ตอนที่ 52 หลักฐานเสียง
ชีพจรของไป๋เสว่เอ๋อร์กระตุก ชะงักงันไปชั่วขณะ สองมือยันแผ่นอกเขาโดยสัญชาตญาณ
“ฉะ…ฉันเปล่า”
เวลาอย่างนี้ เผยลี่เชินหรือจะเชื่อคำพูดของเธอ เขาฉีกยิ้มราวปีศาจ เอนไปยังเธออย่างเชื่องช้า “ทำไม? เมื่อคืนนี้ยังไม่พออีกเหรอ?”
เมื่อคืนนี้…พอพูดถึงเมื่อคืนนี้ใบหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็แดงซ่านขึ้นมาทันที เมื่อคืนนี้เขาช่างราวกับสัตว์ป่า ร้องขอตลอดเวลาไม่สิ้นสุด พลิกเหวี่ยงเธอไปมาจนเธอแทบไม่มีแรงเหลือถึงจะยอมหยุดพัก แล้วจะบอกว่าไม่พอได้ยังไง…
“พอค่ะ…ประธานเผย เราไปพบรองนายกเทศมนตรีกันดีกว่า…ขืนไม่รีบไปเกรงว่าจะสายเอานะคะ……”
เผยลี่เชินได้ยินเข้า ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วปล่อยมือจากเธอ เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว เงยหน้ามองกระจกที่อยู่ด้านข้างเพื่อจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย
ไป๋เสว่เอ๋อร์รอดพ้น อดแอบถอนหายใจยาวไม่ได้ ขณะที่กำลังตบหน้าอกตัวเองอยู่นั้น ก็มีเสียงทุ้มต่ำลอยมาจากด้านข้าง “ไม่ต้องรีบร้อน รอจัดการธุระเสร็จก่อน แล้วเราค่อยมาคิดบัญชีกัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ย่นคิ้ว เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับชายที่อยู่ในกระจกพอดิบพอดี เขายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ทำเอาเธอยิ่งมีสีหน้าหวาดหวั่น
ไป๋เสว่เอ๋อร์วุ่นวายสับสนในใจ แอบกัดริมฝีปาก
ดูท่าคราวหน้าอย่าไปยั่วโมโหเขาง่าย ๆ ท่าจะดีกว่า
ทั้งสองคนออกเดินทางตอนสิบนาฬิกา พอถึงสถานที่ที่นัดไว้กับลู่ผิงชวน ก็มีคนตรงมารับพวกเขาเข้าไปในลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังห้องรับรองชั้นบน
ไป๋เสว่เอ๋อร์กับเจิงหงตามหลังเผยลี่เชิน ยืนกันฝั่งละข้าง เมื่อพวกเขาเข้าไปในโรงแรม ก็อดรู้สึกเครียดขึ้นมาไม่ได้ ลู่ผิงชวนคนนี้ อย่างไรเสียก็เป็นถึงรองนายกเทศมนตรีเมืองหนานไห่ ได้ขึ้นมานั่งตำแหน่งนี้ย่อมหมายความว่าเขามีความสามารถ ต้องเป็นบุคคลที่รับมือได้ยากกว่าลู่ชิงอวี่อย่างแน่นอน
บริกรนำพวกเขาไปจนถึงหน้าประตูห้องรับรอง ทางฝั่งซ้ายขวาของประตูห้องมีบอดีการ์ดสองคนยืนอยู่ ทั้งสองมีภาพลักษณ์เคร่งขรึม
หนึ่งในบอดีการ์ดมองมายังเจิงหงหลายครั้ง เอ่ยปากพูดกับเผยลี่เชิน “ขออภัยด้วย เขาเข้าไปข้างในไม่ได้”
คนที่ฝึกวิชาจะดูออกว่าอีกฝ่ายมีทักษะหรือไม่ พวกเขากวาดตามองครั้งเดียวก็เห็นได้ชัดว่าเจิงหงมีสถานะอะไร
เจิงหงเอ่ยปากพูด “ผมเป็นคนขับรถ ทำไมจะเข้าไปด้วยไม่ได้?”
บอดีการ์ดอีกฝ่ายพูดอย่างไม่เกรงใจ “ในห้องไม่จำเป็นต้องขับรถ จะเอาคนขับเข้าไปทำไม?”
เจิงหงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก เผยลี่เชินก็กล่าวด้วยเสียงต่ำ “พอได้แล้ว นายรออยู่ข้างนอกแล้วกัน”
เจิงหงได้ยินอย่างนั้น ก็ตกปากรับคำ เดินไปอีกทาง บอดีการ์ดจึงยอมถอยไปอีกฝั่ง ผลักประตูเปิดให้เผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าไป
ห้องรับรองถูกตบแต่งอย่างหรูหรา ตรงกลางห้องคือโต๊ะกลมขนาดนั่งได้สิบคนวางอยู่ มีอาหารจัดเรียงเต็มโต๊ะ คนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง หันหลังให้ทั้งสองคน
ลู่ผิงชวนนั่นเอง พอเขาได้ยินเสียง ก็ค่อย ๆ หันตัวมา ร่างของเขาไม่สูงนัก จอนผมสองข้างมีสีเทาแซม อายุราวสี่สิบกว่าปี สีหน้าแจ่มใส ดวงตาสองข้างสดใสเป็นประกาย
สายตาของเขากวาดตามองมายังเผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว แล้วจึงมาหยุดนิ่งที่เผยลี่เชิน ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรก็หัวเราะออกมาเสียก่อน
ลู่ผิงชวนก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า เป็นฝ่ายเข้ามาต้อนรับ “ประธานเผย เผยลี่เชิน สมดังสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น!”
ใบหน้าของเผยลี่เชินเปื้อนยิ้ม สาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับเขา เอ่ยทักทายเสียงดัง “สวัสดีรับท่านรองนายกเทศมนตรี ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
หลังจากเอ่ยทักทายกันแล้ว ลู่ผิงชวนก็เผยมือเชิญให้ทั้งสองนั่งลง “นั่งเถอะ ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก อยากพบประธานเผยมานาน ครั้งนี้ได้ยินว่าคุณอยู่เมืองหนานไห่ จึงได้ติดต่อมาหาคุณทันที”
เผยลี่เชินยิ้มแย้มนั่งลง ปราศจากท่าทีกระตือรือร้นแต่ก็ไม่ถึงกับเย็นชา “ในฐานะคนรุ่นใหม่อย่างผมควรจะเป็นฝ่ายติดต่อไปจึงจะถูก ให้ท่านเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน ช่างเสียมารยาทจริง ๆ”
เผยลี่เชินพูดพลาง ยกแก้วเหล้าบนโต๊ะ อวยพรให้แก่ลู่ผิงชวนก่อน “เพื่อเป็นการขออภัย เหล้าแก้วนี้ถือว่าผมลงโทษตัวเองนะครับ”
เผยลี่เชินพูดจบ ก็ยกแก้วดื่มรวดเดียวจนหมด
ลู่ผิงชวนหัวเราะพลางโบกมือไปมา “เกรงใจไปแล้ว ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก ในเมื่อทุกคนต่างมีเวลา จะมาพบกันตอนไหนก็ย่อมได้”
เขาพูดพลางยกแก้วเหล้าในมือ “ประธานเผย ผมควรจะแสดงความเคารพให้คุณหนึ่งแก้ว ได้ยินว่าเมื่อคืนนี้หลานชายไม่เอาไหนของผมก่อความวุ่นวายให้คุณหรือ?”
เขาเป็นฝ่ายเปิดประเด็นถึงเรื่องนี้ เผยลี่เชินมีสีหน้านิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า “ไม่ถึงกับวุ่นวายหรอกครับ คุณชายลู่เพียงเล่นไพ่กับผมไม่กี่ตา แล้วลงเดิมพันกันเท่านั้น”
เผยลี่เชินหยิบขวดเหล้าที่อยู่ด้านข้างขึ้น รินลงแก้วของตนเอง
ลู่ผิงชวนจับตามองทุกการกระทำของเผยลี่เชิน แสร้งทำขึงขัง เอ่ยเสียงเย็น “ผมแค่รู้ว่าเขาทำเรื่องไม่ดี! ประธานเผยวางใจได้ ผมจะอบรมสั่งสอนเขา ไว้คราวหน้าจะพาเขาไปขอขมาต่อหน้าคุณ!”
“จะขอขมาหรือไม่นั้นไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ว่าเมื่อคืนผมเดิมพันกับคุณชายลู่ไว้”
เผยลี่เชินวางขวดเหล้าในมือลง ก้นขวดแก้วกระทบกับผิวโต๊ะกระจก ส่งเสียง “แกร๊ก” ดังบาดหู
ลู่ผิงชวนเลิกคิ้ว มองยังเผยลี่เชิน แสร้งทำเป็นสงสัย “เดิมพัน? ไม่ทราบว่าเดิมพันอะไรกัน ทำไมประธานเผยไม่เล่าให้ผมฟังสักหน่อยล่ะครับ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่ข้าง ๆ มองทั้งสองคน อดรู้สึกตึงเครียดตามไม่ได้ ตั้งแต่เธอเข้ามาในห้องรับรองก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหน มาในตอนนี้บรรยากาศกดดันยิ่งขึ้น เธอยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นไปไม่ได้ว่าลู่ผิงชวนจะไม่รู้เห็น ที่เขาแสดงออกอยู่ในตอนนี้ ก็เพื่อทดสอบเผยลี่เชิน
ใช่ว่าเผยลี่เชินจะไม่เข้าใจข้อนี้ เขามองยังลู่ผิงชวน ยิ้มที่มุมปาก เอ่ยเสียงเบา “เรื่องรายละเอียดการเดิมพัน ผมไม่ขอพูดซ้ำสอง”
เขาหันไปมองยังไป๋เสว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง ออกคำสั่งแผ่วเบา “เอาปากกาอัดเสียงในกระเป๋าออกมา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินแล้วนิ่งไป มองตามสายตาของเผยลี่เชินที่เหลือบไปยังกระเป๋าถือ แล้วเปิดกระเป๋าอย่างงุนงง ทว่ากลับเจอปากกาอัดเสียงอยู่ในกระเป๋าจริง ๆ
เขาเอาใส่เข้าไปข้างในตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอไม่เห็นรู้เรื่อง!
แม้ไป๋เสว่เอ๋อร์จะประหลาดใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม
เธอหยิบปากกาอัดเสียงออกมาอย่างว่าง่าย จากนั้นมองไปยังเผยลี่เชิน รอฟังคำสั่งจากเขา
เผยลี่เชินพยักหน้ามาทางเธอ ไป๋เสว่เอ๋อร์กดปุ่มที่อยู่บนปากกาอัดเสียง
วินาทีต่อมา ก็มีเสียงดังออกมาจากข้างใน
“ฉันไม่ว่างมาเสียเวลากับเผยซื่ออย่างพวกแกหรอกนะ วันนี้มาตกลงกัน หากฉันแพ้ ฉันจะปล่อยมือจากที่ดินนั่น แต่ถ้าหากนายแพ้ นายต้องปล่อย—”
“นอกจากที่ดินผืนนั้นแล้ว นายต้องยอมให้คุณไป๋อยู่กับฉันหนึ่งคืน”
“……”
บทสนทนาของพวกเขากับลู่ชิงอวี่ภายในห้องรับรองเมื่อคืนนี่เอง เสียงไม่ดังไม่ค่อยจนเกินไป เพียงพอให้คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินอย่างชัดเจน
จากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งตามมา “ฉันไม่สนเรื่องลูกผู้ชายอะไรหรอก
วันนี้ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ที่ดินนั่นนายอย่าหวังจะเอาไปได้ ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องทิ้งเอาไว้เหมือนกัน!”
นี่คือคำพูดที่ลู่ชิงอวี่พูดไว้หลังจากเล่นไม่ซื่อ เห็นได้ชัดว่าไฟล์เสียงนี้ถูกตัดแต่ง คำพูดที่คัดเลือกมาคือคำพูดที่แสดงภาพให้เห็นชัดเจนที่สุด การเดิมพันเป็นสิ่งที่ลู่ชิงอวี่เสนอขึ้น ของเดิมพันก็เป็นเขาวางเอง สุดท้ายคนที่เล่นไม่ซื่อก็คือเขา เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ปากกาอัดเสียงในมือของไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกเปิดฟังเนิ่นนาน
เธอไม่รู้เลยสักนิดว่ามีไฟล์เสียงนี้ ทว่าเผยลี่เชินกลับบันทึกไว้อย่างละเอียด แถมยังตัดต่อเสียงอัดใส่ไว้ในปากกา ตอนนี้มีหลักฐานเด่นชัด ต่อให้ลู่ชิงอวี่อยากหาที่พึ่งก็ทำไม่ได้แล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรกว่าอะไรคือการรู้จักปรับตัวทุกสถานการณ์ อะไรเรียกว่าประจวบหมาะ
เผยลี่เชินกระทำสิ่งใดก็ตาม ล้วนเต็มไปด้วยความละเอียดลออถี่ถ้วน
ไป๋เสว่เอ๋อร์คิดพลางเงยหน้ามองยังชายหนุ่ม รู้สึกชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ