บทที่ 31 เมื่อทำผิดก็ต้องลงโทษ
สองชั่วโมงกว่าหลังจากนั้น ฟางหรงเทียนต้อนรับ Rolf ตัวแทนจากเยอรมัน หลังก้าวเท้าส่งพวกเขาจากไป เผยลี่เชินก็เคาะประตูเข้ามาพอดี
ฟางหรงเทียนนั่งลงบนเก้าอี้สำนักงาน มองยังคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย หันหน้าไปออกคำสั่งอานโหรว “ไปเตรียมกาแฟมาสองแก้ว นาน ๆ ทีประธานเผยจะแวะมา ใช้เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดด้วยล่ะ”
เผยลี่เชินอายุน้อยกว่าเขาแต่ตำแหน่งกลับสูงกว่าเขาขั้นหนึ่ง แม้ฟางหรงเทียนจะรู้ว่าตนเองต่างหากที่เป็นผู้ฮีโร่ที่แท้จริงของกลุ่มธุรกิจเผยซื่อ แต่ภาพลักษณ์ภายนอกควรเป็นอย่างไรก็ต้องทำตัวไปตามนั้น
เผยลี่เชินยิ้มบาง สาวเท้ามาข้างโซฟาแล้วนั่งลง “อาฟาง เกรงใจกันเกินไปแล้ว ผมแค่มาไต่ถามสถานการณ์เท่านั้น เดี๋ยวเดียวก็กลับ”
ถึงอย่างไรฟางหรงเทียนก็เคยเป็นคนที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่พ่อของเขา ในเวลาส่วนตัวเขาจึงยังคงเรียกขานอีกฝ่ายด้วยความเคารพ
ฟางหรงเทียนถามกลับแม้รู้อยู่แก่ใจ “สถานการณ์อะไร?”
เผยลี่เชินเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตกลงราคากับฝั่งเยอรมันเรียบร้อยแล้วหรือ? ตอนผมมาถึงเห็นพวกเขากำลังออกไปพอดี”
การแบ่งสัดส่วนแผนงานในบริษัทมีความชัดเจนมาก เขา ฟางหรงเทียน และเผยอี้ล้วนไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหน้าที่การรับผิดชอบแผนงานของคนอื่น ๆ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความยุ่งเหยิงคลุมเครือ ก่อให้เกิดความไม่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
นี่คือกฎเกณฑ์ที่ตกลงกันภายในบริษัทแต่ไหนแต่ไรมา เผยลี่เชินเองก็เข้าใจแจ่มแจ้ง อย่าว่าแต่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเลย โดยปกติแล้วหากไม่ใช่โปรเจกต์ของเขา เขาไม่เคยเอ่ยปากถาม เพียงคอยตรวจสอบผลลัพธ์ที่ออกมาตอนท้ายสุดเท่านั้น
ทว่าคราวนี้ เขาไม่เพียงแค่ถาม แต่ยังจงใจมาถึงห้องทำงานของฟางหรงเทียน…
ฟางหรงเทียนช้อนตามองเขา “ตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว ขาดก็เพียงแต่เซ็นสัญญาเท่านั้น ทางเราเตรียมการเอาไว้เสร็จสิ้น ไม่มีปัญหา”
” งั้นก็ดีครับ” เผยหลี่เซินเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นจังหวะเดียวกับที่อานโหรวยกกาแฟเข้ามาพอดี ยื่นส่งให้เขาแก้วหนึ่ง
รอจนอานโหรวออกจากห้องแล้ว ฟางหรงเทียนจึงมองไปยังเผยลี่เชิน แค่นยิ้มเอ่ยขึ้น “ลี่เชิน ที่นายตั้งใจมาหาฉัน คงไม่ใช่แค่อยากรู้ความคืบหน้าของแผนงานหรอกมั้ง?”
เผยลี่เชินได้ยินเข้าก็เผยยิ้มบาง วางแก้วกาแฟในมือลงอย่างเชื่องช้า “ผมอยากรู้ว่าราคาที่ตกลงกันได้ อาฟางพอใจกับมันหรือเปล่า อีกอย่างเป็นเพราะเลขาซุ่มซ่ามของผมที่ทำให้อาฟางต้องวุ่นวายไม่ใช่หรือ? ”
ฟางหรงเทียนลุกขึ้น เอื้อมมือคว้าเอกสารที่อยู่บนโต๊ะแล้วก้าวยาวมาทางโซฟาเพื่อนำเอกสารยื่นให้ลี่เชิน “นี่คือราคาสุดท้ายที่อีกฝ่ายชี้แจงมา ราคาชิ้นส่วนสูงกว่าที่เราคาดหวังไว้ถึง 0.06”
ฟางหรงเทียนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ทว่าเห็นได้ชัดจากน้ำเสียงว่าไม่พอใจ อย่าว่าแต่เพียงราคาชิ้นส่วนสูงขึ้น 0.06 เลย เขาสามารถทำให้ราคาตัวผลิตภัณฑ์ทั้งชิ้นพุ่งสูง จนสามารถเสริมกำลังการแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์และการขายได้ในระดับที่มั่นคงด้วยซ้ำ
เผยลี่เชินกวาดสายตาดูตัวเลขบนเอกสาร เผยยิ้มที่มุมปาก “อาฟาง เราไม่ควรศึกษาแค่เพียงเทคโนโลยีเท่านั้น ทุกวันนี้ทีมพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศมีมากขึ้นทุกที ขอเพียงเราได้สินค้ามา ก็สามารถเข้าใจหลักการเบื้องต้นของมันได้อย่างแจ่มแจ้ง ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดต่างประเทศ เราก็สามารถผลิตชิ้นส่วนของพวกเราเองได้หมด”
เขาพูดพลาง วางเอกสารในมือลงบนโต๊ะกาแฟ ลุกขึ้นยืน “ดังนั้นแม้จะตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคา แต่เรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี ต้องคิดอะไร ๆ ให้ยืดหยุ่นหน่อย”
สีหน้าฟางหรงเทียนหม่นลง “ที่นายพูดน่ะมันง่าย ตัวเลข 0.06 นี่ เดิมทีที่สามารถตกลงกันได้ หากไม่ใช่เพราะเลขาคนนั้นของนาย…” เขาพูดไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกตัวว่าแรงเกินไปหน่อย จึงเงียบลงทันควัน หันไปมองสีหน้าของเผยลี่เชิน
เผยลี่เชินใบหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการขุ่นเคือง “ถึงอย่างไร เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว อาฟาง ต่อให้ผมไล่เธอออกตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้”
ฟางหรงเทียนไม่พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขาจึงหันมาจ้องมองเผยลี่เชินตรง ๆ แล้วเอ่ยถาม “ลี่เชิน นายคงไม่ได้คิดอะไรกับยัยเด็กนั่นใช่ไหม? ฉันไม่เคยเห็นนายปกป้องลูกน้องคนไหนแบบนี้มาก่อน!”
“เหรอครับ?” เผยลี่เชินยิ้มบาง “อาฟางคิดมากไปแล้วล่ะ หากว่าผมจะปกป้องก็คงเป็นไปด้วยเหตุผลเดียว ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่อาฟางยังไม่กลับมา ผมเรียกประชุมหัวหน้าระดับสูง รับโปรเจกต์นั้นของเผยอี้แล้วยังเดิมพันกับเขา ซึ่งมันข้องเกี่ยวกับไป๋เสว่เอ๋อร์ ว่าก่อนที่จะติดตามผมไปทำงานยังเมืองหนานไห่ ไม่ว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะทำความผิดอะไรก็ไล่เธอออกไม่ได้ อาฟางคงไม่คิดจะหักหน้าผมหรอกมั้ง?”
ใบหน้าเผยลี่เชินเผยยิ้มน้อย ๆ ท่าทางและน้ำเสียงคล้ายกำลังต่อรอง แต่ยืนกรานทางสายตาอย่างหนักแน่นว่าไม่ยอมรับคำปฏิเสธ ฟางหรงเทียนย่นคิ้ว ไม่โต้ตอบอะไร เรื่องพนันนั่นเขาเคยได้ยินแล้ว และเข้าใจสถานการณ์กระจ่างดี ในเมื่อเผยลี่เชินเองก็พูดเช่นนี้ เขาเองก็ไม่มีข้ออ้างที่จะกัดไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ปล่อยอีกต่อไป
“ลี่เชิน ครั้งนี้เพราะเห็นแก่หน้านาย ฉันจะละเว้นยัยเด็กนั่นสักครั้ง แต่ว่าฉันขอเตือนนายด้วยความหวังดี ยัยเด็กนั่นเป็นลูกสาวของไป๋เจิ้งตง ไม่ว่าอย่างไร…ก็ขอแนะนำให้ไล่เธอออกไปโดยเร็วที่สุด”
เผยลี่เชินฉายแววตาล้ำลึก “นั่นมันเรื่องของผม ไม่รบกวนให้อาฟางมาเป็นธุระด้วยหรอก”
ฟางหรงเทียนโบกมือไปมา เป็นสัญญาณว่าไม่ขอพูดอะไรมากไปกว่านี้ “ไว้ฉันจะบอกอานโหรวให้ไปหาเธอ บอกว่าไม่ต้องรับโทษแล้ว”
“ไม่จำเป็น” เผยลี่เชินตอบกลับทันควัน “ในเมื่อทำผิด ก็สมควรต้องลงโทษ”
หากไม่ลงโทษเสียบ้าง ผู้หญิงคนนั้นจะรู้จักหลาบจำได้อย่างไร? จะเข้าใจได้อย่างไรว่าเรื่องบางอย่างไม่อาจตัดสินใจโดยพลการหากปราศจากคำอนุญาตจากเขา? แล้วจะสำเหนียกได้อย่างไรว่าในวงการธุรกิจควรระมัดระวังคำพูดคำจาและการกระทำในทุกวินาที? ทั้งควรให้เธอเรียนรู้รับผิดชอบผลลัพธ์จากความผิดพลาดของตัวเองด้วย
ฟางหรงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย ตอนที่เขาหันไปหาเผยลี่เชิน อีกฝ่ายก็เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว
“อาฟางเชิญทำธุระก่อนเถอะ ผมไม่รบกวนแล้ว” พูดจบเขาก็ดึงประตูเปิดแล้วก้าวออกไป
ขณะเดียวกัน หน้าประตูห้องน้ำโรงอาหารพนักงาน ไป๋เสว่เอ๋อกำลังตั้งอกตั้งใจกวาดเถ้าบุหรี่ตรงประตู เธอสวมชุดพนักงานกับรองเท้าส้นสูง ไม่สามารถก้มตัวมากนัก จึงได้เพียงแต่กวาดพื้นให้สะอาดอย่างเชื่องช้า
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน อันเป็นเวลาใกล้อาหารเย็นพอดี คนที่ทำงานล่วงเวลาและคนที่ขี้เกียจกลับไปทำกับข้าวที่บ้านมากมายล้วนเลือกมากินข้าวที่โรงอาหาร เพียงครู่เดียว โรงอาหารก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
เมื่อมีคนมาก คนใช้ห้องน้ำก็มากตาม คนที่เดินผ่านไปมาล้วนเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ เธอสวมชุดพนักงาน จากการแต่งกายเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่พนักงานทำความสะอาด ทว่าไม่รู้ใครที่แพร่กระจายข่าวลือออกไป ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอกระทำความผิดลงไปจึงได้โดนลงโทษ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มหน้ากวาดพื้น บังเอิญได้ยินเสียงหัวเราะนินทาเย้ยหยัน
“ว้ายดูสิ! นั่นมันเลขาคนใหม่ของประธานเผยนี่! ได้ยินว่าทำผิดก็เลยถูกประธานฟางลงโทษเอา!”
“ใช่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของไป๋ซื่อหรือเปล่า? ตายจริง! ตกต่ำได้ขนาดนี้เลยเหรอ…”
“โชคชะตาไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ นึกไม่ถึงเลย…”
“……”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันกรอด ทว่ายังคงเคลื่อนไหวต่อไป เธอได้กลิ่นโชยมาจากห้องน้ำ อดกลั้นจากสายตาของผู้คน ราวกับถูกจับเปลื้องผ้าประจานต่อหน้าสาธารณชน ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีจะโต้ตอบ
ขณะนั้นเองเกิดความวุ่นวายโกลาหลที่หน้าประตู จากนั้นใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมา “ประธานเผยมา! ประธานเผยมากินข้าวที่โรงอาหาร! ไป๋เสว่เอ๋อร์จับไม้กวาดแน่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น พลางช้อนตามองไปยังประตู…
“……”
บทที่32 หากไม่ใช่ลำเอียงแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
เผยลี่เชินมีสีหน้าเย็นชา ก้าวเท้าเข้าไปยังโรงอาหาร ชั่วขณะนั้น ราวกับแสงสว่างรอบด้านส่องทาบทาลงมายังร่างเขาให้รู้สึกพร่างพราวตา
คนบางคนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ล้วนถูกผู้คนจับตามองตั้งแต่แรกพบ เขาเป็นคนประเภทนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์เองก็เช่นกัน
เผยลี่เชินเงยหน้ามอง กวาดสายตาไปรอบด้าน จนกระทั่งพบผู้หญิงคนหนึ่งไกล ๆ ท่ามกลางฝูงคน เธอยืนอยู่ตรงนั้นอีกทั้งกำลังมองมายังเขาพอดี
เผยลี่เชินยังคงไม่หยุดสายตา เขาเลื่อนมองผ่านตัวเธอไปอย่างรวดเร็ว หันร่างสาวเท้าไปทางหน้าต่างโรงอาหาร สายตาที่เขามองไปยังเธอนั้นราวกับเห็นคนแปลกหน้า ไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์บีบคั้น รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก การมากินข้าวที่โรงอาหารของเผยลี่เชินทำให้พนักงานทั้งหลายล้วนรู้สึกประหลาดใจ เพราะตั้งแต่ครั้งก่อนที่เผยลี่เชินมายังโรงอาหารเพื่อนำของขวัญมามอบให้ทุกคนในงานเลี้ยงฉลองประจำปีของบริษัทแล้ว นอกเหนือไปจากคราวนั้นเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวที่โรงอาหารอีกเลย
ไม่ใช่ว่ากับข้าวของโรงอาหารมีรสแย่ แต่เพราะเผยลี่เชินนั้นยุ่งเหลือเกิน ไม่ก็ต้องออกไปพบปะกับผู้คน ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเขาในบริษัท
มีพนักงานจากแผนกผู้จัดการอยู่ข้าง ๆ เผยลี่เชิน หลังจากพวกเขาสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงและเริ่มกินกัน จากมุมที่เผยลี่เชินนั่งอยู่ สามารถมองเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ตรงห้องน้ำได้อย่างชัดเจน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่ต้องทำความสะอาดตรงทางเข้า แต่ยังรับผิดชอบทำความสะอาดภายในห้องน้ำด้วย ยิ่งตอนนี้ผู้คนเข้ามามาก เธอยิ่งต้องเข้าไปทำล้างความสะอาดโถส้วมอันสกปรกบ่อยครั้ง ขัดอ่างล้างหน้าและพื้นห้องน้ำต่าง ๆ
อีกทั้งหน้าที่ที่เธอต้องรับผิดชอบไม่ได้มีเพียงแค่ห้องน้ำหญิง แต่ยังต้องทำความสะอาดห้องน้ำชายทุก ๆ หนึ่งหรือสองชั่วโมง ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของป้าแม่บ้านล้วน ๆ
ป้าแม่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลไป๋เสว่เอ๋อร์ เวลาที่ห้องน้ำชายต้องทำความสะอาด ป้าแม่บ้านจะมาอยู่หน้าประตูตะโกนถามว่ามีใครอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีจึงจะส่งไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าไปล็อกประตูแล้วทำความสะอาด
เนื่องจากไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกลงโทษ ดังนั้นต่อให้ป้าแม่บ้านอยากช่วยก็ไม่กล้าเข้ามาช่วย เพียงได้แต่ช่วยเหลือเธอด้วยวิธีนี้ ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้คนในโรงอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง และต้องทำความสะอาดห้องน้ำชายอีกครั้ง เมื่อป้าแม่บ้านมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงได้กล้าเข้าไปเก็บกวาด
ขณะที่เธอกำลังเตรียมล็อกกลอน ทันใดก็รู้สึกถึงแรงต้านอันหนักหน่วงจากประตู เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ จากนั้นจึงเห็นเผยลี่เชินผลักประตูเข้ามา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตื่นตระหนก “คะ…คุณเข้ามาได้ยังไง?”
เผยลี่เชินลงกลอนประตูอย่างรวดเร็ว จ้องมองเธอด้วยสายตาล้ำลึก
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองชายที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกผิดบาปขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เธอทำความผิดลงไป เผยลี่เชินต้องรู้แล้วอย่างแน่นอน
เธอหลุบตาลง เอ่ยเสียงต่ำ “ขอโทษค่ะ ฉันทำพลาดไป”
ฝ่ายชายเปล่งเสียงดังลั่น “ไหนพูดสิ ทำพลาดตรงไหน”
น้ำเสียงของเขาเหมือนทุกครั้ง ไป๋เสว่เอ๋อร์เองยังคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก เธอลังเลอยู่สักครู่จึงค่อยเอ่ยเสียงเบา “ฉันไม่ควรรับปากทำงานที่คนอื่นขอให้ทำโดยพลการ…”
แม้ว่าในตอนนั้นเธอจะส่งข้อความหาเขา แต่ก็เป็นการรายงานหลังจากที่ได้ทำลงไปแล้ว เธอไม่ได้ถามความเห็นจากเขา เพียงแต่รายงานให้เขาทราบเท่านั้น
เผยลี่เชินเลิกคิ้ว “แล้วยังไงอีก?”
“ฉันไม่ควรเอาเอกสารให้เพื่อนร่วมงานโดยพลการและไม่ไต่ถาม”
ไป๋เสว่เอ๋อร์จับไม้ถูพื้นไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งกำมุมเสื้อเอาไว้ รู้สึกกังวลจนแทบทนไม่ไหว
เมื่อพูดจบ เธอช้อนตามองยังเผยลี่เชิน ฝ่ายชายยังคงแสดงสีหน้าเย็นชา “มีอีก”
ยังมีอีก? นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว เธอก็คิดถึงเรื่องอื่นไม่ออกจริง ๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ย่นคิ้ว พูดอะไรไม่ออกอยู่เนิ่นนาน
เผยลี่เชินสีหน้าหม่นลงเรื่อย ๆ ในความคิดปรากฏภาพที่เห็นเธออยู่ในอ้อมกอดของตัวแทนจากประเทศเยอรมันในล็อบบี้โรงแรมตอนเที่ยงวัน เธอไม่ควรไปโอบกอดกับผู้ชายหน้าไหนลับหลังเขา ถึงจะเป็นเรื่องงานก็เถอะ
“ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้ามองยังเผยลี่เชิน
เผยลี่เชินเม้มปาก ไม่ได้พูดความในใจออกไป สายตาของเขามองยังใบหน้าน้อยของไป๋เสว่เอ๋อร์ ณ เวลานี้ เธอกำลังกัดริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
เผยลี่เชินถอนใจหนักหน่วง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลังจากรับโทษแล้ว ไปขอโทษรองประธานให้ดี แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ”
“ค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รับคำ
เธอมองเผยลี่เชินหมุนตัวผลักประตูจากไป ไกลขึ้นทุกที แอบรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ว่า เธอทำอะไรผิดกันแน่นะ?
……
วันต่อมา ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำความสะอาดห้องน้ำอีกวันหนึ่งก่อนจะได้รับแจ้งจากอานโหรวให้เธอเลิกทำ
นี่ยังไม่ครบเวลาลงโทษสองวัน แต่ก็ทำให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้รู้ซึ้งถึงพนักงานในบริษัทหลากหลายรูปแบบ ราวกับว่าผู้คนนั้นล้วนยกยอผู้สูงส่งและเหยียดหยามคนที่ต่ำต้อยกว่า ดังนั้นคนส่วนใหญ่เมื่อมองมายังเธอ จึงล้วนนินทาและหัวเราะเย้ยหยัน
ช่วงแรก ๆ เธอยังรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้ช่างเสียดแทงหูเสียเหลือเกิน แต่ว่าพอฟังมากเข้า ก็เกิดความชินชาไม่รู้สึกอะไร พอใครคนหนึ่งไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงอะไรมากมาย พวกคนขี้นินทาเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เลิกรากันไปเอง
ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง เขียนจดหมายขออภัยในทันที เพื่อเป็นการขอโทษฟางหรงเทียนจากใจจริง
สวี่เยว่หรูได้ยินว่าไป๋เสว่เอ๋อร์กลับมาแล้ว กำลังตั้งใจจะไปเยาะเย้ยเธอที่ห้องทำงานสักสองสามประโยค ไม่นึกว่ายังไม่ทันออกจากประตูก็ได้รับคำสั่งจากเผยลี่เชินให้ไปเอาเอกสารประกาศเรื่องแผนการไปดูงานเมืองหนานไห่ในห้องทำงาน ซึ่งจะต้องประกาศให้รู้ทั่วกันในอีกไม่ช้า เพื่อพวกพนักงานจะได้ปรับเวลาส่งรายงานล่วงหน้ากัน
สวี่เยว่หรูเดินเข้าไปยังห้องประธานด้วยใจระทึก เห็นเผยลี่เชินกำลังก้มหน้าทำงาน จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ประธานคะ ฉันมารับใบประกาศดูงาน”
เผยลี่เชินยกมือขึ้นเคาะโต๊ะ เป็นสัญญาณให้เธอเข้ามารับไป
เผยลี่เชินหยิบใบประกาศ เมื่อเห็นชื่อเลขาผู้ติดตามที่พิมพ์อยู่บนแผ่นกระดาษก็ถึงกับชาไปทั้งร่าง เธอกระพริบตาซ้ำ ๆ แล้วจ้องดูอีกครั้ง “เลขาธิการผู้ติดตาม: ไป๋เสว่เอ๋อร์” เป็นไป๋เสว่เอ๋อร์จริง ๆ!
สวี่เยว่หรูถือเอกสารไว้ในมือแน่น สีหน้าเคร่งเครียด
เป็นไปได้อย่างไร? ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งเข้าบริษัทมาได้ไม่กี่วัน ทำไมเผยลี่เชินถึงให้เธอติดตามไปทำงานยังต่างเมืองด้วย? เผยลี่เชินได้ยินเสียงฝีก้าวหยุดลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเยว่หรู เห็นสีหน้าซีดเผือดของเธอจึงเอ่ยปากถาม “มีปัญหาอะไรรึไง?”
สวี่เยว่หรูหันร่างกลับมา เม้มริมฝีปากมองยังเผยลี่เชิน “ประธานเผยคะ ไปดูงานต่างเมืองครั้งนี้ท่านให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ติดตามไปหนานไห่ด้วยหรือคะ?”
เผยลี่เชินวางปากกาเซ็นชื่อในมือลง เอนหลังพิงกับพนัก “ใช่ ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ค่ะ…” สวี่เยว่หรูหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเพิ่งเข้าบริษัทมา ไม่มีประสบการณ์กับงานประเภทนี้ ถ้าหากว่าเป็นฉัน…”
“ผมมีวิจารณญาณของตัวเอง อันดับแรก เราต้องไปพบนักธุรกิจต่างชาติที่เมืองหนานไห่ และสาขาที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ถนัดก็เป็นภาษาต่างประเทศพอดี นอกจากนั้นโปรเจกต์ทางหนานไห่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการรับมือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล ออกงานทางการหลากหลายรูปแบบ ไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูสั่งสอนเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก จึงเข้าใจการวางตัวในงานทางการประเภทนี้ ผมถึงเห็นว่าเธอเหมาะสม”
เผยลี่เชินพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ ทำเอาสวี่เยว่หรูหน้าถอดสี เวลาเผยลี่เชินชื่นชมไป๋เสว่เอ๋อร์ ก็เหมือนกับดูถูกว่าหล่อนไม่มีตัวตน! เธอไม่ใช่คนโง่ ต่อให้เผยลี่เชินไม่ชี้แจงให้ฟัง เธอก็ยังรู้สึกราวกับตัวเองถูกตบหน้าถึงสองฉาด สูญเสียซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี
สวี่เยว่หรูกัดปากพูด ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ “เข้าใจแล้วค่ะประธานเผย ฉันจะไปแจ้งให้ทุกคนทราบ”
พอเธอพูดจบ ก็ออกจากห้องทำงานไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มือคว้าประตูห้อง น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสาย ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าบริษัทมาไม่กี่วัน ทั้งยังทำความผิดครั้งใหญ่ เผยลี่เชินยังให้หล่อนติดตามตนออกไปคุยงานต่างเมือง หากไม่ใช่ลำเอียงแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!
บทที่33 เธอจะหาเรื่องกันหรือไง
สวี่เยว่หรูกลั้นใจ แค่เธอคิดถึงคำพูดพวกนั้นของเผยลี่เชิน ไฟก็แทบจะลุกโชนขึ้นจากหัว
เธอสู้ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ได้ตรงไหน? หากไม่นับพื้นฐานทางครอบครัวแล้ว การศึกษา รูปร่างหน้าตาล้วนเชิดหน้าชูตาได้ทั้งนั้น! ทำไมพอไป๋เสว่เอ๋อร์มาแล้วเธอจึงกลับกลายเป็นคนที่ถูกเมินไปเสียได้?
ถึงอย่างไรเผยลี่เชินเองก็เป็นรุ่นพี่ที่จบสายตรงจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ ไม่นึกเลยว่าในสายตาของเขาตอนนี้เธอไม่อาจเทียบกับเด็กใหม่ด้วยซ้ำ!
สวี่เยว่หรูยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอกำประกาศในมือแน่น สาวเท้าไปยังห้องทำงานของไป๋เสว่เอ๋อร์โดยไม่ตริตรอง ผลักประตูเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานกำลังศึกษาจดหมายขอโทษอยู่ ได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นสวี่เยว่หรูก็ผงะไปชั่วครู่
“เลขาสวี่มีอะไรเหรอคะ?”
สวี่เยว่หรูพุ่งมาอย่างดุดัน ย่ำรองเท้าส้นสูงตรงดิ่งยังหน้าโต๊ะทำงาน กระแทกใบประกาศลงบนโต๊ะอย่างกราดเกรี้ยว
เสียงดัง “ปัง” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้ง ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปราดสายตาไปยังใบประกาศ พอเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ส่วนบนสุด “ตารางแผนการไปดูงานโปรเจกต์หนานไห่” ถึงได้เข้าใจ
โดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายพูดอะไร สวี่เยว่หรูถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอนี่สามารถเหลือเกินนะ! เข้าบริษัทยังไม่ถึงสัปดาห์ก็ได้ติดตามประธานเผยไปต่างเมืองแล้ว! มีสิทธิ์อะไร?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าสวี่เยว่หรูจะมีปฏิกิริยารุนแรงเพียงนี้ เธอถอนหายใจลึก ไม่อยากทำให้เรื่องบานปลาย จึงอธิบายอย่างใจเย็น “อาจเป็นเพราะประธานเผยเห็นว่าฉันเพิ่งเข้ามา อยากพาฉันไปศึกษางาน จึงพาฉันไปด้วยมั่งคะ อีกอย่างเลขาสวี่เองก็มีประสบการณ์การทำงาน รู้วิธีการจัดการปัญหาต่าง ๆ มากมาย ประธานเผยออกไปทำงานต่างเมือง ให้คุณอยู่ดูแลบริษัทจึงจะวางใจได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่แสดงอาการโกรธขึ้ง ทั้งยังพูดจาอ่อนหวานน่าฟัง ทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองจวนเจียนจะระเบิดของสวี่เยว่หรูเย็นลงอย่างมาก
พริบตานั้น สวี่เยว่หรูจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า พลันสัมผัสได้ถึงความห่างชั้นระหว่างตนเองกับไป๋เสว่เอ๋อร์ ตั้งแต่แรกที่ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าเผยซื่อมา ไม่ว่าเธอจะสร้างความลำบากให้อีกฝ่ายแค่ไหน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่ออกอาการโกรธเคือง แม้กระทั่งตอนนี้ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยังอดกลั้น พูดจาอย่างนุ่มนวลด้วยเหตุผล ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อตอนที่เธอได้ยินว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ถูกลงโทษ อุตส่าห์วิ่งไปดูอีกฝ่ายโดนหัวเราะเยาะ แต่แม้ยามไป๋เสว่เอ๋อร์ถูพื้นด้วยไม้ม็อป เธอก็ยังคงมีรัศมีบางอย่างที่ไม่อาจเก็บซ่อนได้มิด…
หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าการเลี้ยงดูสั่งสอน?
ทันใดนั้นสวี่เยว่หรูกำหมัดแน่น จดจ้องหญิงตรงหน้าด้วยแววตาวาววาบ ความรู้สึกต่ำต้อยกว่าพลันบังเกิดขึ้นมาในใจอย่างห้ามไม่อยู่ เธอกัดฟันกรอด หันร่างแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว นาทีนั้น สวี่เยว่หรูได้ตระหนักว่า เด็กหญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโตนั้น ต่อให้เธอพยายามแค่ไหนก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้ ท่วงท่าแบบนั้น การเลี้ยงดูแบบนั้น ราวกับความงามที่ไร้รูปแบบ แทรกซึมอยู่ในสายเลือด ใคร ๆ ต่างสามารถสัมผัสได้ทว่าไม่อาจเลียนแบบได้ภายในชั่วเวลาสั้น ๆ
สวี่เยว่หรูกลับไปยังห้องทำงานของตนเอง ความรู้สึกต่ำต้อยและริษยาผสมผสานกันปนเป ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเกลียด ทำไมเธอถึงได้เกิดมาในชนชั้นคนธรรมดา! แต่ใครบางคนกลับได้เติบโตมาในบ้านเรือนที่อบอุ่น ราบรื่นไปหมดทั้งการทำงานและใช้ชีวิต
ในที่สุดเธอก็เข้าใจคำพูดพวกนั้นของเผยลี่เชิน และพลันเข้าใจด้วยว่าแม้ตระกูลไป๋จะล้มละลาย เธอก็ยังไม่อาจเทียบเคียงไป๋เสว่เอ๋อร์ได้อยู่ดี! สวี่เยว่หรูกัดริมฝีปากล่าง ขยำประกาศที่อยู่ในมือแน่นขึ้นแล้วปาลงบนพื้นเต็มแรง
เธอไม่สน! ไม่สนว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะเกิดมาจากไหน! เธอจะไม่ยอมให้หล่อนแซงหน้าเธอไปได้เด็ดขาด!
……
ความเกลียดชังนั้น แปรเปลี่ยนเป็นพิษร้าย ส่งผลต่อเธออย่างรุนแรง เพียงชั่วพริบตาความเกลียดชังที่มีต่อชีวิต ความแค้นเคืองต่อสังคม กลับกลายมาเป็นความริษยาต่อไป๋เสว่เอ๋อร์!
สวี่เยว่หรูจ้องมองก้อนกระดาษบนพื้น แค่นเสียงหัวเราะเย็นออกมาทันควัน
เธอจะคอยดูว่าในอนาคต ระหว่างเธอกับไป๋เสว่เอ๋อร์ ใครจะได้กดหัวใคร!
ก่อนส่งจดหมายขออภัยให้ฟางหรงเทียน ไป๋เสว่เอ๋อร์ติดต่ออานโหรวด้วยตนเอง เมื่อมั่นใจว่าฟางหรงเทียนอยู่ในห้องทำงานแล้วจึงตรงไปหา
พอเดินมาถึงประตู เธอถือจดหมายขอโทษไว้ในมือแน่น ถอนหายใจยาวแล้วเอื้อมมือเคาะประตู
มีเสียงดังออกมาจากภายในห้อง “เข้ามา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ผลักประตูเข้าไป ตอนแรกยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทว่าเมื่อเธอมองเห็นใครอีกคนนั่งอยู่ในห้อง ใบหน้าเปื้อนยิ้มก็พลันนิ่งสนิท
เผยอี้พิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์ เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาคือไป๋เสว่เอ๋อร์ เขาหน้าเปลี่ยนสี หันไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ปรับรอยยิ้มบนใบหน้า มองยังฟางหรงเทียนแล้วเอ่ยเสียงเบา “รองประธานฟางคะ ฉันมาหาท่านเพื่อมอบจดหมายขออภัยค่ะ”
ฟางหรงเทียนสีหน้าเรียบเฉย ไม่คิดจะหันมามองเธอแม้แต่น้อย เขาตอบ “อืม” เสียงเย็น “วางลงสิ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ชั่วขณะ สาวเท้าไปข้างหน้า ตั้งใจจะวางจดหมายขออภัยลงบนโต๊ะ
ทันใดมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ทำแบบนี้ไม่เห็นถึงความจริงใจ ถ้าจะขออภัยก็ต้องอ่านให้ฟังต่อหน้าสิ?”
คนที่จะเสนออะไรแบบนี้ได้ ก็มีแต่เผยอี้เท่านั้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถือจดหมายในมือแน่นขึ้น ไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองฟางหรงเทียน รอฟังคำสั่งจากเขา
ฟางหรงเทียนนิ่งไปชั่วขณะ พลันมองยังไป๋เสว่เอ๋อร์ “งั้นเธออ่านแล้วกัน ฉันเองก็ขี้เกียจจะเปิดดู”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันกรอด รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ก่อนเธอมา เธอไม่ได้คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ เธอรู้ตัวว่าเธอเขียนด้วยความจริงใจ ทว่าเมื่อต้องอ่านให้ฟังต่อหน้า ก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ดี
ฟางหรงเทียนเห็นเธอนิ่งไปเนิ่นนาน จึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ไม่อ่านก็ออกไปซะ อย่ามาทำเสียเวลาตรงนี้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่มีทางเลือกนอกจากกลั้นใจอ่าน เธอสูดหายใจลึก ยกจดหมายในมือขึ้นมา เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านรองประธานฟางที่เคารพ เนื่องด้วยความผิดพลาดของดิฉัน จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อกำไรของบริษัท อีกทั้งยังทำให้ความพยายามของท่านต้องเสียเปล่า ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงต้องขออภัยอย่างที่สุด…”
จดหมายฉบับหนึ่งไม่สั้นนัก ไป๋เสว่เอ๋อร์เองก็ไม่ได้รีบร้อนอ่าน ทว่าท่วงท่าและน้ำเสียงแสดงถึงความจริงใจอย่างเพียงพอ ในที่สุดคิ้วขมวดของฟางหรงเทียนจึงเริ่มคลายลงบ้าง เมื่ออ่านจนถึงตอนท้าย ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังไม่ลืมโค้งคำนับเขาอย่างนอบน้อม
การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นแบบอย่างในการขออภัย ก่อนหน้านี้ลูกน้องของเขาล้วนกระทำผิดและถูกลงโทษมาไม่น้อย ทว่าไม่มีใครคิดถึงการเขียนจดหมายขออภัยหลังจากได้รับการลงโทษ ไป๋เสว่เอ๋อร์นับว่าเป็นคนแรก
ฟางหรงเทียนเสียงอ่อนลง “เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าแล้วไป ภายหลังต้องตั้งใจทำงานให้มาก วางจดหมายลงแล้วไปได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ก็กุลีกุจอวางจดหมาย จนฟางหรงเทียนยิ้มออกมา หลังจากขอบคุณแล้วก็หันร่างจากไป
นาทีที่หันหลังกลับ เธอเห็นเผยอี้นั่งอยู่บนโซฟา กำลังเก็บโทรศัพท์มือถือที่ยกประจันหน้าเธออยู่พอดี ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่ไม่อาจอธิบายได้ซ่อนอยู่
หรือว่าเผยอี้จะบันทึกขั้นตอนการขออภัยของเธอเอาไว้?
เธอลอบกำหมัดแน่น ต่อหน้าฟางหรงเทียนไม่อาจแสดงอาการออกไป จึงทำได้แค่เพียงสาวเท้าออกจากห้องทำงาน
หลังจากออกมาแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างอยู่ภายในใจ ถ้าหากเผยอี้นำเอาคลิปวิดีโอที่ถ่ายเธอไว้ไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตจะทำยังไง?
ทุกวันนี้ตระกูลไป๋ก็มีเรื่องเสียหายมากมาย เธอไม่อยากให้คลิปนั้นถูกเผยแพร่จนส่งผลกระทบต่อตระกูลไป๋ให้เสื่อมเสียมากขึ้นอีก อย่างไรเสียเธอและแม่ก็ยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไป ผู้คนชอบติฉินนินทา เธอเข้าใจจุดนี้ดี
ไป๋เสว่เอ๋อร์คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายจึงยืนเฝ้าประตูห้องฟางหรงเทียนรอให้เผยอี้ออกมา
สิบนาทีจากนั้น ประตูถูกเปิดออกดัง “แกร๊ก” เผยอี้เดินออกมาจากห้องทำงาน เงยหน้าขึ้นเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ สีหน้านิ่งเฉย เขาทำราวกับมองไม่เห็นเธอ สาวเท้าเดินไปอีกทาง ไป๋เสว่เอ๋อร์ใจระทึก ก้าวไปขวางทางเขาไว้
เผยอี้หยุดฝีก้าว มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นอย่างไร้ความอดทน “ไป๋เสว่เอ๋อร์ จะหาเรื่องกันหรือไง?”
บทที่34 เขาสารภาพผิดแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์จ้องมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ลบคลิปวิดีโอซะ”
เผยอี้สีหน้าเยียบเย็น “คลิปวิดีโออะไร?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ลังเลแม้แต่น้อย แถมยังสาวเท้าไปข้างหน้าครึ่งก้าว “คลิปที่ฉันขอโทษรองประธานฟางในห้องทำงานเมื่อกี้ไง ฉันเห็นนายอัดไว้”
เผยอี้ยิ้มเยาะ มองยังผู้หญิงตรงหน้า แสดงสีหน้ารังเกียจ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ประสาทไปแล้วหรือไง? คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ดาราเหรอ? ฉันจะถ่ายอะไรก็ได้ ทำไมฉันต้องถ่ายคลิปเธอ?”
เผยอี้ยิ้มเย็นก้าวเดินหนี แต่ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังตามไปข้างหน้า ขวางทางเขาอีกครั้ง “ถ้าวันนี้นายไม่ลบออก ฉันจะไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้น”
หญิงที่อยู่ตรงหน้าเปล่งแววตาจริงจัง แม้น้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะหยุดเขา
เผยอี้มองเธอเพียงชั่วครู่ ยิ้มเย็นเอ่ย “ทำไม? ตอนนี้มีเผยลี่เชินหนุนหลัง เลยปีกกล้าขาแข็งเรอะ? ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ฉันถ่ายวิดีโอไว้จริง แต่ไม่มีทางลบเด็ดขาด!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว จ้องมองชายหน้าด้านแล้วยิ่งโมโหขึ้นเรื่อย ๆ
พนักงานภายในบริษัทเดินผ่านมา เห็นท่าทางของพวกเขาสองคน จึงหันมามองด้วยความแปลกใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันกรอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เผยอี้ ฉันไม่ได้พึ่งบารมีใครทั้งนั้น ตอนนี้พวกเราแยกทางกันเดิน ต่างคนต่างไป อย่าขัดขากันให้มากนักจะดีกว่า นายลบคลิปนั่นซะแล้วฉันจะไปทันที!”
เธอรู้อยู่แก่ใจ ว่าหากเผยอี้ต้องการสร้างพาดหัวข่าวให้เธอ คลิปวิดีโอเพียงเล็กน้อยนั่นก็สามารถทำให้ตระกูลไป๋มัวหมอง
เธอไม่อยากแบกรับแรงกดดันจากสาธารณชนอีกต่อไป ตอนนี้เธอเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และค่อย ๆ กลายเป็นคนที่เข้มแข็ง
สีหน้าของเผยอี้เคร่งขรึม จ้องมองเธออย่างล้ำลึก เอ่ยเสียงเย็น “ถ้าอยากให้ฉันลบคลิปวิดีโอนี้ออกล่ะก็ หลังเลิกงานให้มาหาฉันที่ห้องทำงาน”
พอเขาพูดจบก็ก้าวเท้ายาว เดินตรงดิ่งจากไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองเงาด้านหลังของเขา รู้ว่าตอนนี้ตามรังควานเขาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้แต่กัดฟันข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
เธอไม่รู้ว่าเผยอี้คิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะต้องลบคลิปวิดีโอในมือเขาให้ได้
ทุกวันนี้ตระกูลไป๋ของพวกเขาก็เจอเรื่องหนักหนาสาหัสมามากพอแล้ว ไม่อาจทนการเหยียดหยามใด ๆ ได้อีกต่อไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับมายังห้องทำงานของตัวเอง จัดเก็บรายงานแต่ละฤดูกาลที่ส่งมาจากแผนกเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงส่งต่อไปยังห้องประธานที่อยู่ด้านข้าง
เธอผลักประตูเข้าไป เผยลี่เชินกำลังคุยโทรศัพท์อยู่พอดี เธอสาวเท้าเข้าไปโดยไม่พูดอะไร แจ้งเรื่องรายงานนายมือให้ฝ่ายชายทราบ จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะทำงาน
หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว เธอหมุนตัวกำลังจะจากไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เผยลี่เชินวางสาย เอ่ยเสียงรั้งเธอเอาไว้ “เธอมานี่ซิ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หยุดเท้า หันร่างกลับไป ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “ประธานเผยมีคำสั่งอะไรคะ?”
“ติดต่อไปยังคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบทางเมืองหนานไห่ล่วงหน้า ยืนยันเรื่องเวลาการจัดกิจกรรมและสถานที่ จัดเตรียมที่พักอาการการกินโรงแรมเอาไว้ให้เรียบร้อย”
“รับทราบค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รับคำแผ่วเบา
เผยลี่เชินกวาดสายตามองไป๋เสว่เอ๋อร์แวบหนึ่ง นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ฉันได้ยินข่าวบางอย่างเกี่ยวกับพ่อของเธอ”
เขาเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว ทีแรกไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ทว่าเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับพ่อ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา สาวเท้าขึ้นมาข้างหน้าอย่างว่องไว “พ่อของฉัน…เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ไป๋เจิ้งตงยอมรับสารภาพทุกอย่าง ตอนนี้ทางศาลกำลังคำนวณมูลค่าที่ชัดเจน คิดว่าอีกไม่นานทางศาลคงจะตัดสินโทษ”
“อะไรนะ?” สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ซีดขาวอย่างฉับพลัน เธอกำหมัดแน่น จ้องมองเผยลี่เชินอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “คุณบอกว่าพ่อของฉันทำผิดกฎหมายเหรอ?”
เผยลี่เชินเปล่งแววตาเย็นชา เอ่ยเสียงเรียบ ”ก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หลบหลีกและปิดบังภาษี มีหลักฐานยืนยัน เขายอมรับผิดแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก สมองมึนงงไปหมด คำพูดของเผยลี่เชินราวกับอยู่ห่างไกลจากหูที่อื้ออึง ทั้งเลือนลางและห่างไกลจากความเป็นจริง
เป็นไปได้ยังไง? ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อของเธอสั่งสอนเธอให้เป็นคนซื่อสัตย์ปฏิบัติตามกฎหมายมาตลอด แล้วเขาจะทำผิดกฎหมายได้อย่างไร?
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากจนเกือบเป็นแผล แต่ในใจยังอัดแน่นไปด้วยความสงสัย เธอสูดหายใจลึก ช้อนตามองยังเผยลี่เชิน แล้วขอคำยืนยันอีกครั้ง “เป็นความจริงเหรอคะ?”
เผยลี่เชินสีหน้านิ่งเฉย “ใช่”
“ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึก พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ผ่านไปเนิ่นนาน เธอถึงค่อยมองยังเผยลี่เชิน เอ่ยเสียงเบา “ทราบแล้วค่ะประธานเผย หากไม่มีธุระอะไรอีก ฉันขอไปทำงานต่อนะคะ”
น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่ในใจสะท้านสะเทือน ไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง เธอไม่ได้หันไปมองสีหน้าของเผยลี่เชิน เพียงหันร่างเดินตรงสาวเท้าก้าวออกมาด้านนอก
แรงกระทบเช่นนี้ ไร้รูปทว่ารุนแรงสาหัส ราวถูกทรยศหักหลังจากคนที่ไว้ใจที่สุดมาตั้งแต่เล็กจนโต ความรู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและความเสียใจถาโถมเข้าสู่ใจเธอในคราวเดียวกัน
เรื่องราวพวกนี้เผยลี่เชินบอกเธอจากปากเขาเอง ย่อมไม่ไกลจากความเป็นจริง แล้วเธอจะบอกเรื่องนี้กับแม่อย่างไร? แม่จะสามารถยอมรับได้ไหม?
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดน้ำมูก หันเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลายาวนาน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน เธอคิดวนไปมาหลายตลบ แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าต้องบอกเรื่องนี้ให้คุณแม่ไป๋รู้อย่างเร็วที่สุด
เธอออกจากห้องทำงาน ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ เดินเข้าไปยังห้องที่เล็กที่สุดภายในนั้น แล้วกดโทรศัพท์หาคุณแม่ไป๋ ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย เสียงของคุณแม่ไป๋ดังมาตามสาย “มีอะไรเหรอเสว่เอ๋อร์?”
“แม่ หนูมีเรื่องจะบอก…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังไม่ทันพูดจบ ก็รู้สึกเหมือนจุกในลำคอ น้ำตาไหลลงมาเป็นสายอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
เธอไม่อาจยอมรับเรื่องที่พ่อทำผิดกฏหมายได้จริง ๆ ราวกับพ่อที่ซื่อสัตย์และแสนดีในความทรงจำ กลายเป็นเรื่องโกหกไปเสียแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำโทรศัพท์ไว้แน่น อึกอักพูดอะไรไม่ออก
คุณแม่ไป๋ตกอกตกใจ รีบเค้นถาม “เสว่เอ๋อร์ เป็นอะไรไป? ร้องไห้ทำไม! มีใครแกล้งหนูหรือไง?”
“เปล่าค่ะ แม่ หนูได้ยินเรื่องของพ่อมาจากเพื่อน…” ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปาก อดกลั้นไม่ให้เสียงสั่นเครือ “หนูได้ยินว่า พ่อก่ออาชญากรรม …อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หนูเพิ่งค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต จะต้องถูกตัดสินลงโทษ……”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ตนเองก็สะอื้นไห้ออกมาเสียก่อน ในทางกลับกัน คุณแม่ไป๋ที่อยู่อีกฝั่งกลับสงบนิ่งยิ่งนัก “เสว่เอ๋อร์ อย่าร้องไห้เลย ตอนที่พ่อของลูกถูกนำตัวไปสอบสวน แม่เองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ประหลาดใจ “แม่? แม่…หรือแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อทำผิด?”
“แม่ไม่รู้เรื่องธุรกิจหรอก แต่แม่รู้ว่าบริษัททั่วไปย่อมมีการทุจริตไม่มากก็น้อย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ เธอขมวดคิ้ว “แม่ หนูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพ่อจะทำผิดกฏหมาย และยิ่งนึกไม่ถึงว่าพ่อจะถูกลงโทษเพราะก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ตอนนี้พวกเราควรจะทำอะไรสักอย่าง…”
“ตอนนี้ไป๋ซื่อก็ล้มละลายแล้ว ถึงอยากได้เงินก็หาไม่ได้ ต้องการอำนาจก็ไม่รู้จะเอามาจากไหน แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ?” คุณแม่ไป๋ถอนใจเบา ๆ “คงมีแต่ต้องยอมรับชะตากรรม”
ยอมรับชะตากรรม?
ไป๋เสว่เอ๋อร์ฟังแล้ว พูดอะไรไม่ออกไปเนิ่นนาน ต่อให้พ่อก่ออาชญากรรม พ่อก็ยังเป็นเสาหลักของบ้าน เป็นคนที่เลี้ยงดูเธอมาถึงยี่สิบเก้าปี จะให้เธอไม่สนใจไยดี ยอมรับชะตากรรมเนี่ยนะ?
ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำใจให้เย็นลง ไม่พูดอะไรกับคุณแม่ไป๋อีก เธอยกข้ออ้างขึ้นมาเพื่อวางสาย ภายในใจหนักอึ้งราวถูกหินก้อนใหญ่กดทับไว้จนแทบหายใจไม่ออก
พ่อก่ออาชญากรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฏหมาย เธอคงทำอะไรไม่ได้ แต่ด้วยความรักตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา เธอยิ่งไม่อาจนิ่งเฉยไม่สนใจไยดี หากพ่อจะต้องรับโทษจำคุก อย่างน้อยที่สุด เธอก็จะต้องให้พ่อมีชีวิตที่ดีในคุกสักหน่อย…
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันกรอด ออกมาจากห้องน้ำ ล้างมือแล้วสาวเท้าออกไป ขณะที่กำลังจะถึงทางออก หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นตากำลังเดินมา
บทที่35 ลบคลิปวิดีโอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจลึก แสร้งทำใจสงบแล้วก้าวขาอย่างเชื่องช้า รอจนเผยลี่เชินเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบา “สวัสดีค่ะประธานเผย”
เธอพูดจบ เงยหน้ามองฝ่ายชาย กลับพบว่าฝ่ายชายหยุดฝีเท้าจ้องตรงมายังเธอ
เธอเพิ่งจะร้องไห้มาหยก ๆ ขอบตาสองข้างบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด เผยลี่เชินมองออก
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ยเสียงเรียบเฉย “ร้องไห้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เรื่องพ่อของเธอฉันจะช่วยจัดการให้ สิ่งสำคัญที่สุดของเธอตอนนี้คือการเตรียมโปรเจกต์ไปหนานไห่ หากเธอทำออกมาได้ดีฉันจะให้คนพาเธอไปพบไป๋เจิ้งตง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินแล้วกระตือรือร้นขึ้นมา ยื่นมือไปจับชายเสื้อฝ่ายชายไว้ “จริงหรือคะ? ”
เผยลี่เชินพยักหน้าเบา ๆ “อืม”
ทันใดนั้นไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเหมือนก้อนหินที่กดทับอยู่ภายในใจเบาตัวขึ้นมาก” ขอบคุณค่ะ ฉันจะพยายามทำโปรเจกต์หนานไห่อย่างเต็มที่!”
เผยลี่เชินมองหญิงสาวแก้มแดงตาแดง ทำเอาหวั่นไหวในใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกชายเสื้อเลื่อนต่ำลง เมื่อก้มมองถึงได้เห็นมือเล็ก ๆ ของหญิงสาวจับชายเสื้อเขาเอาไว้
ไป๋เสว่เอ๋อร์สังเกตเห็นสายตาของเผยลี่เชิน จึงออกอาการอย่างรุนแรง เธอลนลานดึงมือกลับ รู้สึกเขินอายต่อรอยยิ้มของเผยลี่เชิน “ฉันไปทำงานก่อนล่ะค่ะ ประธานเผย”
เธอพูดจบก็รีบร้อนสาวเท้าเดินจากไป ใบหน้าร้อนผ่าวจากการกระทำอันน่าละอายเมื่อครู่
……
ชั่วพริบตา เวลาเลิกงานก็มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว ไป๋เสว่เอ๋อร์จัดการงานเสร็จสรรพก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ นั่นคือหลังเลิกงานต้องไปห้องทำงานของเผยอี้เพื่อเจอตัวเขา ให้เขาลบคลิปวิดีโอนั่นซะ
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองนาฬิกาซ้ำ ๆ เพิ่งเลิกงานยังไม่ถึง 10 นาที ตอนนี้พนักงานยังไม่กลับบ้าน หากไปห้องทำงานเผยอี้ตอนนี้ต้องมีพนักงานพบเห็นไม่น้อย ถึงตอนนั้นจะต้องซุบซิบนินทาเรื่องของเธอกับเผยอี้อย่างแน่นอน…
…
คิดไปคิดมา เธอตัดสินใจรอสักยี่สิบนาทีก่อนค่อยไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์ใช้ช่วงเวลานี้พลิกดูเอกสารโปรเจกต์หนานไห่ซ้ำหลายรอบ
ไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้น พบเผยลี่เชินยืนอยู่หน้าประตู
เธอรีบร้อนลุกขึ้น “ประธานเผย มีคำสั่งอะไรคะ?”
เผยลี่เชินกวาดตามองเอกสารบนโต๊ะเธอ “ยังไม่เลิกงานเหรอ?”
”ฉัน…” ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลชั่วครู่ เหลือบตามองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะแล้วรีบหาข้ออ้างอย่างว่องไว “ฉันตัดสินใจว่าจะตรวจดูเอกสารโปรเจกต์หนานไห่ก่อนสักพักค่อยกลับค่ะ”
” อืม” เผยลี่เชินมีสีหน้าเหมือนทุกที ทั้งไม่เอ่ยอะไรมาก เมื่อได้ยินว่าไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังจะเลิกงานจึงหันร่างจากไป เอื้อมมือคว้าจับประตูห้อง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอนหายใจโล่งอก แอบนึกดีใจที่วันนี้เผยลี่เชินเลิกงานไว ไม่งั้นหากเผยลี่เชินพบเธอไปหาเผยอี้ เธอคงสับสนน้ำท่วมปากอธิบายไม่ถูก
ผ่านเวลาเลิกงานมา 20 นาที ไป๋เสว่เอ๋อร์เก็บของเสร็จเรียบร้อย คว้ากระเป๋าตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของเผยอี้ ห้องทำงานของเผยอี้กับฟางหรงเทียนอยู่ชั้นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ไป๋เสว่เอ๋อร์บังเอิญเห็นเข้าตอนที่เดินผ่าน ดังนั้นเธอจึงรู้ดีว่ามันอยู่ตรงไหน
ไฟในห้องทำงานยังสว่าง เห็นได้ชัดว่าภายในมีคนอยู่ ไป๋เสว่เอ๋อร์สาวเท้าไปข้างหน้ายังทางเข้า เอื้อมมือเคาะประตูเบา ๆ หลังจากได้ยินเสียงตอบรับด้านในแล้วจึงผลักประตูเข้าไป
เผยอี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ถือแก้ววิสกี้ มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์
เขาได้ยินเสียงประตูเปิด หมุนเก้าอี้มา เมื่อเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ตรงประตู สีหน้าก็เย็นเยียบลง “ฉันรอเธอตั้ง 20 นาที” ไป๋เสว่เอ๋อร์จงใจเปิดประตูค้างไว้ เธอก้าวเท้ามาข้างหน้า ราวกับไม่ได้ยินคำพูดใด ๆ ของเผยอี้ “เผยอี้ ช่วยลบคลิปวิดีโอทิ้งด้วย”
เผยอี้เหลือบตามองสีหน้าเคร่งขรึมของไป๋เสว่เอ๋อร์ มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไป๋เสว่เอ๋อร์ จะขอร้องใครก็ต้องมีท่าทางในการขอ เธอคิดว่าทำหน้าตาแบบนี้แล้วฉันจะยอมลบออกหรือไง? ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลอบกำหมัดแน่น “เผยอี้ นายต้องการอะไรกันแน่?” เธอกับเผยอี้แค่เคยมีความสัมพันธ์ที่จบไม่สวยนักอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นจะต้องฉุดรั้งต่างฝ่ายให้ลำบากใจ แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไปสักที…
เผยอี้เขย่าแก้ววิสกี้ไปมา จิบลงคออึกหนึ่ง แล้วเงยหน้ามอง “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ยิ้มให้ฉันสักครั้งสิ”
ยิ้มให้เขา? เขาเห็นเธอเป็นอะไรกัน!
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น หมุนตัวสาวเท้า ก้าวเดินตรงออกไป
ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว แต่ก็ยังไม่ต่ำต้อยถึงขั้นต้องแย้มยิ้มเพื่อขอความเห็นใจจากใครต่อใคร!
“ไป๋เสว่เอ๋อร์!” เผยอี้กระแทกแก้ววิสกี้ลง ผุดลุกขึ้น “ถ้าเธอกล้าก้าวเท้าออกไปจากห้องนี้้แม้เพียงครึ่งก้าว ฉันจะส่งคลิปวิดีโอให้กับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ไห่เฉิง ให้พรุ่งนี้มีพาดหัวข่าวว่า “นางฟ้าตกสวรรค์ไป๋เสว่เอ๋อร์ลดตัวก้มหัวขออภัย!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หยุดฝีเท้าอย่างแรง เธอหันหน้ากลับไป สองตาแดงก่ำ “เผยอี้ นายคิดจะทำอะไรกันแน่ คิดว่าทุกวันนี้ฉันยังตกต่ำไม่พออีกเหรอ!”
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เคยเป็นคนรักเก่าของเธอ เธอนึกว่าเขาจะพิเศษกว่าใคร จะเข้าใจเธอบ้างสักหน่อย แต่ไม่นึกเลยว่าเขากลับชิงชังเธอยิ่งกว่าคนอื่น ๆ!
เผยอี้มองไป๋เสว่เอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า พลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมา “เพียงแค่เธอลาออกจากเผยซื่อ ไปจากเผยลี่เชิน ฉันจะลบคลิปนี้ทันที”
“ไม่มีทาง!” ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดโพล่งออกมาโดยไม่คิดซ้ำสอง
ความสัมพันธ์ของเธอกับเผยลี่เชินใช่ว่าเมื่อออกจากเผยซื่อแล้วจะสามารถตัดได้เด็ดขาด นับตั้งแต่วันนั้นที่เธอมอบตัวเองให้กับเขา เธอก็ตัดจากเผยลี่เชินไม่ขาดแล้ว
ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เธอยังคาดหวังว่าเผยลี่เชินจะช่วยเหลือเธอเรื่องพ่อ…ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ไม่ได้ย่ำแย่กว่าที่เป็น ก็เพราะเผยลี่เชิน
เผยอี้โกรธจัด พลันส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอไม่รู้จักเผยลี่เชินเลยสักนิด! หากอยู่กับเขา สักวันหนึ่งจะต้องบอบช้ำทั้งตัวและหัวใจ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มเย็น “บอบช้ำทั้งตัวและหัวใจ? อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ปกป้องฉันได้ทุกเรื่อง ต่อให้ต้องบอบช้ำทั้งตัวและหัวใจฉันก็ยอม!” เธอก้าวไปข้างหน้า แววตาจ้องตรงยังเผยอี้ พูดชัดถ้อยชัดคำ “เผยอี้ ฉันไม่รู้ว่านายมีเป้าหมายอะไร แต่ข้อเรียกร้องนี้ ฉันตอบรับไม่ได้ หากนายยืนยันจะเผยแพร่คลิปออกไปล่ะก็ ฉันคงรั้งไว้ไม่อยู่! แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันกับนายคือคนแปลกหน้า อย่าได้ติดต่อกันอีกเลย!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดจบ ก็สาวเท้าตรงดิ่งออกจากห้องทำงาน
เผยอี้ได้ยินคำว่า “คนแปลกหน้า” สามคำ รู้สึกหัวใจบีบคั้นอย่างรุนแรง ความอึดอัดขุ่นข้องถาโถมเข้ามาใส่ เขาสาวเท้าตามไปโดยไม่ฟังเสียง
ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งจะเดินเข้าไปในลิฟท์ กดปุ่ม ทันใดเผยอี้ก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว อ้าแขนขวางประตูลิฟท์ที่กำลังจะปิด
ประตูลิฟท์กระตุกเปิดออกทันควัน เผยอี้ก้าวเท้าเข้ามาภายในลิฟท์ จ้องมองไป๋เสว่เอ๋อร์ ข่มกลั้นความขุ่นเคืองในใจเอาไว้ “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันจะลบคลิปก็ได้!”
เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากชุดสูท เปิดอัลบั้มรูปเพื่อหาคลิปวิดีโอนั้น แล้วลบมันต่อหน้าไป๋เสว่เอ๋อร์ เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นการกระทำทั้งหมดของเขา ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก
วินาทีต่อมา เผยอี้พลันเคลื่อนที่มาด้านหน้า ตรงเข้าใกล้เธอ “แต่วันนี้เธอต้องไปกินข้าวกับฉัน!”