักพักก็ลุกขึ้นยืน คว้าสูทที่พาดไว้กลับขึ้นมาใส่ ก่อนจะเดินนำออกไปข้างนอก
หญิงสาวรอจนเผยลี่เชินเดินออกไปก่อนถึงเดินตามหลังไป แต่ก้าวได้ไม่ทันไร อยู่ๆคนตรงหน้าก็หยุดเข้าให้ คนตามหลังที่ไม่ทันได้ระวังก็เลยชนเข้ากับแผ่นหลังหนานั่นทันที
“ขอโทษทีค่ะท่านประธาน!”
ไม่ทันได้ถูแผลที่โขกบรรเทาความเจ็บ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ต้องรีบเอ่ยขอโทษอีกคนเอาเสียก่อน
เผยลี่เชินมองเธอก่อนไม่กี่วิต่อมาจะเอื้อมมือไปเชยคางอีกคนเข้า
หญิงสาวหัวใจรัดแน่นเมื่อสายตาสบเข้าโดยตรงกับดวงตาหนาลึกนั่นแต่กลับอ่านความหมายมันไม่ออก
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ จำไว้นะ คนที่มีคุณสมบัติของเลขาจะไม่แสดงออกตลอดเวลาแบบนี้”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอไม่เคยทำงานเป็นเลขามาก่อน หรือให้พูดตามตรงเลยก็คือทันทีที่เธอเรียนจบก็เข้าทำงานที่ไป๋ซื่อเลย ต่อให้ไม่ค่อยได้เรื่องเสียเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีประสบการณ์การทำงานด้านอื่น
“ถ้าเป็นฉัน อย่างน้อยก็จะยิ้ม” เผยลี่เชินว่า ทันใดนิ้วโป้งก็เลื่อนขึ้นไปเกลี่ยริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่น
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไป ก่อนชายตรงหน้าจะรีบถอนมือออก เขารีบหันหลังกลับมาก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป
หญิงสาวเดินตามหลังไป คิดถึงประโยคล่าสุดของอีกคน จึงค่อยๆแอบยกริมฝีปากอย่างเงียบๆ
ในห้องประชุมขนาดใหญ่บนชั้นเดียวกัน โต๊ะประชุมวงรีเต็มไปด้วยผู้คน เหลือก็เพียงตำแหน่งด้านหน้าตรงกลางที่ยังคงว่างอยู่
ทุกคนที่นั่งอยู่ ทั้งหมดเป็นพวกคนระดับสูงของเผยซื่อ เผยอี้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน เขามองโครงการหนานไห่ตรงหน้า ในใจอดจะรู้สึกหดหู่เล็กน้อยไม่ได้
หลังจากเมื่อเช้าที่เจอไป๋เสว่เอ๋อร์ที่บริษัท เธอก็เป็นเหมือนดั่งเงาที่ตามติดเขา ผลุบๆโผล่ๆในสมองของเขาตลอดเวลา แค่คิดว่าเผยลี่เชินเป็นคนจัดการให้เธอมาทำงานที่เผยซื่อก็อดจะโมโหไม่ได้
“กริ๊ก” เสียงประตูห้องประชุมถูกเปิดออก เผยลี่เชินเดินเข้ามา ดูเหมือนท่าทางที่ออกมาไม่รู้ตัวจะทำให้คนรอบกายเกรงขาม คนที่นั่งอยู่ต่างยืดตัวและหยุดพูดคุยแทบจะในทันที
เผยอี้ไม่ได้ตั้งใจมองก็เผลอมองเช่นกัน ไม่ทันจะได้ละสายตาออกมาก็เจอกับร่างเพรียวบางที่เดินตามเข้ามา
เผยอี้หันไปมองอย่างเต็มตา ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินตามเผยลี่เชินมาด้วยกัน ในมือถือตัวช่วยในการจดบันทึกอย่างแท็บเลตขนาดเล็ก ท่าทางราวกับเป็นเลขาส่วนตัวอย่างไงอย่างงั้น
ต้นคิ้วขมวดมุ่น มองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าไปมา
ที่แท้ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้ามาที่บริษัทก็เพื่อจะมาเป็นเลขาให้เผยลี่เชิน! ตอนนี้สมองของเผยอี้ก็มีเพียงแต่ภาพวันนั้นที่คฤหาสน์ของเผยลี่เชินที่หญิงสาวมีรอยรักประดับอยู่บนตัวแทรกเข้ามาไม่หยุดหย่อน
เผยลี่เชินเรียกให้ไป๋เสว่เอ๋อร์มานั่งข้างๆ เพื่อที่จะได้ทำงานกันอย่างของข้างสะดวก?
เผยอี้ไม่สามารถกลั้นความโกรธไว้ได้ มือหนาไม่ทันได้ลดแรงก็เผลอทุบเข้าให้ “ปัง” เสียงแรงกระแทกนั่นทำเอาคนรอบข้างหันมาสนใจ
เผยลี่เชินเงยหน้าขึ้นแล้วก็กวาดสายตาเขาอย่างแผ่วเบาจากนั้นก็นั่งลงตรงกลางที่นั่งว่างราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองเห็นที่นั่งที่อยู่ด้านข้างติดกำแพงด้านหนึ่ง มันไม่ใกล้ไม่ไกลมากเท่าไหร่ และยังได้ยินเสียงการประชุมอย่างชัดเจนแถมไม่รบกวนคนอื่นๆอีก ตรงนั้นก็ถือว่าน่าจะเป็นที่ของเลขานุการ
เธอเดินเข้าไปนั่งตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะเปิดแท็บเลตเตรียมพร้อมที่จะบันทึกไว้
เผยลี่เชินยกมือขึ้นและกดปุ่มบนไมโครโฟนบนโต๊ะก่อนจะกล่าวว่าเสียงเรียบ “การประชุมวันนี้จัดขึ้นเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับโครงการพัฒนาในดินแดนหนานไห่ ฉันกับรองประธานได้คุยกันเป็นการส่วนตัวแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็นคนให้ฉันหาวิธีจัดการ จึงอยากจะมาแจ้งให้ทุกคนได้ทราบ วันนี้ฉันอยากจะพูดอะไรกับคุณและรับฟังความคิดเห็นของคุณตามทาง และแน่นอนว่ายอมที่จะฟังความคิดเห็นของทุกคน”
ทันทีที่เผยลี่เชินพูดออกมา คนที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเผยอี้ก็แทบจะควบคุมความโกรธไว้ไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยออกมา “ประธานเผย พอดีผมมีข้อสงสัย ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะสามารถวางมือกับโปรเจคนี้ได้หรือไม่”
เขาตั้งใจพูดแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนเคลือบแคลงความสามารถของอีกฝ่าย ตอนแรกตกลงกันดีแล้วเมื่อตอนอยู่ที่บ้านวันนั้น ไม่ทันได้คิดเลยว่าจะเปลี่ยนคำเร็วขนาดนี้
หลังของเผยลี่เชินยังคงยืดตรงดั่งเคย นัยน์ตาเฉียบคมทรงพลังจ้องไปยังที่เผยอี้ ก่อนจะว่าขึ้น “รองประธานเผย ตอนนี้ที่คุณพูดแบบนี้ ฉันรู้สึกว่าคุณจะพร้อมยอมแพ้แล้วนะ”
เผยอี้มีท่าทีเหยียดหยาม ก่อนจะหันสายตาไปยังไป๋เสว๋เอ๋อร์แทบจะทันทีทันใด “ประธานเผย ดูเหมือนเดี๋ยวนี้การตัดสินใจของคุณจะไม่ค่อยดีเท่าที่ควรนะครับ ดูอย่างที่เปลี่ยนเลขาข้างกาย ผมล่ะอยากจะถามเสียจริงว่าคุณไป๋เสว่เอ๋อนี่มีอะไรดีกว่าคนอื่นอย่างไรกัน ถึงขนาดที่รับเธอเข้ามาโดยตรงโดยไม่ได้รับผ่านทางบริษัทแบบนี้”
เผยอี้ว่าก่อนจะลุกขึ้น มือสองข้างเท้าโต๊ะและมองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ พูดอย่างไม่ลดละ “ถ้าให้ผมพูด ไป๋เสว่เอ๋อแห่งตระกูลไป๋ที่เคยร่ำรวยแต่ตอนนี้นั้นแสนน่าเวทนานั่น น้องจากใบหน้าเรียวยาวผมล่ะยังคิดอยู่เลยว่าเธอจะมีความสามารถอะไรมากพอที่จะมาช่วยเหลือผู้บริหารของเรากัน?”
เขาว่าก่อนจะหันกลับไปที่เผยลี่เชินและรอคำตอบ
อยู่ท่ามกลางคนมากมาย เผยอี้ใช้ไป๋เสว่เอ๋อมาประจานออกหน้า ทุกคำในประโยคของเขาน่าละอายและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเหมือนกับใช้มือคนอื่นตบหน้าไป๋เสว่เอ๋อร์กลายๆ
ไม่ว่าหญิงสาวจะอดทนกับความรู้สึกของเธออย่างไร แต่ใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นแดงจัด ริมฝีปากที่ถูกกัด ก็เผยออกมาโดยที่เธอก็พูดอะไรไม่ออก
เผยลี่เชินเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น สีหน้าเริ่มอึมครึม “เผยอี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การที่ฉันจะเอาใครเข้าบริษัทต้องมารอการยินยอมจากนายกัน?”
เขาไม่ได้เรียกอีกคนว่า “รองประธานเผย” แล้ว แต่กลับเรียกเป็นชื่อของเจ้าตัว มันเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเขามีความอดทนไม่มากในขณะนี้
ดูเหมือนว่าเผยอี้จะโกรธ ในสายตาของเขาในเวลานี้ไม่ได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเผยลี่เชินเลยสักนิด เขาไม่คิดสนใจอะไร และยังคงทำลายอีกคนด้วยสิ่งที่พูดทิ้งไว้ของเขาต่อหน้าทุกคนต่อไป “ท่านประธานกฎของเผยซื่อคุณรู้ดีกว่าใคร สิ่งต้องห้ามที่สุดคือการเปิดเชิญใครก็ไม่รู้เข้ามาทางประตูด้านหลัง ถ้าคุณที่เป็นคนนำหน้าพวกเราทุกคนทำแบบนี้ แล้วคนอื่นจะทำอย่างไรกัน? ถ้าหากว่ามีคนที่ไร้วุฒิการศึกษา ไร้ประสบการณ์ก็สามารถขึ้นมาเป็นเลขานุการผู้บริหารใหญ่ได้เข้าเสีย งั้นบริษัทจะไม่มั่วไปหมดงั้นหรอกเหรอ?”
เผยอี้ลดระดับกดไป๋เสว่เอ๋อร์ให้ลงด่ำดิ่งต่ำลงไปที่สุด เขาไม่ได้สนใจใบหน้าของเธอเลยสักนิด แต่เขารู้สึกว่าแค่นี้มันยังไม่สาสม เลยเปลี่ยนให้มันแรงยิ่งขึ้น “ถ้าประธานกล้าที่จะรับเลขาแบบนี้เข้ามาทำงาน งั้นผมเห็นควรว่าโปรเจคหนานไห่ ควรจะระงับไปเลยเสียดีกว่า!”
“พูดจบรึยัง?”
เผยลี่เชินเปล่งเสียงออกมา สายตามองจ้องไปที่เผยอี้
เผยอี้ที่เห็นเผยลี่เชินเริ่มโกรธ ก็เย็บปากตัวเองเก็บแทบจะทันที
“การที่ฉันจะรับใครเข้าทำงานโดยที่ฉันเป็นคนจัดการเองมันเป็นไปไม่ได้หรือไง? ฉันต้องมาถามพวกพวกคุณแต่ละคนทีละคนๆว่ารับไหมอย่างนั้นเหรอ?”
เผยลี่เชินกล่าวมาแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกต่อไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งผู้จัดการเฉินของฝ่ายวางแผนก็กล่าวขึ้น “ประธานเผย ฉันคิดว่ารองประธานเผยพูดก็ไม่ผิด เป็นการยากที่จะโน้มน้าวใจผู้คนหากคุณเข้ามาในบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบ แต่ถ้าเลขานุการถังดีพอที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับบริษัท แน่นอนว่าพวกเราก็ยินดีที่จะรับมัน ”
ผู้จัดการเฉินเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ดีคนนึง คำพูดที่อีกคนใช้ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งเช่นนี้ต้องระวังไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง
เขามองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเผยลี่เชินอีกครั้ง “ทำไมไม่หาโอกาสให้เลขาไป๋พิสูจน์ความสามารถของเธอเองเพื่อให้ทุกคนได้มั่นใจได้กันล่ะครับ”