เซี่ยโหวเฉินยามนี้ยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด
อารมณ์ที่หวาดกลัวอย่างหนักเป็นทุนเดิม ในเวลานี้ยิ่งทวีความกลัวเข้าไปใหญ่ เซี่ยโหวเฉินมองคนเบื้องหน้าตนอย่างไม่เชื่อสายตา เอ่ยปากถามว่า “เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลาย…ใต้หล้า”
คำพูดของเป่ยเฉินอี้เป็นจริงหรือไม่
ใต้หล้าล่มสลาย
เดิมทีเขาคิดแค่ว่าอีกฝ่ายต้องการแค่ตำแหน่งฮ่องเต้เท่านั้น
เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟังเผยแววขบขันที่พบเจอได้น้อยครั้ง กล่าวว่า “ทำไม ทำเจ้าตกใจแล้วหรือ”
“ข้าหลงคิดว่า…” เซี่ยโหวเฉินจ้องเป่ยเฉินอี้ กำหมัดแน่น คำพูดที่อยากเอ่ยจุกอยู่ที่คอ พูดไม่ออก
เป่ยเฉินอี้กลับไม่ต้องให้เขาเอ่ยจบ พลันยิ้มเอ่ยต่อ “อย่าใช้การคาดเดาโง่เขลาของเจ้ามาประเมินข้า”
เซี่ยโหวเฉินรับรู้ได้แล้วว่าตนโมโหขึ้นมาบ้าง สนทนากับเป่ยเฉินอี้ช่างเป็นการทดสอบสติปัญญาและความอดทนด้านจิตใจโดยแท้ เขารู้สึกว่าหากเขายังถูกวาจาร้ายกาจของอีกฝ่ายจู่โจมอีกหลายประโยค เขาอาจจะโมโหตายไปเลยก็ได้
เซี่ยโหวเฉินสูดลมหายใจลึก จ้องมองคนที่ที่ถูกตนเรียกว่าอาจารย์ น้ำเสียงเย็นชาถามว่า “เพราะจงเจิ้งซีอย่างนั้นหรือ”
เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ บรรยากาศโดยรอบพลันสงบเงียบขึ้นมาก
จนกระทั่งทั่วสารทิศมีไอสังหารแผ่พุ่งออกมา ทำให้เซี่ยโหวเฉินชำเลืองมอง ทั้งตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ใครก็รู้ว่า ต่อหน้าเป่ยเฉินอี้ ชื่อจงเจิ้งซีเป็นเหมือนหัวข้อที่ไม่อาจเอ่ยถึง แต่เขาก็เอ่ยถามไปแล้ว
สุดท้าย เป่ยเฉินอี้คลี่ยิ้มออก
เขามองคนเบื้องหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำค่อยๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฝ้ารอเหลือเกินว่าเจ้าจะขุดเรื่องในอดีตของอาจารย์ได้ หากเจ้าทำได้จริง บางทีเจ้าอาจหาจุดอ่อนของข้าได้ แล้วก็อาจเอาชนะข้าได้”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าเซี่ยโหวเฉินสีหน้าเคร่งขรึม
ไม่ผิด เขาเอ่ยถึงจงเจิ้งซีก็เพราะได้ฟังเรื่องเล่าบางอย่างเท่านั้น ความจริงในปีนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เขาไม่รู้เลยสักน้อย ทุกอย่างเป็นแค่การคาดเดา ส่วนเป่ยเฉินอี้กลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่า ความจริงเซี่ยโหวเฉินไม่รู้ว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นจึงไม่รู้จุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ องครักษ์ผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในสวนดอกไม้แล้ว
เขายืนห่างจากร่างเป่ยเฉินอี้ไม่ไกลนัก เอ่ยปากรายงาน “ท่านอ๋อง สัมภาระตระเตรียมเอาไว้ครบถ้วนแล้ว ตอนนี้ออกเดินทางเลยหรือไม่”
คราวนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งไม่อาจไม่เชื่ออีกว่า อีกฝ่ายคาดเดาว่าตัวเขาจะเดินหมากเช่นนี้ตั้งแต่แรก
ไม่เช่นนั้น แม้แต่สัมภาระ เป่ยเฉินอี้ก็ให้บ่าวเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า
ในขณะที่เขาหน้าเขียวคล้ำ เป่ยเฉินอี้มองเขา เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าก็ได้ยินแล้ว ศิษย์ข้า อาจารย์ไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว เชื่อว่าอาศัยความฉลาดของเจ้า เจ้าน่าจะเข้าใจว่า ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม แขกที่รั้งอยู่เป็นเวลานานมีจำนวนน้อยที่ได้รับการต้อนรับจากเจ้าบ้านด้วยใจจริง”
“ท่าน…” ในฐานะที่เซี่ยโหวเฉินเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน ในเสี้ยวเวลานี้เกือบอดรนทนไม่ไหว
เขาสูดลมหายใจลึกสองสามครั้ง หลับตาเพื่อสงบจิตใจของตนเอง ผ่านไปสักครู่ ค่อยเปิดตามองเป่ยเฉินอี้ “วางใจเถอะ ไม่ช้าข้าก็จะจากไปเช่นกัน ข้ามีคำถามสุดท้ายที่อยากถามท่าน เพราะอะไร…ต้องเป็นสี่ปี”
สี่ปี
เพราะอะไรต้องเป็นเวลาสี่ปี
นับจากวันที่เป่ยเฉินอี้รับเซี่ยโหวเฉินเป็นศิษย์ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เป่ยเฉินอี้หนีออกจากการกักขังในจวนอี้อ๋องสำเร็จก็เป็นเวลาสี่ปีพอดี เป็นเพราะเป่ยเฉินอี้มีความสามารถจำกัด จึงต้องรอถึงสี่ปีถึงจะทำเรื่องนี้สำเร็จ หรือว่ายังมีสาเหตุอื่น หรือ…
ในระหว่างที่เขาใคร่ครวญ
เป่ยเฉินอี้ยกถ้วยชาเบื้องหน้าขึ้นมา ดวงเนตรหงส์เรียวยาวหรี่ลง เผยความเยาะเย้ย “เจ้าคงกำลังใคร่ครวญสาเหตุต่าง ๆ ส่วนเหตุผลที่เจ้าอยากฟังมากที่สุด ก็คืออำนาจในการชักนำเรื่องอยู่ที่เจ้า สิ่งที่เจ้าอยากฟังมากที่สุดคือ ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่ายามใดเจ้าจะลงมือทำร้ายข้า ดังนั้นจึงทำได้แค่อดทน เฝ้ารอโอกาสที่เจ้าลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าการรอครั้งเดียวก็รอเวลาถึงสี่ปี ใช่หรือไม่”
เป่ยเฉินอี้เอ่ยออกไปเช่นนี้ ใบหน้าของเซี่ยโหวเฉินพลันปรากฎความกระอักกระอ่วน
ความจริงเป็นเช่นนี้จริงๆ
หากอำนาจชักนำในเรื่องนี้อยู่ที่ตนเอง เช่นนี้นั้นเขายังพอได้หน้ากลับมาบ้าง ทั้งยังพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์ของตนถึงจะมีวิชาการคาดการณ์สูงส่งกว่าตน ทว่าตนก็หาได้โง่งมขนาดนั้น ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายทั้งหมด
แต่ในเวลาถัดมา
เป่ยเฉินอี้พลันลุกขึ้น
คราวนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งไม่อยากเชื่อกระเด้งตัวลุกขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง ชี้ไปที่อีกฝ่าย “ท่าน…ขาของท่าน หายแล้ว?”
สี่ปีก่อน ในการแก่งแย่งอำนาจระหว่างราชวงศ์จงเจิ้งและราชวงศ์เป่ยเฉิน เป่ยเฉินอี้สูญสิ้นวรยุทธ์ สองขาไม่อาจลุกยืนขึ้นได้อีก นั่งบนรถเข็นมาตลอด แต่วันนี้…
ในเสี้ยวเวลาที่เขาสั่นสะท้าน เป่ยเฉินอี้มองเขา สีหน้ายากคาดเดา เอ่ยเสียงอ่อนว่า “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าสมควรรู้ เวลาสี่ปี ขาของข้ารักษาหาย ยืนได้แล้ว ดังนั้นความมั่นใจของเจ้าที่จะทำร้ายข้าก็มีข้าเป็นผู้ก่อขึ้น ปะทุขึ้นมาในวันนี้เมื่อสี่ปีก่อน ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์ เป็นความสบูรณ์ที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด”
“ตุบ” เซี่ยโหวเฉินขาอ่อน กลับลงไปนั่งอีกครั้ง
เขาคิดไม่ถึงเลย สถานการณ์ใหญ่ในราชสำนักเป่ยเฉิน อยู่ในกระดานหมากของคนผู้นี้ก็ช่างเถอะ ตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งของเขาก็ช่างเถอะ แต่…อีกฝ่ายกลับคาดเดาความคิดของเขาเซี่ยโหวเฉินออกมาได้โดยไม่ผิดสักน้อยนิด ตัวเขาจะลงมือวันไหนปีไหน เป่ยเฉินอี้ล้วนคำนวนออกมาได้ชัดเจนยิ่ง
ความน่ากลัวนี้อยู่ในระดับใดกันแน่
ในขณะที่เขาหวาดกลัว เป่ยเฉินอี้ยื่นมือออกมา หยิบเอาราชโองการที่เขาวางไว้ก่อนหน้าเข้าสู่ฝ่ามือ
น้ำเสียงทุ้มต่ำระลื่นหูดังขึ้นอีกครั้ง “ขอบใจที่เจ้านำราชโองการมา วาจาของกษัตริย์ตรัสไปแล้วไม่คืนคำ นี่คือกษัตริย์เอ่ยคำไหนเป็นคำนั้น เสด็จพี่ของข้าผู้นั้น ก็ไม่มีโอกาสเสียใจอีกแล้ว”
สิ้นเสียง เขาก็ไม่สนใจเซี่ยโหวเฉินอีก หมุนกายเดินจากไป
สายลมพัดอาภรณ์ยาวพลิ้วไหว ผมดำขลับปลิวไหว ไอของราชันย์ทำให้คนไม่อาจดูแคลน
เซี่ยโหวเฉินเหม่อลอยอยู่ที่เดิม มองอีกฝ่ายเดินจากไปไกล พลันเกิดความไม่ยินยอมสยบ ทะลึ่งตัวขึ้นอย่างแรง มองไปที่แผ่นหลังเป่ยเฉินอี้ กัดฟันเอ่ยว่า “เป่ยเฉินอี้ ท่านอย่าด่วนดีใจไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่คนที่อยู่ร่วมได้ง่ายนัก ต่อให้ท่านฉลาดเช่นนี้ คาดเดาแล้วจะทำไม ท่านจะมีชีวิตรอดจากน้ำมือของเขา ก็เป็นคนละเรื่องกัน”
เมื่อเขาเอ่ยออกไป เป่ยเฉินอี้ก็ชะงักฝีเท้า
เป่ยเฉินอี้หันกลับมอง เซี่ยโหวเฉินทีหนึ่ง สายตาชั่วร้ายยากคาดเดา มีความยโสโอหังยากปิดบัง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือปีศาจ ไม่ผิด แต่เชื่อว่าเจ้าคงไม่ลืม ใต้หล้านี้คนที่ล่วงเกินเป่ยเฉินอี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ดีนั้น ไม่มีอยู่”
สิ้นเสียง เขาก็ไม่หันกลับมาอีก เดินจากไป
เซี่ยโหวเฉินหน้าตาซีดเซียว นั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผิด ในใต้หล้านี้คนที่ล่วงเกินเป่ยเฉินอี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าจะมีแต่ฮ่องเต้ ส่วนหลายปีมานี้ ฮ่องเต้ก็มีชีวิตอย่างทุกข์ตรมนัก
เขายอมเชื่อว่า ในบรรดาความทุกข์ตรมของฮ่องเต้ จำนวนไม่น้อยมากจากเป่ยเฉินอี้ ดังนั้นเขาเซี่ยโหวเฉินสมควรดีใจ ที่ตนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเป่ยเฉินอี้ แต่มิได้เป็นศัตรู ดังนั้นหลายปีที่ผ่านถึงมีชีวิตไม่เลวนัก ราบรื่นไปหมดไม่ใช่หรือ
เซี่ยโหวเฉินยิ้มขื่นออกมา แววตาฉายความเย็นชา ลุกขึ้น เสียงต่ำเอ่ย “เป่ยเฉินอี้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การพ่ายแพ้เพียงชั่วคราว ข้าเซี่ยโหวเฉินรับได้ ส่วนการแพ้ชนะจริงๆ ของพวกเราในภายหน้า คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน”