บทที่36 นี่เหรอทำงานล่วงเวลา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบโต้โดยปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ได้หรอก”
เธอกับเผยอี้ยุติความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกันมานานแล้ว อีกทั้งตอนนี้เขายังมีจินจิงจิงอยู่ข้างกาย หากเธอไปกินข้าวกับเขาแล้วนั่นจะหมายความว่าอย่างไร?
ไป๋เสว่เอ๋อร์แสดงท่าทียืนกรานขันแข็ง ไม่โอนอ่อนไปทางเผยอี้ที่โมโหจวนเจียนจะระเบิดแม้แต่น้อย กดปุ่มลงชั้นหนึ่งในทันที เผยอี้ข่มกลั้นความโกรธไว้ในใจ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอแน่ใจนะ?”
เขารอเธออยู่ที่ห้องทำงานกว่ายี่สิบนาที ทั้งยังเลื่อนนัดกินข้าวเย็นกับจินจิงจิง แต่เธอกลับถือดีไม่ยอมแม้แต่จะไปกินข้าวด้วยกันกับเขา!
ไป๋เสว่เอ๋อร์เบนสายตาไปทางอื่น จ้องมองตัวเลขลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เผยอี้ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันนานแล้ว ฉันหวังว่าเราสองคนจะรู้ความต้องการของตัวเอง”
รู้ความต้องการของตัวเอง?
เผยอี้ทั้งโกรธทั้งขำ ยิ้มเยาะถามกลับ “แล้วเผยลี่เชินที่อยู่บนยอดหอคอยของเธอเขารู้ความต้องการตัวเองหรือเปล่า?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ไม่นาน ลิฟท์ก็มาถึงชั้นหนึ่ง เมื่อประตูเปิดออก ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เดินออกไปโดยไม่รีรอ เผยอี้ยังไม่ยอมถอด ใจ ก้าวเท้าติด ๆ ตามไปถาม “ไป๋เสว่เอ๋อร์ บอกมาซิว่าระหว่างเราสองคนใครกันแน่ที่ไม่เข้าใจตัวเอง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ฟังเสียง ยังไม่ทันถึงทางออกก็มองเห็นท้องฟ้าสีมืดทะมึนด้านนอกโถงล็อบบี้
ฝนตกเหรอเนี่ย? แต่เธอไม่ได้เอาร่มมานี่นา!
ขณะเดียวกัน เผยลี่เชินนั่งอยู่ในรถด้านนอกบริษัท เลื่อนมือพลิกดูเอกสารบนแทบเล็ต
คนขับรถอดรนทนไม่ไหว เอ่ยปากถามออกไป “คุณเผยครับ รอมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วนะครับ”
เผยลี่เชินตอบเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้องรีบร้อน” พูดพลางเงยหน้าไปทางประตูใหญ่ของบริษัท
เมื่อครู่ตอนเขาออกมาจากบริษัท ด้านนอกก็เริ่มฝนตกแล้ว พอนึกถึงหญิงสาวที่ทำงานล่วงเวลา จึงอยากรออยู่ด้านนอกอีกสักพัก จะได้ส่งเธอกลับบ้าน แต่นึกไม่ถึงว่า ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วเธอก็ยังไม่ออกมา
ขณะที่เผยลี่เชินกำลังหันกลับ ตรงประตูโถงล็อบบี้ก็ปรากฏเงาร่างคนสองคน เขาเพ่งมองให้ชัด คิ้วขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่หน้าทางเข้าโถงล็อบบี้ กวาดตามองทั่วสี่ทิศ ทั้งข้างกายมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเผยอี้ ห้องทำงานของไป๋เสว่เอ๋อร์กับเผยอี้ไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกัน แล้วทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
พริบตานั้นแววตาของเผยลี่เชินเยือกเย็นลงอย่างมาก เขาจ้องมองคนสองคนตรงหน้าประตู ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนลังเลอยู่หน้าประตูใหญ่ชั่วครู่ หันร่างกลับไปยังห้องโถง เพียงไม่นานก็หยิบร่มออกมาคันหนึ่ง เผยอี้ตามหลังเธอออกมา ในมือมีร่มอีกหนึ่งคัน ไป๋เสว่เอ๋อร์ถือร่มลงบันไดมา เผยอี้เองก็สาวเท้าตาม…
คนขับรถที่นั่งอยู่เบาะหน้าเองก็เห็นภาพนี้ ทั้งยังอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้ “นั่นมันคุณไป๋กับคุณชายรองไม่ใช่เหรอครับ ดูสิครับคุณเผย…”
เผยลี่เชินดึงสายตากลับ แววตาแฝงความเยือกเย็น ออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นายไปรับไป๋เสว่เอ๋อร์มาซะ บอกเธอว่าฉันกำลังรออยู่ในรถ”
คนขับรถได้ยินแล้วตกปากรับคำทันที หยิบเอาร่มหนึ่งคันลงมาจากรถ
เขารีบเดินไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์ ขวางหน้าทางเดินของเธอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นพนักงานขับรถเข้า ก็แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด คนขับรถเอ่ยปากตรง ๆ “คุณไป๋ครับ คุณเผยกำลังรอคุณอยู่ในรถ” ไป๋เสว่เอ๋อร์หันมา ขณะเห็นรถที่เลือนราง คุ้นตาอยู่ท่ามกลางสายฝนไม่ไกลคันนั้น คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่รุ้ตัว
เธอกำร่มในมือแน่นขึ้น สาวเท้าตามคนขับที่เดินไปยังรถ
เผยอี้ที่อยู่ข้าง ๆ สีหน้าหม่นลง “ไป๋เสว่เอ๋อร์ กลับมานี่!”
ฝีเท้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่สะดุดลงแม้แต่น้อย ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าตอนนี้เผยอี้จะเป็นอย่างไร เขากับเธอก็ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันอีกแล้ว ทั้งคนที่มีอิทธิพลต่อเธอในตอนนี้ มีเพียงชายที่อยู่ในรถเท่านั้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินตามคนขับไปยังด้านข้างรถ เธอดึงประตูเปิดแล้วขึ้นไปนั่ง หุบร่มในมือ ปิดประตูลง เมื่อหันหน้าไปก็พบสีหน้าตึงเครียดของเผยลี่เชิน
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึก ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินอีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ “นี่เหรอทำงานที่เธอเรียกว่าทำงานล่วงเวลา? ไป๋เสว่เอ๋อร์?”
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์หนักอึ้ง เงยหน้ามองไปยังเผยลี่เชิน “ฉะ…ฉันกับเผยอี้มีเรื่องต้องเคลียร์กันนิดหน่อย…เลยแวะไปหาเขา”
เผยลี่เชินได้ยินเข้า หัวเราะเสียงเย็น “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอกับเผยอี้ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องเคลียร์กันลับหลังฉันอีกเหรอ?”
แม้ใบหน้าเขาจะเปื้อนยิ้ม แต่ว่าสายตากลับเย็นยะเยียบ ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกเขาจ้องมองเช่นนั้นจนสะท้านไปทั้งตัว ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
“วันนี้เธอฝ่าฝืนข้อห้ามที่ฉันเกลียดที่สุดถึงสองข้อ” ฝ่ายชายแผ่รังสีเย็นเยียบออกมาทั่วร่าง จนอุณหภูมิภายในรถให้ความรู้สึกหนาวเหน็บ
เขาหันหน้ามา แววตาจ้องเขม็งยังไป๋เสว่เอ๋อร์ “ข้อแรก ฉันเกลียดคนโกหก ข้อสอง ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องของของฉัน” เขาพูดพลางฉายประกายเหี้ยมโหดออกมาจากแววตา เพียงชั่วครู่ก็ยื่นมือออกมา ตะครุบกรามของไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้อย่างไร้ความปราณี
“เธอควรจะรู้เอาไว้ ฉันมีอำนาจช่วยเหลือเธอได้ ก็สามารถเหยียบย่ำเธอได้เช่นกัน ฉะนั้น อย่ามาท้าทายความอดทนของฉัน และอย่าได้คิดฝันเฟื่องอีก เข้าใจมั้ย?”
น้ำเสียงของเขายังคงอบอุ่น ไม่กดดันเร่งเร้า แต่ทุกถ้อยทุกคำราวกับแฝงไปด้วยการบังคับควบคุมอันไร้รูปร่าง ทำให้ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ประสานตากับเผยลี่เชิน ไม่รู้เพราะความหนาวเย็นหรือความหวาดกลัว ทำให้ริมฝีปากของเธอสั่นเทา พริบตานั้น ฝ่ายชายปาดนิ้วมือเรียวยาวบนริมฝีปากเธออย่างรุนแรง ราวกับเป็นการลงโทษ จากนั้นจึงปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
เผยลี่เชินหันหน้ากลับไป ออกคำสั่งกับคนขับรถ “จอดรถข้างทาง ให้เธอลงไป”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึก ตอนที่คนขับหยุดรถนิ่งสนิทข้างทาง เธอสั่นไปทั้งร่าง ผลักประตูลงไป
เธอกางร่ม ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน เหลือบมองปลายเสื้อสูทของชายที่นั่งอยู่เบาะหลังรถด้วยใจหนักอึ้ง เอื้อมมือไปปิดประตูรถ ทว่ายังไม่ทันรอให้เธอเดินจากไป รถก็เคลื่อนตัวออกอย่างรวดเร็ว
ภายในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์หนาวเหน็บ เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน
เผยลี่เชินช่างเลือดเย็น ไร้หัวใจกว่าที่เธอคาดคิดนัก
หากวันหนึ่ง เผยลี่เชินโกรธเธอ เกลียดเธอ อาจขับไสไล่ส่งเธอราวไร้ซึ่งหัวใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักธุรกิจ ความสัมพันธ์ที่มีต่อเธอก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายได้ประโยชน์ การคาดหวังอะไรเกินกว่านั้นคงเป็นเพียงแค่ในจินตนาการ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนถือร่มท่ามกลางสายฝน คิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา จนกระทั่งสายฝนชุ่มขาไปหมด จึงได้สติกลับคืนมา เธอเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งตรงกลับบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้าน คุณแม่ไป๋เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ “ทำไมถึงเปียกไปทั้งตัวอย่างนี้! รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า อย่าปล่อยให้เป็นหวัดเชียว!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์วางร่มทิ้งไว้นอกบ้าน เอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่”
เธอถอดรองเท้าไว้หน้าประตู เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเครื่องใช้ในบ้านหลายชิ้นวางกองระเกะระกะ บนพื้นยังมีของจำพวกจานเปื้อนฟองสบู่วางอยู่
“แม่ ทำอะไรน่ะ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์มองไปยังเฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานี สับสนงุนงง
คุณแม่ไป๋เผยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ก็เฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีจากห้องทำงานของพ่อลูก แม่คิดว่าตอนนี้พวกเราไม่ต้องใช้มันแล้วเลยจะเอาไปขายแลกเป็นเงิน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว ลนลานตอบ “แต่ว่านี่มันเฟอร์นิเจอร์มะฮอกกานีที่พ่อรักที่สุดนะแม่ หากพ่อกลับมาล่ะก็…” เธอยังไม่ทันพูดจบ คุณแม่ไป๋ก็ชิงตัดบทเสียก่อน “พ่อของลูกคงยังไม่กลับมาอีกสักระยะ แต่เรายังต้องมีชีวิตต่อไปนะ! แทนที่จะเก็บข้าวของพวกนี้เอาไว้ในบ้าน สู้ขายมันทิ้งเสียดีกว่า เสว่เอ๋อร์ลูกว่า ข้าวของพวกนี้หรือชีวิตเราที่สำคัญกว่ากัน?”
คำพูดของคุณแม่ไป๋ทำเอาไป๋เสว่เอ๋อร์พูดอะไรไม่ออก เธอกัดฟันกรอด มองดูเฟอร์นิเจอร์ชุดมะฮอกกานี แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันกลับไปมองยังคุณแม่ไป๋ “แม่ งั้นพวกเราเอาของพวกนี้ขายทิ้งไป เปลี่ยนเป็นเงินมาช่วยพ่อดีกว่า”
บทที่37 กฏเหล็กสามข้อ
แววตาคุณแม่ไป๋หม่นลง คล้ายอยากพูดแต่ไม่พูด จ้องมองไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ก้มหน้าดูเฟอร์นิเจอร์ สุดท้ายก็เอาคำพูดที่ค้างอยู่กลับกลืนลงคอ
“แม่ เดี๋ยวหนูจะไปเลือกเครื่องประดับที่มีเต็มกระเป๋าของหนูออกมาขาย พอเราได้เงินมาก็เอาไปให้พ่อเจรจากับคนในคุก”
ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา พ่อมอบชีวิตที่ปราศจากเรื่องทุกข์ร้อนแก่เธอ เธอยังไม่อาจตอบแทนได้ ที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้น
คุณแม่ไป๋พยักหน้า ผลักลิ้นชักไปอีกทาง “เสว่เอ๋อร์ ลูกไม่ต้องจัดการเรื่องเฟอร์นิเจอร์แล้วนะ แม่ติดต่อคนรับซื้อแล้ว ถึงเวลาจะมีคนมารับไปเอง”
“ค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอดชุดสูทบนตัว แล้วหันกลับไปมองคุณแม่ไป๋ “จริงสิ แม่คะ มะรืนนี้หนูอาจจะต้องไปเมืองหนานไห่หลายวัน เลยมาบอกแม่ล่วงหน้าไว้ก่อน”
คุณแม่ไป๋ไม่ถามอะไรมาก เพียงพยักหน้าเท่านั้น “จ้ะ ระมัดระวังตัวด้วยล่ะ รีบไปอาบน้ำข้างบนเถอะ เสื้อผ้าเปียกไปหมดแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รับคำ สาวเท้าขึ้นชั้นบน ขณะมาถึงห้องเก็บของที่ชานบันได เห็นกล่องของขวัญมากมายวางเกยกันอยู่ ก่อนหน้านี้ทุกเทศกาลสำคัญ มักมีผู้คนมากมายมอบของขวัญให้แก่ครอบครัวเธอ เป็นจำพวกโสมและเหล้าสำหรับเฉลิมฉลอง เมื่อไม่สามารถกินหมดได้ในคราวเดียว จึงเอามากองรวมกันในห้องเก็บของ วันนี้ห้องเก็บของถูกเปิดออก คงเพราะคุณแม่ไป๋คิดจะเอาของพวกนี้ไปขายทิ้ง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่คิดอะไรมาก กำลังจะเลยผ่านไป แวบนั้นบังเอิญเหลือบเห็นกล่องของขวัญสีกรมท่ากล่องหนึ่ง แตกต่างจากกล่องของขวัญสีเหลืองแดงและสีดำใบอื่น ๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ชั่วขณะ หยุดฝีเท้า ยื่นมือไปหยิบกล่องใบนั้น ยังไม่ทันเปิดออก ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับกล่องของขวัญใบนี้ก็พรั่งพรูเข้ามา
เมื่อก่อนพ่อเคยมีเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ชื่อหร่วนชิวไป๋ เป็นยอดช่างฝีมือชั้นครูด้านงานปักประจำเมืองซูโจวอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้ เมื่อก่อนเคยไปมาหาสู่กับตระกูลไป๋ ไป๋เสว่เอ๋อร์กับป้าหร่วนเองก็สนิทสนมกันดี แต่ว่าภายหลังสุขภาพของป้าหร่วนอ่อนแอลงมาก เพื่อดูแลสุขภาพจึงตัดสินใจไปอาศัยในป่าลึกเพื่อพักรักษาตัว ก่อนจากไปยังแวะมาที่บ้านตระกูลไป๋ แล้วมอบงานปักชิ้นนี้ไว้ให้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ค่อย ๆ เปิดกล่องออก เห็นถุงหอมอยู่บนงานปัก อันเป็นงานปักที่คุณป้าหร่วนตั้งใจปักให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ไว้แต่แรก ภายใต้ผ้าไหมนั้นก็คืองานปัก ‘นางนวลหกเหิน’ แห่งเมืองซูโจวอันล้ำค่า ไป๋เสว่เอ๋อร์มองงานปักอันละเอียดลออ แล้วหัวใจหนักอึ้ง ในความคิดพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
งานปักชิ้นนี้ยังขายไม่ได้ ไม่แน่มันอาจมีประโยชน์…
ก่อนไปดูงานหนึ่งวัน ไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ที่บริษัทยุ่งมากกว่าปกติ สวี่เยว่หรูจงใจโยนภาระอันแสนวุ่นวายมาให้เธอ ตอนนี้ถึงไม่มีเธอและไป๋เสว่หรู ข้างกายเผยลี่เชินยังมีเลขาชายอีกหนึ่งคน ทว่าแต่ละวันช่างหาตัวยากนัก ไป๋เสว่เอ๋อร์เองยังเคยพบไม่กี่ครั้ง ฉะนั้นงานที่สวี่เยว่หรูโยนมาให้เธอ เธอจึงต้องทุ่มเทจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวคนเดียว
เมื่อข่าวเรื่องเผยลี่เชินจะไปดูงานต่างเมืองถูกแพร่ออกไป หลายต่อหลายแผนกก็ยื่นเอกสารและโปรเจกต์ที่ต้องเซ็นรับรองด่วนเข้ามาทันที ไป๋เสว่เอ๋อร์ตรวจตราและรวบรวมเสร็จ จึงส่งต่อไปยังห้องทำงานของเผยลี่เชิน
ตอนที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ส่งเอกสารที่รวบรวมเสร็จแล้วเป็นกองที่สาม เผยลี่เชินกำลังคุยโทรศัพท์ ไม่ทันได้พูดอะไรนักก็วางสาย
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินไปหา เอาเอกสารในมือส่งให้ “ประธานเผยคะ กองนี้ก็เป็นเอกสารที่แต่ละแผนกส่งมาค่ะ”
“วางเอาไว้” เผยลี่เชินสีหน้าปกติ พลิกเอกสารในมือไม่หยุด “เธอไปประกาศซะ แจ้งให้ทุกคนรู้ว่าตอนที่ฉันไม่อยู่ สิทธิทุกอย่างมอบให้เผยอี้และฟางหรงเทียนเป็นคนจัดการ”
“ทุกอย่างเลยหรือคะ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังไม่แน่ใจ จึงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
แม้ว่าเธอจะไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจมากนัก แต่เธอเองก็อยู่ในไป๋ซื่อ รู้ว่าผู้จัดการทั่วไปมักไม่โอนถ่ายสิทธิของตนให้ผู้อื่นมากเท่าไหร่ ต่อให้ไปดูงานต่างเมือง ก็ยังต้องมีส่วนร่วมในการเจรจาและโปรเจกต์ของบริษัท บางเวลายังต้องประชุมกันทางโทรศัพท์และเซ็นเอกสารรับรองผ่านทางอินเทอร์เน็ต
เผยลี่เชินได้ยินเสียง ชะงักมือเล็กน้อย เลิกคิ้วถามไป๋เสว่เอ๋อร์ “ใช่ ทุกอย่าง”
ได้ยินฝ่ายชายยืนยันมั่นเหมาะอย่างนั้น ต่อให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังมีข้อสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามต่อไป ได้เพียงแต่รับคำแล้วตัดสินใจเดินออกมา เธอเพิ่งจะก้าวเท้า ก็มีเสียงต่ำทว่าน่าดึงดูดของชายหนุ่มดังไล่หลัง
“ไป๋เสว่เอ๋อร์”
หญิงสาวหยุดฝีเท้า หันไปด้วยความสงสัย
“มีเรื่องหนึ่งที่ก่อนไปดูงาน ฉันคิดว่าเราต้องตกลงกันให้ชัด” น้ำเสียงของเผยลี่เชินไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย แววตาลึกล้ำยากจะคาดเดา
นับจากครั้งนั้นที่เธอกับเผยอี้ออกมาจากบริษัทพร้อมกันแล้วพบเผยลี่เชิน เธอก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าเผยลี่เชินเย็นชากับเธอขึ้นในทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจลึก หันร่างไปมองยังชายหนุ่ม เอ่ยเสียงเบา “ค่ะ ประธานเผย”
เผยลี่เชินเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ดวงตาเรียวเล็กจ้องตรงยังไป๋เสว่เอ๋อร์
“กฎเหล็กสามข้อ ข้อแรก ในเวลาส่วนตัวเราคบหากัน แต่ภายนอกนั้นพวกเรามีสัมพันธ์อย่างเจ้านายและลูกน้อง ต่อหน้าคนนอกห้ามล้ำเส้น”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินแล้วรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ข้อเรียกร้องของเผยลี่เชินแบบนี้ ตรงกับความต้องการของเธอพอดี เธอเองก็ไม่อยากให้คนรอบตัวรู้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขา
เผยลี่เชินสังเกตเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไป เขาเม้มริมฝี “มีปัญหาหรือไง?”
“ไม่มีค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบกลับทันควัน กลัวว่าเผยลี่เชินจะคืนคำพูดที่เพิ่งเอ่ยมา “ฉันตกลง”
เผยลี่เชินนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อ “ข้อที่สอง การกระทำใด ๆ ของเธอจะต้องแจ้งเตือนฉันล่วงหน้า เมื่อถึงหนานไห่แล้ว หากไม่มีคำสั่งจากฉัน ห้ามทำอะไรโดยพละการเด็ดขาด”
“ข้อที่สาม ห้ามใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นนอกจากฉัน ฉันไม่ชอบให้ใครแตะต้องของของฉัน” ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว สัมผัสถึงแววตาของชายหนุ่ม แก้มของเธอร้อนผ่าวขึ้นมา คำว่าสิ่งของนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกหยามอย่างบอกไม่ถูก
เธอสูดลมหายใจลึก สะกดอารมณ์ภายในใจ “ค่ะ ฉันตกลง”
เผยลี่เชินมองหญิงสาวหลุบตาลง ค่อย ๆ ยืดหลังตรง “เธอมีความเห็นอะไรก็พูดออกมา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ช้อนตามองยังแววตาล้ำลึกของชายหนุ่ม “ไม่มีค่ะ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
เธอพูดพลาง หมุนตัวกลับ ก้าวเท้าออกจากห้องประธาน
คำพูดพวกนั้นของเผยลี่เชิน ย้ำเตือนสถานะที่แท้จริงของเธออยู่ทุกวินาที เธอยังเคยนึกว่าตัวเองไม่ต่างจากคนอื่นนัก แต่ว่าในสายตาของเผยลี่เชิน ไม่ว่าตระกูลไป๋จะล้มละลายหรือไม่ เธอยังคงเป็นเพียงของแลกเปลี่ยนที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะเอ่ยถึง
สิ่งที่เธอพอทำได้มีเพียงต้องเข้มแข็ง ยืนหยัดไม่พึ่งพาใคร ๆ รวมทั้งเผยลี่เชิน
วันต่อมา เมื่อถึงหนานไห่ พอเครื่องบินลงจอด ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้รู้สึกถึงอุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างเมืองหนานไห่และเมืองไห่เฉิง ในบรรยากาศตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งท้องทะเล
การไปดูงานครั้งนี้ตลอดทั้งทริปมีเพียงแค่สามคน เผยลี่เชิน ไป๋เสว่เอ๋อร์และคนขับรถ ทันทีที่เครื่องบินจอด คนขับก็ตรงดิ่งไปยังบริษัทให้เช่ารถยนต์ ส่วนไป๋เสว่เอ๋อร์ต้องพาเผยลี่เชินนั่งแท็กซี่เดินทางไปยังโรงแรมที่จองเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบอีเมลหลายฉบับบนรถ แล้วรายงานการเดินทางต่อเผยลี่เชินทันทีที่ลงจากรถ
“ประธานเผยคะ ฉันติดต่อกับทางผู้ดูแลหนานไห่อสังหาริมทรัพย์แล้ว เขาบอกว่าวันนี้มีเวลาสามารถมาพบเราได้ แต่เรื่องเวลาจะกำหนดได้วันนี้ เดี๋ยวพอถึงโรงแรมแล้วฉันจะแจ้งให้ทราบอีกทีหลังได้รับการยืนยันค่ะ”
“ตกลง เธอจัดการแล้วกัน”
ห้องของเผยลี่เชินกับไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ข้างกัน แบบนี้ได้สะดวกต่อการทำงาน ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับห้องของตัวเอง วางสัมภาระแล้วติดต่อไปยังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทันที
โทรศัพท์ไปถึงสองครั้ง ปลายทางจึงจะมีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะประธานซุน ฉันคือไป๋เสว่เอ๋อร์เลขาธิการของผู้จัดการเผยลี่เชินแห่งกลุ่มธุรกิจไป๋ซื่อจากเมืองไห่เฉิง ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อคุณมาแล้ว คุณบอกว่าวันนี้สามารถหาเวลามาพบกับพวกเราได้ ตอนนี้เราถึงเมืองหนานไห่แล้ว ไม่ทราบว่าคุณพอจะสะดวกเวลาไหนคะ?”
ทันใดนั้นคนที่อยู่ในสายแสดงอาการลังเลอย่างเห็นได้ชัด “เลขาไป๋ คืออย่างนี้ครับ เย็นวันนี้ผมมีธุระกะทันหัน เรื่องพบกัน อาจจะให้เวลาคุณได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
บทที่38 เธอช่างรู้จักให้ท่าจริง ๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเข้า กำโทรศัพท์แน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ สองวันก่อนเธอติดต่อกับซุนปินผู้รับผิดชอบ ทางนั้นยังบอกว่ายินดีพบพวกเขาอย่างยิ่ง ทำไมจู่ ๆ กลับบอกว่ามีเวลาให้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น?
“ประธานซุนคะ ท่านเองก็เป็นคนคุ้นเคยเก่าแก่กับบริษัทเรา เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงอาจกระชั้นเกินไปหน่อย ท่านสามารถ”
“ขอโทษด้วยครับเลขาไป๋ พวกเราติดธุระจริง ๆ ครึ่งชั่วโมงนี่เต็มที่แล้ว…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงได้แต่รับคำ “ได้ค่ะ ฉันจะจัดสรรเวลา ถึงเวลาจะไปพบนะคะ”
ถึงอย่างไร เขาก็มีที่ดินอยู่ในมือ หากเผยซื่อต้องการจริง ๆ ก็จำเป็นต้องยอมลดตัวให้ สถานการณ์ในตอนนี้ เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากทำให้รำคาญใจ จะควบคุมอะไร ๆ ได้ยาก แม้เพียงครึ่งชั่วโมง ก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอ
หลังจากกำหนดเวลาชัดเจนกับซุนปินแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่กล้ารอช้า เธอออกจากห้องไปยังห้องข้าง ๆ ทันที
เธอยกมือเคาะ ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เผยลี่เชินยืนอยู่ตรงทางเข้า สวมเพียงเสื้อเชิ้ต คอเสื้ออ้าออก เผยให้เห็นแผ่นอกสีแทน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ปราดตามองแผ่นอกของเขาตรงหน้า แล้วพลันรีบหลบสายตา “ประธานเผยคะ เมื่อครู่ฉันติดต่อกับประธานซุนผู้ดูแลเขาบอกว่าวันนี้ติดธุระกะทันหัน สามารถให้เราได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
สายตาของเผยลี่เชินหยุดอยู่ที่เธอชั่วขณะ ก่อนถอยหลังสองก้าว หันตัวเข้าไปในห้อง “เข้ามาพูดข้างใน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลชั่วครู่แล้วก้าวเท้าตามหลังเขา
ทันทีที่เข้าไปเธอจึงได้มองเห็นว่าบนเตียงหลังใหญ่เต็มไปด้วยเอกสาร ทั้งหมดนั้นคือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหนานไห่โปรเจกต์
เผยลี่เชินก้าวเท้าไปนั่งที่มุมเตียง พลิกเอกสารไปมา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า เอ่ยเสียงเบา “ประธานเผย ขอโทษค่ะ ฉันสามารถหาเวลาพบหน้าได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
เผยลี่เชินขยับเล็กน้อย เงยหน้ามองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ แววตานิ่งเฉย “ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว”
“มาทางนี้” เขาเลื่อนมือไปชี้เอกสารฉบับหนึ่ง “โปรเจกต์นี้เคยเจรจากันมาแล้วสองครั้งก่อนฉันจะมา ครั้งก่อนรองประธานฟางเป็นคนเจรจา ซุนปินเป็นผู้รับผิดชอบ เขาเข้าใจเนื้อหาโปรเจกต์ของเรากระจ่างแจ้ง ดังนั้นครึ่งชั่วโมงจึงนับว่าเพียงพอสำหรับเรา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งตรงขอบเตียง มองตามไปยังนิ้วมือเผยลี่เชิน พูดออกมาอย่างลังเล “แต่ฉันรู้สึกว่าท่าทีของซุนปินเหมือนขอไปที ต่อให้เขายอมพบหน้าเรา ยังรู้สึกว่ายากจะตกลงกันได้”
“เขาไม่ใช่กุญแจดอกสำคัญ การมาเจอหน้าเขาเป็นเพียงแค่ทางผ่าน” เผยลี่เชินชี้ไปยังเอกสารอีกฉบับ น้ำเสียงจริงจังขึ้นทันที “จัดการข้าราชการพวกนี้ให้อยู่หมัดต่างหาก ถึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา”
เอกสารพวกนั้นอยู่ห่างจากไป๋เสว่เอ๋อร์เล็กน้อย เธอก้มตัวลงอ่านเนื้อหาในเอกสารไม่ถนัดนัก เผยลี่เชินกำลังจะพูดต่อ เผลอหันหน้าไป เห็นด้านข้างของหญิงสาวโน้มลงไปครึ่งตัว คอเสื้อเลื่อนลงไปด้านข้างเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวนวลเนียนราวหยก
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาในเอกสาร ไม่ทันได้ระวังคอเสื้อของตัวเอง ดวงตาของเผยลี่เชินฉายแววล้ำลึก ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เขาเบือนสายตาหนี ทว่าภายในใจว้าวุ่น ไม่อาจสงบได้ในชั่วขณะ
เผยลี่เชินนั่งตัวตรง ทันใดไป๋เสว่เอ๋อร์ ยื่นมือไปคว้าเอกสาร เธอใช้มือหนึ่งยันเตียงไว้
ทันทีที่คว้าเอกสารได้ จุดศูนย์ถ่วงก็ย้ายไปอีกด้านหนึ่ง
เธอเอนไปยังเผยลี่เชินโดยไม่ตั้งใจ พอรู้สึกตัวอีกทีท่อนบนก็แนบอยู่บนอกของชายหนุ่มแล้ว
เผยลี่เชินก้มหน้า เห็นคอเสื้อที่เผยผิวขาวราวหิมะ ทันใด หน้าท้องส่วนล่างเกิดเกร็งเครียดขึ้นมา ภายในร่างกายเกิดคลื่นความร้อนพุ่งพล่านจนยากจะต้านทาน
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นสีหน้าฝ่ายชายเปลี่ยนแปลงฉับพลัน กุลีกุจอลุกขึ้น “ขอโทษ–”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ทันใดก็มีแรงขนาดมหึมาถาโถมเข้าใส่ กดเธอตรึงไว้กับเตียง
“พรึ่บ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายถูกกดทับอยู่กับเอกสารบนเตียง ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ ดวงตาก็ประสานกับแววตามืดหม่นที่กำลังหักห้ามใจ “เธอจงใจใช่มั้ย?”
“หมายความว่ายังไงคะ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์สะดุ้งจากปฏิกริยาของชายหนุ่ม เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาก็กดเธอเอาไว้
เผยลี่เชินยกมือขึ้น มือสากลูบไล้ลำคอขาวใสของเธอ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าเธอช่างรู้จักให้ท่าจริง ๆ”
“ฉัน…เปล่า” แก้มของไป๋เสว่เอ๋อร์ร้อนผ่าว ปฏิเสธเสียงเบา
เมื่อครู่เธอคิดเพียงจะหยิบเอกสารมาดูเท่านั้น นึกไม่ถึง
ว่าจะพลาดล้มลงบนตัวเขา…
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของชายหนุ่มที่กดลงมา ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงยกมือดันแผ่นอกของชายหนุ่มออกโดยสัญชาตญาณ ขณะออกแรงนั้นไป๋เสว่เอ๋อร์สัมผัสถึงของแข็งที่ข้อมือ เวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเผยลี่เชินก็ตึงเครียดขึ้น
สายตาของไป๋เสว่เอ๋อร์เลื่อนมองยังกำไลข้อมือของตัวเอง แล้วจึงได้ชักมือกลับอย่างรวดเร็ว สร้อยข้อมือของเธอมีจี้รูปดาวห้อยอยู่ ตรงกลางด้านหนึ่งมีมุมแหลมขึ้นมา เมื่อครู่ที่เธอออกแรง คงจะเผลอทิ่มโดนเขาเข้า
มิน่าล่ะสีหน้าเขาถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหัน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลนลานลุกขึ้น “ขอโทษค่ะ สร้อยข้อมือของฉันคงจะทิ่มโดนคุณเข้า!”
เธอพูดพลางยื่นมือออกไป แหวกคอเสื้อเชิ้ตของเผยลี่เชินออก มองหาจุดที่ทิ่มถูก
แผ่นอกเรียบลื่นแข็งแกร่ง มีรอยแดงเล็ก ๆ อยู่จริง ตรงกลางยังโดนทิ่มจนเป็นแผล เลือดซึมออกมาเล็กน้อย
ไป๋เสว่เอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น ไม่สนใจสิ่งใดอื่น คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อทันที แล้วเช็ดรอยเลือดจากแผ่นอกเขาออกอย่างระมัดระวัง
“ขอโทษค่ะ เลือดออกเลย…” เธอพูดพลาง เงยหน้ามองชายหนุ่มไปพลาง ขณะสังเกตเห็นสีหน้าอารมณ์ฝ่ายชาย ถึงเพิ่งได้สติ
สองมือเธอทาบอยู่บนแผ่นอกเขา ทั้งยังอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ย่อมสื่อถึงบางอย่างแน่นอน ครั้งนี้ ต่อให้เธอกระโดดลงไปในแม่น้ำเหลืองก็ลบล้างชื่อเสียไม่หมด…
วินาทีต่อมาเธอดึงมือกลับ ได้สติจะลุกขึ้น แต่เผยลี่เชินกลับคว้าข้อมือทั้งสองของเธอยึดเอาไว้ เขาใช้มือข้างเดียวกุมข้อมือทั้งสองของเธอไว้ข้างหลังในชั่วเวลาไม่กี่วินาที มืออีกข้างคว้าเอวเธอไว้ ดึงรั้งเข้ามาหาตัว
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์เต้นรัว ใบหน้าแดงซ่าน
เผยลี่เชินรู้สึกวูบวาบที่แผ่นอก หน้าท้องร้อนขึ้นฉับพลัน เขากัดฟัน กดลงบนลำคอของเธอ น้ำเสียงแหบพร่า “ยัยแมวยั่วสวาท!”
ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงนับไม่ถ้วนเป็นฝ่ายเข้าหา เสนอตัวให้เขากอด เขาไม่เพียงไม่รู้สึกอะไร กลับนึกรังเกียจด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ตั้งใจแสดงออก กลับทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่ม ราวทะเลสาบที่ถูกกวนให้คลุ้มคลั่ง ไม่อาจควบคุม…
เมื่ออารมณ์บ้าคลั่งจบลง ทุกอย่างก็สงบเป็นปกติ ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเหมือนร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยง เธอมองดูนาฬิกา เหลือเวลานัดพบซุนปินไม่ถึงสองชั่วโมง จึงรีบร้อนลุกขึ้น หยิบคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ข้างตัว
เผยลี่เชินลุกขึ้นนั่ง พิงตัวกับหัวเตียง สายตาจับจ้องอิริยาบถของหญิงสาว รู้สึกถึงสายตาของชายหนุ่ม ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ทำตัวไม่ถูก ยืนก้มตัวกำลังจะหยิบเสื้อผ้า ทว่าขากลับอ่อนแรง ล้มตัวลงกองกับพื้น
ใบหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์แดงซ่านขึ้นฉับพลัน ไม่ทันที่เธอจะได้หันไปประสานเมื่อสายตากับชายหนุ่ม ฝ่ามือหนากว้างอันแข็งแกร่งก็ยื่นมาด้านหน้า
บทที่39 เจรจาราบรื่น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ วางมือของตนลงไป เผยลี่เชินออกแรงดึงตัวเธอขึ้นมาจากพื้น เอ่ยอย่างเย็นชาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด “ทรุดลงต่อหน้าฉันไม่เป็นไร แต่หากอยู่ข้างนอก ล้มลงแบบนี้ทำให้เสียชื่อในฐานะคนของฉัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก ดึงมือตัวเองจากชายหนุ่มกลับอย่างรวดเร็ว หันตัวสวมกับเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยโดยไม่พูดอะไร
ชั่วโมงต่อมา พวกเขาทั้งสองออกเดินทางมุ่งตรงไปยังโรงแรมข้าง ๆ เพื่อพบซุนปิน
สถานที่นัดคือร้านกาแฟข้างล็อบบี้โรงแรมที่ซุนปินพักอยู่ ทว่าเวลาผ่านไปสามนาทีแล้วไป๋เสว่เอ๋อร์ยังไม่เห็นเงาของซุนปิน เผยลี่เชินนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าสงบนิ่งราวไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ
ขณะที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลว่าจะต้องโทรศัพท์หาซุนปินหรือไม่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นในเวลานั้นเอง “เลขาไป๋ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ตอนนี้ผมต้องไปทำธุระกับหัวหน้า ด่วนมาก เกรงว่าคงไม่อาจไปพบคุณ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ประธานซุน เรานัดกันเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอคะ ตอนนี้ฉันกับประธานเผยอยู่ในร้านกาแฟข้างล็อบบี้ของโรงแรมคุณแล้วค่ะ” ซุนปินมีน้ำเสียงรู้สึกผิด
”เลขาไป๋ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปที่นั่น แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ประธานเผยฟังเอง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตั้งท่าจะพูด พลันเห็นชายอายุราวสี่สิบปีมากับชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง มือถือโทรศัพท์ กำลังพูดคุย
ไป๋เสว่เอ๋อร์ประสานสายตากับเขาแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเขาก็คือซุนปิน
ซุนปินเองก็รู้ทันทีว่าเป็นเธอ มองมายังเธอแล้วโบกโทรศัพท์ไปมา แล้ววางสาย ต่อมาเขาให้คนต่างชาติข้างกายนั่งลงยังที่นั่งด้านหลัง แล้วสาวเท้ามายังพวกเขา
กว่าเขาจะมาถึง ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อธิบายสถานการณ์ให้เผยลี่เชินฟังหมดแล้ว
ซุนปินยิ้มแย้ม เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายกับประธานเผยก่อน
”ประธานเผย ได้ยินชื่อเสียงมานาน ผมคือซุนปินผู้ดูแลหนานไห่อสังหาริมทรัพย์ เคยได้ยินรองประธานฟางพูดถึงคุณมาก่อน ได้พบกันวันนี้ บุคลิกช่างโดดเด่นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ!”
เผยลี่เชินลุกขึ้น ยื่นมือไปแสดงความเคารพ “สวัสดีครับประธานซุน อุตส่าห์เจียดเวลาธุระสารพันมาพบผม ช่างเป็นเกียรติเหลือเกิน”
ซุนปินร้องขึ้น” ประธานเผย ขออภัยด้วยจริง ๆ! เลขาไป๋โทรศัพท์มาหาผมหลายต่อหลายครั้ง ผมเองก็ตัดสินใจจะมาพบ แต่ไม่นึกว่าจู่ ๆ นายใหญ่ของเราจะมาในวันนี้ ต้องให้ผมไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา น่ากลัวว่าวันนี้เราคงไม่อาจคุยกันได้สะดวก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กวาดสายตามองไปยังชายต่างชาติที่นั่งอยู่ไม่ไกล แล้วพลันนึกได้ว่าเคยอ่านประวัติการก่อตั้งบริษัทหนานไห่ อสังหาริมทรัพย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทหนานไห่อสังหาริมทรัพย์คนแรกเป็นชาวต่างชาติ หรือว่าจะเป็นชายคนนี้?
”ประธานซุน เผยซื่อของเรากับหนานไห่อสังหาริมทรัพย์เคยติดต่อกันมาหลายครั้งแล้ว คุณเองก็คุ้นเคยดี ครั้งนี้ที่เรามาก็ไม่ได้ตั้งใจจะรั้งคุณให้เสียเวลา ถ้าหากคุณไม่สะดวกก็ขอเวลาสัก 15นาที แต่ถ้าไม่สะดวกจริง ๆ เราก็ไม่บังคับ”
เผยลี่เชินเอ่ยด้วยความสุภาพและให้ความเคารพ ต่อให้ซุนปินมีประสบการณ์ยาวนานก็ไม่สามารถเอ่ยปฏิเสธออกมาตรง ๆ เขามองยังเผยลี่เชินแล้วหันไปมองยังชาวต่างชาติที่ห่างไปไม่ไกล ท่าทีลังเลเล็กน้อย
”คือ… หัวหน้ากำลังรอผมผมอยู่ ดูสิครับ…” ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นเขาตั้งท่าจะถอนตัวอีก จึงรีบเอ่ยเสียงเบา “ประธานซุนคะ เราเข้าใจว่าคุณกลัวเจ้านายของคุณจะเสียเวลา ถ้าอย่างไรขอโอกาสเรา ได้ไต่ถามความเห็นของเจ้านายคุณ ถ้าหากเขาตกลงให้เวลาเราสักสิบห้านาที เราก็คุยกันสักเล็กน้อย แต่ถ้าหากเป็นเรื่องด่วนจริง ๆ พวกเราจะไม่ทำให้ลำบากใจอีก ว่ายังไงคะ?”
คำพูดนี้ของเสว่เอ๋อร์ ทำให้คำปฏิเสธของซุนปินถูกพับกลับไป เขามองไป๋เสว่เอ๋อร์ แล้วมองเผยลี่เซิน “ก็ได้ครับ นายของพวกเราเป็นคนอิตาลี ไม่ถนัดภาษาจีนนัก ผมจะช่วยพวกคุณถามความเห็นเขาดูก่อน หากเขายอมให้เวลา ผมก็จะมาคุยกับพวกคุณ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มแย้ม เอ่ยเสียงเบา “ประธานซุน ฉันพอเข้าใจภาษาอิตาลีค่ะ ถ้าอย่างไรให้ฉันไปถามความเห็นเขาดีไหมคะ? แบบนี้น่าจะดูจริงใจกว่า?”
ซุนปินตกตะลึง เขาลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงพยักหน้า “ได้ครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มให้เขา แล้วก้าวเดินไปยังชายต่างชาติคนนั้น ซุนปินดูท่าไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ จึงรีบร้อนตามไป
เผยลี่เชินมองรอยยิ้มอย่างมั่นใจของหญิงสาว ครุ่นคิดในสมอง การกระทำของเธอเมื่อครู่นั้นเหนือความคาดหมายสำหรับเขา น้ำเสียงหนักแน่น ท่วงท่ามั่นใจ
เขาก้าวเท้าตามไป พอเข้าใกล้ก็ได้ยินหญิงสาวใช้ภาษาอิตาลีสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่ว
ก่อนหน้านี้เขารู้มาว่าเธอจบสาขาภาษาต่างประเทศ เอกภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน แต่เขาไม่นึกว่าเธอจะสามารถพูดภาษาอิตาลีได้เหมือนกัน
ก่อนนี้เธอถ่อมตนว่าพอเข้าใจภาษาอิตาลี ทว่าพิจารณาจากน้ำเสียงและความเร็วแล้ว เธอไม่ได้เข้าใจเพียงเล็กน้อย แต่กลับพูดได้คล่องแคล่วทีเดียว
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดกับ Chris ชาวต่างชาติคนนั้นหลายประโยค ทั้งยังจับมือกัน แววตาที่Chrisมองยังเธอเปล่งประกายสดใส ยิ้มบางเอ่ย “คุณไป๋ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมไม่ได้ยินภาษาอิตาลีมานานแล้ว แถมภาษาอิตาลีของคุณยังมีสำเนียงเนเปิลบ้านเกิดของผมอีกต่างหาก”
“บอกคุณตามตรงนะคะ ครูต่างชาติของฉันสมัยมหาวิทยาลัยมาจากเมืองเนเปิลค่ะ บางทีฉันได้ยินเขาพูดสำเนียงเนเปิลบ่อยครั้ง ฟังไปนานเข้า ก็เลยติดปากมาเองโดยธรรมชาติ…”
เรื่องราวช่างบังเอิญเหลือเกิน เนื่องจากเธอสามารถพูดภาษาอิตาลีได้อย่างคล่องแคล่วจึงทำให้ใกล้ชิดกับชายผู้ห่างไกลบ้านเกิดคนนี้ได้ แถมยังมีสำเนียงเมืองเนเปิลที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอีก
ไป๋เสว่เอ๋อร์คุยสัพเพเหระกับChris ทว่าไม่ลืมเรื่องธุระ เธออธิบายให้Chrisฟังถึงเจตนาที่มา แล้วยังแนะนำให้เขารู้จักเผยลี่เชินที่อยู่เคียงข้าง
Chrisมองไปยังเผยลี่เชินทันที สลับคำพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สวัสดีครับคุณเผย ผมคือChris เป็นผู้ก่อตั้งหนานไห่อสังหาริมทรัพย์ ได้ยินจากคุณไป๋ว่าคุณมีความสนใจที่ดินผืนหนึ่งของเรา หากมีเวลาเราสามารถพูดคุยกันได้”
สายตาของเผยลี่เชินเปล่งประกายประหลาดใจทันควัน เขาคาดไม่ถึงว่าไป๋เสว่เอ๋อร์พูดกับChrisเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้อีกฝ่ายยินดีคุยเรื่องโปรเจกต์กับเขา
สีหน้าของเผยลี่เชินสงบนิ่ง แนะนำตัวกับChrisอย่างมีมารยาท ขณะเดียวกันก็อธิบายเจตนาของตนอย่างคร่าว ๆ
Chrisดูไม่ร้อนรนอย่างซุนปินเลยแม้แต่น้อย กลับชักชวนให้เผยลี่เชินนั่งลงค่อย ๆ คุยกัน ซุนปินที่อยู่ด้านข้างยังประหลาดใจเล็กน้อย จนฉวยโอกาสหาช่องว่างขณะพวกเขาคุยกันพูดเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง “boss เรายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงหนึ่งนะครับ ถ้าหากไม่เดินทางตอนนี้จะสายเกินไป”
Chrisโบกมือไปทางเขา “งานเลี้ยงนั่นไม่ได้สำคัญอะไร ไปสายหน่อยไม่เป็นไรหรอก”
ซุนปินไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ จึงเพียงแต่รอข้าง ๆ ด้วยความอดทน
Chrisคุยกับเผยลี่เชินอย่างออกรส สี่สิบนาทีกว่าหลังจากนั้น การเจรจาก็จบลง
เผยลี่เชินลุกขึ้น จับมือกับChris ต่างฝ่ายต่างอำลากัน แล้วเขาตามไปส่งChrisและซุนปินพร้อมกับไป๋เสว่เอ๋อร์
หลังจากเห็นรถของพวกเขาจากไปแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ลอบถอนใจอย่างเงียบ ๆ การพบปะเจรจาคืนนี้จบลงอย่างสวยงามกว่าที่เธอคิดไว้ทีเดียว
บทที่ 40 เลี้ยงฉันสักแก้วได้ไหม
เพราะหันหน้าไปโดยไม่ตั้งใจ จึงประสานสายตากับดวงตาล้ำลึกของชายหนุ่มเข้าพอดี ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึก แอบนึกคาดเดาอารมณ์ของเขา
“ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าเธอพูดภาษาอิตาลีได้?” เผยลี่เชินหันมา ท่าทางสนอกสนใจ
“ฉันมีความสนใจในด้านภาษาน่ะค่ะ เมื่อก่อนตอนไปเที่ยวอิตาลีก็รู้สึกตกหลุมรักประเทศนี้ ดังนั้นพอกลับมาก็เลยหาครูต่างชาติมาสอน”
มุมปากเผยลี่เชินยิ้มขึ้น ท่าทีผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว เขาก้าวเดินพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อกี้ทำได้ไม่เลว”
นับเป็นคำชมที่หาได้ยากยิ่ง
ไม่ทันรอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปาก เขาก็พูดต่อ “อยากได้รางวัลอะไรล่ะ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินตามเขาออกจากร้านกาแฟ ยิ้มแย้มอยู่เงียบ ๆ
ด้วยสถานการณ์ของเธอตอนนี้ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคืออยากให้พ่อกับแม่สุขสบาย นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่คาดหวังอะไรอีก
สองคนเดินเคียงกันออกจากล็อบบี้โรงแรม เผยลี่เชินไม่ได้ยินไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบคำเป็นนาน ก้าวเดินไปสักพัก คิ้วที่ขมวดก็คลายลง รอคอยคำตอบจากเธอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าเห็นเผยลี่เชินอารมณ์ดี จึงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยปากลองเชิงดู “ถ้ายังไง เลี้ยงฉันสักแก้วได้ไหมคะ?”
ค่ำคืนในเมืองหนานไห่นั้นแตกต่างจากไห่เฉิง บรรยากาศมีความเข้มข้นกว่า แสงท้องฟ้าหม่นสลัวทำให้ผู้คนอดนึกอยากดื่มสักแก้วไม่ได้
เผยลี่เชินได้ยินอย่างนั้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้น พลันหัวเราะเสียงต่ำ “ดื่มเหล้าได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าดื่มมากไปอย่าคิดว่าฉันจะส่งเธอกลับ”
น้ำเสียงแฝงด้วยอารมณ์หยอกล้อช่วยทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกนิด
พอออกมาจากโรงแรมของซุนปิน โรงแรมของพวกเขาก็อยู่ด้านข้าง หลังจากกินอาหารง่าย ๆ ที่ภัตตาคารในโรงแรมแล้ว ทั้งสองคนก็ตรงไปยัง bearbar ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม
บรรยากาศในบาร์ค่อนข้างดี หลังจากเลือกที่นั่งตรงมุมบาร์ได้แล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ตรงไปสั่งวิสกี้ แววตาของเผยลี่เชินแสดงอาการตกตะลึง แต่ขณะเดียวกันในใจก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นสนอกสนใจมากขึ้นไปอีก เขาอยากจะดูว่าคุณหนูตระกูลไป๋จะคอแข็งสักแค่ไหน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอดเสื้อนอกของตัวเองออก เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตคอวีติดลูกไม้ภายใน ทันทีที่วิสกี้มาเสิร์ฟ เธอก็เขย่าแก้วในมือแล้วจิบเบา ๆ
จากมุมของเผยลี่เชิน สามารถเห็นเส้นโค้งเว้าอันงดงามของลำคอและปลายจมูกที่เชิดขึ้นเล็กน้อย
เขายังไม่ทันเก็บสายตากลับ หญิงสาวก็หันหน้ามา ชั่วแวบที่สายตาประสาน ทั้งสองต่างชะงักงันชั่วขณะ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถือแก้วแน่นขึ้น มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เปิดประเด็นแฝงนัยหยอกเย้า “เผยลี่เชิน ถ้าหากคราวนี้เราไม่ได้โปรเจกต์หนานไห่ กลับไปบริษัทจะเป็นยังไงคะ?”
แววตาของเผยลี่เชินเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ราวกับได้ยินเรื่องตลก “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ใครบอกเธอว่าเราจะแพ้?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ดื่มอึกหนึ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยคลายลง “ฉันแค่บอกว่าถ้า คนเราทำผิดพลาดได้เสมอไม่ใช่เหรอคะ?”
ก่อนหน้านี้ ภาพพจน์ของเผยซื่อที่มีต่อเธอนั้นคือแม่ทัพผู้นำชัยชนะแห่งตลาดธุรกิจ แต่ว่าหลังจากที่เธอเข้ามายังเผยซื่อแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาเองก็มีผิดพลาดบ้าง เจอเรื่องยากลำบากบ้าง เช่นการพัฒนาโปรเจกต์หนานไห่ หลายต่อหลายคนในบริษัทของเขาเคยลงมือแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
เผยลี่เชินยกแก้วเหล้าด้วยท่วงท่าสง่างาม เอ่ยเนิบนาบ “ทำผิดก็ไม่เห็นเป็นไร ประเด็นอยู่ที่ต้องเรียนรู้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผิดพลาดซ้ำสอง หากจัดการโปรเจกต์หนึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่การกระทำบางอย่างนับเป็นความผิดร้ายแรง เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่อาจแก้ไข”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเข้า พลันรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว คำพูดไม่กี่คำของเผยลี่เชินทำให้เธอนึกถึงพ่อและตัวเองโดยไม่มีสาเหตุ ความผิดที่พ่อทำลงไปนั้นร้ายแรง แล้วทางเลือกของเธอ…ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขด้วยหรือเปล่า?
เธอคิดพลาง ดื่มเหล้าในแก้วหมดโดยไม่รู้สึกตัว จึงเรียกบาร์เทนเดอร์ให้นำเหล้ามาเติมให้เธออีก
เผยลี่เชินหรี่ตาลงเล็กน้อย มองดูการกระทำของหญิงสาวแล้วสามารถมองทะลุประโปร่งไปถึงความคิดในใจของเธอ เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เหล้าช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอก”
เมื่อครู่เหล้าตกถึงกระเพาะ ตอนนี้ช่วงท้องของเธอจึงเริ่มอุ่นร้อนขึ้นมา อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ช่วงเวลานี้เธอจึงไม่รู้สึกเป็นกังวลเท่าไหร่แล้ว “ชีวิตคนเราหากมีสติอยู่ตลอดทุกนาทีจะรู้สึกเหนื่อยแค่ไหนกันนะ? บางครั้งก็ต้องปล่อยตามอารมณ์บ้างรึเปล่า?”
เธอพูดพลางเลิกคิ้วมายังเผยลี่เชิน โดยไม่ทันได้รอให้เผยลี่เชินพูดอะไร เธอมองชายหนุ่มแล้วหัวเราะออกมา “เผยลี่เชิน คุณช่างเป็นชายหนุ่มที่มีสติซะเหลือเกิน…”
คำพูดของเธอแฝงนัยเย้ยหยันกึ่งหนึ่ง ล้อเลียนกึ่งหนึ่ง ทำให้คนฟังแยกไม่ออกว่าเป็นคำชมหรือดูหมิ่น
เผยลี่เชินมองหญิงสาวกำลังถือแก้วเหล้า มุมปากยกขึ้น ดูแล้วผู้หญิงคนนี้คออ่อนกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว ยังไม่ทันถึงสองแก้ว เธอก็ปลดปล่อยความคิดพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจแล้ว
เหล้าไม่กี่แก้วตกถึงท้อง หน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ร้อนผ่าวขึ้นมา เธอรู้สึกว่าหัวหนักอึ้ง แต่จิตใจกลับโล่งสบาย
เธอไม่ได้ดื่มเก่งอะไรเลย ทั้งไม่ได้ดื่มบ่อยด้วย แต่หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลไป๋ ค่ำคืนนี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองด้านข้างของชายหนุ่ม เห็นแก้วในมือเขา ถึงได้รู้สึกตัวว่าแก้วที่สองในมือเขายังดื่มไม่หมด เวลานั้นเธอไม่คิดถึงอะไรอื่น มองไปยังชายหนุ่มแล้วหัวเราะออกมาสองที “เผยลี่เชิน ทำไมฉันรู้สึกว่าคุณดื่มไม่เก่งเท่าฉัน”
เผยลี่เชินช้อนตามองหญิงสาวใบหน้าแดงก่ำหัวเราะคิกคักขณะจ้องมายังเขา
มุมปากยกขึ้นเป็นหยักโดยไม่รู้สึกตัว
เขากำลังจะพูด ทันใดก็เห็นหญิงสาวยกมือ ส่งสัญญาณให้บาร์เทนเดอร์เติมเหล้าอีกแก้ว เขายื่นมือไปรั้งข้อมือเธอไว้โดยไม่ลังเล คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ทำไม? ตั้งใจว่าคืนนี้ไม่เมาไม่เลิกงั้นเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกเขารั้งไว้อย่างนั้น ร่างกายจึงเอนเอียงไปทางเขา เดิมทีระยะห่างของเก้าอี้บาร์นั้นใกล้ไม่เบา มาตอนนี้ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกเขาดึง ร่างท่อนบนจึงพิงไปยังบนตัวของชายหนุ่ม
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังไม่เมาเสียทีเดียว เพียงแค่ใจกล้าขึ้นมาเพราะฤทธิ์เหล้าเท่านั้น เมื่อรู้สึกสับสนจึงใจกล้าขึ้นมาอีกนิด ขณะที่เธอกำลังจะผละตัวออกมาจากเผยลี่เชิน โทรศัพท์ที่อยู่บนบาร์หินอ่อนก็พลันสว่างวาบขึ้นมา
หน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องสว่างพลางสั่นสะเทือน ไป๋เสว่เอ๋อร์พิงตัวอยู่ใกล้โต๊ะ จึงมองเห็นชื่อคนโทรเข้าได้ถนัดตา–หย่าหาน
โทรศัพท์ดังอยู่หลายครั้ง เผยลี่เชินยังไม่มีทีท่าจะรับสาย ไป๋เสว่เอ๋อร์เลิกคิ้วมองชายหนุ่ม “ไม่รับเหรอคะ?”
เผยลี่เชินมองหน้าจอด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่ต้องรับ”
หย่าหานคนนี้ ถ้าหากเธอจำไม่ผิด คงจะเป็นเหอหย่าหาน ผู้หญิงคนนั้นที่เธอเจอในบาร์โยวหลันครั้งก่อน
โทรศัพท์ตัดสายไปเอง แต่ไม่นานก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไป๋เสว่เอ๋อร์มองโทรศัพท์สั่นสะเทือนไม่หยุด ขมวดคิ้วเข้าหากัน โดยไม่คิดอะไรเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล?”
อีกฝ่ายชะงักงันไปชั่วขณะอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นมีเสียงเย็นชาของผู้หญิงลอยมาตามสาย “เธอเป็นใคร? ลี่เชินล่ะเขาอยู่ไหน?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เหลือบมองเผยลี่เชิน ดวงตาฉายแววหยอกล้อ จงใจเลียนน้ำเสียงอีกฝ่ายตอบกลับไป “ลี่เชินเหรอ? ตอนนี้เขาไม่สะดวกรับสาย รอเขาว่างแล้วฉันจะเตือนให้เขาโทรกลับไป…”
เผยลี่เชินได้ยินชื่อของตัวเองออกมาจากปากของหญิงสาว แล้วภายในอกหวั่นไหว แววตายากบ่งบอกถึงความรู้สึก
เสียงของเธอเพิ่งจะเงียบลง อีกฝ่ายก็ตัดสายโทรศัพท์ดัง “แกร๊ก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย แบมือออกราวกับไม่มีเรี่ยวแรง วางโทรศัพท์กลับไปยังตำแหน่งเดิม
วินาทีต่อมา ข้อมือของเธอถูกฝ่ามือกว้างอันร้อนแรงคว้าไว้
แววตาของเผยลี่เชินลึกล้ำ เขาออกแรงรั้งหญิงสาวเข้าหาตนเอง “เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไร?”