ตอนที่ 61 สงสัยสภาพร่างกายของฉัน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเสียงคำพูดของชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจ เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเห็นคางที่ได้รูปพร้อมลำคอที่มีกล่องเสียง เธอหายใจเข้าลึกๆ ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ถ้าประธานเผยไม่สบาย รายการที่หนานไห่นี้….”
เผยลี่เชินขมวดคิ้วยกมือไปข้างหลังโอบเอวของเธอ ดึงร่างของเธอเข้าหาตัวเองในขณะที่เธอยังพูดไม่จบ
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาของเขา ดูเหมือนเผยลี่เชินจะไม่ดีใจ สีหน้าดูหมอง แต่สายตาไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกครั้ง
เผยลี่เชินเก็บอารมณ์ตนเองไว้ พูดเสียงเบาๆ “เธอกำลังสงสัยในสภาพร่างกายของฉันอยู่ใช่ไหม?”
“ฉัน…..เปล่า…..” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ ที่สำคัญคือไม่มีผู้ชายคนไหนทนต่อความสงสัยในเรื่องสภาพร่างกายของตนเองได้ สำหรับเผยลี่เชินยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบหาข้อแก้ตัว ทำให้ไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงตั้งแต่เมื่อไร จิตใจกระวนกระวายเหมือนม้าพยศ พอตื่นเต้นก็พูดอะไรไม่ออก
เผยลี่เชินมองดูใบหน้าแดงเขินอายของเธอที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และแล้วใบหน้าของเธอก็เป็นสีแดงเหมือนแอปเปิ้ล เขาอดใจไม่ได้จึงประทับรอยจูบที่ริมฝีปากของเธอ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันคิดว่าเธอเอาใจใส่ฉัน ถือเป็นยาใจที่ดีที่ฉันได้รับจากเธอ”
เขาพูดจบก็ปล่อยเธอแล้วถอยออกมา เขย่ากล่องในมือแล้วหันไปรอบๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกแต่เพียงว่าใจของเธอเต้นแรงจนถึงลำคอ เธอเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มเดินไปทางระเบียง สูดลมหายใจและดูสงบลงอย่างรวดเร็ว
การเอายาให้เขากินก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผมตามหลักมนุษยธรรม เธอคือเลขาของเผยลี่เชิน มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งงานและชีวิตประจำวันของเขา ต้องคอยดูแลเมื่อเขาเป็นหวัด ต้องหาหยวกหายา แต่เหตุผลหลักคือเธอเข้าใจว่าการเป็นหวัดของเผยลี่เชินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเธอ คือถ้าเมื่อคืนเขาไม่อยู่เป็นเพื่อนเธอ บางทีเขาก็ไม่ต้องเป็นหวัด
เห็นได้ชัดว่าเธอมีข้ออ้างมีเหตุผลมากมาย แต่เมื่อกี้ทำไมอยู่ต่อหน้าเผยลี่เชินจึงพูดไม่ออกสักคำ
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเอง แล้วค่อยๆ ออกจากห้องของเผยลี่เชิน
พอได้ยินเสียงปิดประตู เผยลี่เชินก็มองเอกสารต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางกล่องยาที่เขาวางไว้แบบส่งๆ ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน
นอกจากแม่แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจใยดีเขาสักคน หลังจากโตเป็นหนุ่มเขาก็ไม่เคยคิดว่าการเป็นหวัดจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งร่างกายเขาก็ออกจะแข็งแรง เขาจะป่วยง่ายๆ ได้อย่างไร บางทีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็หายได้เอง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะใส่ใจขนาดนี้ เขาแค่ไอสองสามที เขาก็จำได้และหาหยวกหายามาให้
พอคิดถึงตอนที่เธอหน้าแดง เผยลี่เชินก็สุขใจเห็นได้จากรอยยิ้มที่มุมปาก
แม้ว่าเขารับยานี้มาแต่ก็ไม่ได้กิน แต่ความรู้สึกที่ตนเองได้รับการเอาใจใส่ ก็ไม่เลวเลย
หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง เผยลี่เชินกับไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไปพบกับลู่ผิงชวนตามที่นัดกันไว้ในโรงแรม
โรงแรมเดียวกัน ห้องพิเศษเดียวกัน ดูๆ ไปแล้วลู่ผิงชวนน่าจะเป็นแขกประจำของที่นี่
ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปที่ห้องพิเศษ มีบอดี้การ์ดสองคนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวาของประตู นอกจากพวกเขายังมีผู้ชายท่าทางเหมือนเลขาคอยต้อนรับพวกเขา “ท่านรองนายกเทศมนตรี มีธุระด่วนที่ต้องจัดการ เชิญคุณทั้งสองรอสักครู่”
เผยลี่เชินพยักหน้ารับทราบ เลขาผายมือเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไป
พวกเขานั่งรอไม่กี่นาที ประตูก็เปิดออก
ขณะที่ลู่ผิงชวนเห็นเผยลี่เชิน เขาก็ยิ้มออกมาทันที “ประธานเผยทำไมวันนี้มีเวลานัดผมได้?”
ลู่ผิงชวนยิ้มรับจากนั้นก็นั่งตรงเก้าหน้าเขา “มีเรื่องสำคัญอะไรขนาดนี้ เอาไว้คุยกันวันหลังดีไหม?”
เผยลี่เชินยิ้มแล้วก็กลับไปด้านหน้า ยังไม่ได้นั่งในทันที แต่กลับยกขวดไวน์พร้อมแก้วสามใบ เทไวน์ทั้งสามแก้ว
เผยลี่เชินวางขวดไวน์ ถือแก้วเหล้าหันไปทางลู่ผิงชวน “ท่านรองนายกฯ ผมมีเรื่องต้องขออภัยจากท่าน ครั้งที่แล้วพวกเราคุยกันออกรสออกชาด และสุดท้ายท่านยังไว้ใจผมมอบลูกสาวของท่านให้ผมสอนเกี่ยวกับด้านธุรกิจ เมื่อวานผมได้พบกับคุณหนูลู่ รู้สึกชื่นชมในความจริงใจตรงไปตรงมาของเธอ แต่ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ผมไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้”
“ไวน์ทั้งสามแก้วถือเป็นคำขอโทษจากผม” เผยลี่เชินพูดจบก็ดื่มไวน์ในแก้วจนหมดครบสามแก้วโดยไม่กระพริบตา
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะไวน์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ไวน์แดง แต่มันเป็นไวน์ขาว ก่อนหน้าก็ยังไม่ได้กินอะไร แถมยังดื่มทีเดียวสามแก้วรวด อาจจะทำให้เมาได้หรือไม่ก็อาจจะส่งผลต่อระบบย่อยอาหารได้
มีเพียงวิธีนี้คือยอมรับความผิดก่อน เป็นวิธีที่ไม่ต้องรับโทษจากลู่ผิงชวน
ถ้าพวกเขาทำให้ลู่ผิงชวนไม่สบายใจ ขุ่นเคืองใจ เพราะเรื่องลู่อี้หลิง แม้ว่าพวกเขาจะได้ที่ดินมาแล้ว แต่ในอนาคตข้างหน้าคิดจะทำการสิ่งใดก็คงไม่ราบรื่น นี่คือเมืองหนานไห่ คือถิ่นของลู่ผิงชวน พวกเขาต้องรักษาหน้าตาของเขาไว้
หลังจากเผยลี่ชวนดื่มไวน์ครบสามแก้ว ลู่ผิงชวนนิ่งไปชั่วขณะจากนั้นจึงถามว่า “ประธานเผย เป็นเพราะอี้หลิงทำให้คุณเดือดร้อนใช่ไหม?”
“เปล่าเลยครับ” เผยลี่เชินสงบอารมณ์ สีหน้านิ่งเงียบ “คุณหนูลู่เป็นคนมีบุคลิกเฉพาะตัว ความสามารถผมมีไม่มาก จึงไม่สามารถดูแลเธอได้”
เขาพูดเช่นนี้เพื่อไว้หน้าลู่ผิงชวน ไม่ถึงกับพูดให้เขาดูน่าเกลียด
ลู่ผิงชวนได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่พยักหน้าถอนหายใจ “ลู่อี้หลิงเป็นคนไม่เหมือนใครมาตั้งแต่เด็ก หลังกลับจากต่างประเทศผมเองก็เอาเธอไม่อยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงคิดว่าเธอควรมีใครสักคนช่วยดูแลเธอ”
“ในแวดวงธุรกิจมีนักธุรกิจหลายคนที่มีความรู้ความสามารถ นอกจากนั้นบางคนยังจบการศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ ถ้าท่านรองนายกเทศมนตรีสนใจเดี๋ยวผมจะแนะนำให้รู้จัก ส่วนผมเองไม่ได้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง มีหลายด้านที่ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของคุณหนูลู่ได้”
ลู่ผิงชวนได้ฟังดังนี้ จึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
ลู่ผิงชวนหยุดสักครู่ แล้วพูดเบาๆ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ต้องขอบคุณประธานเผยที่เตือนสติ”
“ควรเป็นผมที่ต้องขอบคุณถึงจะถูกครับ”
เมื่อปัญหาคลี่คลาย ก็ไม่มีอุปสรรคขวางกันอีก ทั้งสองคนนั่งดื่มไวน์ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ เผยลี่เชินมองดูเวลาเห็นสมควรจึงถือโอกาสอำลา
“ท่านรองนายกเทศมนตรี ครั้งที่แล้วท่านรับปากเรื่องที่ดินผืนนั้น ส่วนแผนการของเผยซื่อท่านเองก็เข้าใจชัดเจนแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่นใดอีก พวกผมจะไปที่ฝ่ายบริหารอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้น”
เผยลี่เชินพูดถึงเรื่องที่ดินผืนนั้น ลู่ผิงชวนก็เข้าใจความหมายทันที
เขาลังเลสักพัก จากนั้นยิ้มแล้วยกแก้ไวน์ “ประธานเผย ผมเข้าใจแล้ว รอถึงวันนั้นผมจะแจ้งพนักงานฝ่ายบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้ทราบ มา…มา..มา..พวกเรามาดื่มกันต่อ”
วันนั้น? ใครจะรู้ได้ว่าวันนั้นคือวันไหน? ลู่ผิงชวนพูดแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
เผยลี่เชินสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มร่วมกับลู่ผิงชวน
บางครั้งพวกเขาแสดงออกว่ารับปาก แต่โดยส่วนตัวแล้วก็ตั้งใจที่จะไม่ดำเนินการตามนั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เผยลี่เชินเองก็เจอเรื่องแบบนี้มามาก แต่ถ้าตอนนี้เขาถามอะไรไปมากกว่านี้ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจในประเด็น