ตอนที่ 82 ร่างกายอันซื่อสัตย์
เผยลี่เชินออกมาจากห้องทำงาน เขาเดินกลับไปที่ห้องรับแขก เห็นไป๋เสว่เอ๋อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาคนเดียว
เมื่อไป๋เสว่เอ๋อได้ยินเสียงฝีเท้า หล่อนรีบลุกขึ้น เดินตรงไปที่เผยลี่เชิน หล่อนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้น
ไป๋เสว่เอ๋อลองเอ่ยปากถามเขา “เป็นอะไรรึเปล่าคะ? คุณท่านเผยว่าอะไรคุณรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไร แค่มอบหมายงานนิดหน่อย” เผยลี่เชินเบี่ยงสายตาเล็กน้อย พูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
“โอเคค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อตอบ พร้อมเดินตามฝีก้าวของเขาไป
เพิ่งขึ้นไปนั่งในรถ ยังไม่ทันได้ขยับตัว เผยลี่เชินก็มองมาที่ไป๋เสว่เอ๋อ พร้อมพูดขึ้น “คืนนี้ไปบ้านผมที่นั่นหรือกลับบ้านคุณดีครับ?”
ไป๋เสว่เอ๋อตะลึง ครุ่นคิดไปมา “ไปบ้านเขาที่นั่น” มันหมายความว่ายังไงกันนะ น้ำเสียงของเขาทำให้หล่อนรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก สถานการณ์คลุมเครือเช่นนี้ ผ่านไปครู่เดียว หน้าของหล่อนก็ร้อนฉ่าขึ้นมา
หล่อนรู้สึกเขินอาย มองไปที่เผยลี่เชิน หลังจากสบตามองไปที่สายตาอันอ่อนโยนคู่นั้นของเขา หล่อนก็รีบเบี่ยงสายตาออก สูดหายใจเข้าลึก ลังเลอยู่พักหนึ่ง ยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ได้ยินเสียงผู้ชายด้านข้างเอ่ยปากบอกคนขับรถ
“กลับบ้าน”
ไป๋เสว่เอ๋อตกใจตะลึง เหม่ออยู่สักพัก หล่อนยังไม่ได้ตัดสินใจไม่ใช้เหรอ? ทำไมถึง…..
เมื่อหล่อนได้สติ ยื่นมือตรงไปหาเขาทันที จับชายเสื้อของเผยลี่เชินไว้ “ไม่ค่ะ ฉันกลับบ้าน….”
เผยลี่เชินหันหน้ากลับมา มองไปที่ใบหน้าแดงก่ำของไป๋เสว่เอ๋อ เผยอปากขึ้น สายตาเย้าหยอก “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปกับผม?”
เสียงของเขาทุ้มหนา ผสมกับเสน่ห์ที่พูดไม่ชัด ไป๋เสว่เอ๋อสบตากับเขา นัยน์ตาคู่นั้นของเขาเปรียบเสมือนคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ทำให้หล่อนตกอยู่ในภวังค์โดยปริยาย
มองดูหญิงสาวที่นั่งเหม่อลอย สายตาของเผยลี่เชินสดใสยิ้มแย้มลึกซึ้งขึ้นอีก เขากำลังจะพูดขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อกลับรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน รีบก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย แต่ใครจะไปรู้ พวกเขาทั้งสองห่างกันเพียงนิดเดียว หล่อนแค่ก้มหน้าก็ไปชนกับหน้าอกของฝ่ายชายทันที หล่อนรีบเงยหน้าขึ้นจะเขยิบห่างออกมา แต่วินาทีถัดมา กลับมีแขนล่ำเปี่ยมด้วยพลังจับไหล่ของหล่อนไว้ พร้อมพูดด้วยถ้อยคำหยอกล้อ “ปากบอกไม่เอา แต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างซื้อสัตย์ใช่รึเปล่านะ?”
หลอกถามอย่างชัดเจนแบบนี้ ทำให้ไป๋เสว่เอ๋อรู้สึกอายจนทำตัวไม่ถูกขึ้นไปอีก หล่อนรีบเงยหน้าอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
เผยลี่เชินหัวเราะ ถามอย่างไม่เร่งรัด “งั้นคุณหมายความว่ายังไงล่ะ?”
“ฉัน…” ไป๋เสว่เอ๋อปิดปากเงียบ พูดอะไม่ออก
หล่อนหมายความว่ายังไงกันนะ? หล่อนก็หมายความตามปกตินี่! แต่ถ้าหล่อนพูดอธิบายไป กลับรู้สึกเหมือนคนที่ปกปิดความจริง..
เผยลี่เชินเก็บอารมณ์ที่เห็นฝ่ายหญิงเขินอาย เขาค่อยๆผ่อนแรงปล่อยหล่อนออก เงยหน้ามองไปที่คนขับรถ พูดขึ้น “ไปส่งหล่อนกลับบ้านก่อน”
“ครับผม”
ไป๋เสว่เอ๋อถอนหายใจ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาพุ่งชน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หล่อนเพิ่งจะได้สติกลับมา ก่อนหน้านี้เผยลี่เชินกำลังแกล้งหล่อนอยู่งั้นเหรอ?
ผ่านไปไม่นาน รถมาเทียบจอดที่หน้าบ้านของตระกูลไป๋ รถจอดสนิท ไป๋เสว่เอ๋อยื่นมือออกมา กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ จู่ๆก็หยุดชะงักไป หันหลังกลับมามองเผยลี่เชิน
เผยลี่เชินมองกลับมาที่หญิงสาวเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป ยักคิ้วถามขึ้น “เป็นอะไรรึเปล่า?”
ไป๋เสว่เอ๋อยิ้มมุมปาก หัวเราะ “ไม่มีอะไรค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
หล่อนพูดพลาง เอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถ เผยลี่เชินที่นั่งอยู่บนรถกลับตกตะลึงชะงักไป รอยยิ้มของสาวน้อยเมื่อครู่ช่างดูสดใส อดไม่ได้ที่จะบีบหัวใจของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกรถ มองดูเงาของผู้หญิง มุมปากของเขาก็เผยอขึ้นมา
……
เมื่อกลับถึงบ้าน ไป๋เสว่เอ๋อถอดรองเท้า เห็นแม่ไป๋เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว
“เสว่เอ๋อกลับมาแล้วเหรอ?”
ไป๋เสว่เอ๋อเกิดความสงสัยเล็กน้อย “แม่คะ ทำไมแม่ยังอยู่ในห้องครัวล่ะคะ? ยังไม่ทานข้าวเหรอ?”
นี่ก็ดึกแล้ว ผ่านเวลาอาหารเย็นมาก็นานมากแล้ว
“เปล่าจ้ะ โจ๊กที่ต้มไว้ตอนเย็นยังทานไม่หมด จะเททิ้งก็เสียดาย แม่เพิ่งเอาไปอุ่นร้อน”
ไป๋เสว่เอ๋อได้ยินแม่พูดดังนั้น ขมวดคิ้วชนกันแน่น รีบเดินตรงไปที่แม่ ยื่นมือออกไปจับมือแม่ไว้แน่น “แม่ ทำไมแม่ถึงทานโจ๊กทุกวันเลยคะ? ตั้งแต่ลูกไปทำงานต่างเมืองกลับมารู้สึกว่าแม่ผอมไปเยอะเลยนะคะ”
แม่ไป๋หัวเราะ “เปล่านะ ต้มโจ๊กสะดวกหน่อย อย่างอื่นแม่ก็ทำไม่เป็น”
ไป๋เสว่เอ๋อได้ยินแม่พูดแบบนี้ รู้สึกปวดใจขึ้นมา เมื่อก่อนตอนแม่อยู่ที่บ้านนิ้วมือทั้งสิบนิ้วไม่แม้แต่จะเปื้อนสิ่งสกปรกอะไร เรื่องทำกับข้าวหรืองานบ้านมีพ่อครัวและคนใช้คอยทำให้ตลอด แต่มาวันนี้เมื่อตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้น แม่กลับทำได้เพียงต้มโจ๊กอยู่ที่บ้าน….
ไป๋เสวเอ๋อทรมานใจจนบีบมือของแม่ไว้แน่น จากนั้นรีบพูดขึ้น “แม่ ลูกให้เงินแม่ไปแล้วหรอคะ? อีกอย่างเงินจากการขายเฟอร์นิเจอร์ก็อยู่ที่แม่ ทำไมแม่ถึงไม่เอามาใช้ล่ะ? แม้ว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้มีเงินทองมากมาย แต่กินให้อิ่มท้องเราก็ยังมีกำลังทรัพย์พอ แม่ทำกับข้าวไม่เป็นก็ไปซื้อข้างนอกได้ อย่าทรมานตัวเองเกินไปสิคะ….”
“ไม่เป็นไร!” แม่ไป๋โบกมือพร้อมถอนหายใจ “สถานการณ์บ้านเราเป็นแบบนี้ จะกล้าไปใช้จ่ายมั่วๆได้ยังไงกันล่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อกำลังอยากจะพูดปลอบ แม่ไป๋ก็จับมือหล่อนไว้แน่น “เสว่เอ๋อ ถ้าลูกไม่อยากเห็นแม่ทนทุกข์แบบนี้ อันที่จริงไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีแก้ปัญหานะ”
“วิธีอะไรคะ?”
“ก่อนหน้านี้ลูกกับเผยอี้เกือบจะถึงขั้นสู่ขอแต่งงานกันแล้ว ถ้าลูกกลับไปคืนดีกับเขาได้ ตระกูลเผยต้องช่วยเหลือพวกเราได้แน่นอน เสว่เอ๋อลูกคิดดูสิ ถ้าลูกสามารถคืนดีกับเผยอี้ได้…”
“แม่!” ไป๋เสว่เอ๋อหน้าถอดสีทันที เอ่ยปากพูดขัด “ลูกกับเผยอี้ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลไป๋เจอมรสุมปัญหาจนถึงทางตัน หล่อนยังตั้งความหวังกับเผยอี้ไว้มาก แต่หลังจากที่ถูกเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนั้น ประกอบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้หล่อนได้เห็นถึงตัวตนธาตุแท้ของเผยอี้อย่างลึกซึ้ง หล่อนไม่กลงเหลือความรู้สึกดีๆต่อเขาอีกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงให้กลับไปคืนดี ขนาดนั่งทานข้าวโต๊ะเดียวกันคงทานอย่างสงบสุขไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เสว่เอ๋อลูกคิดดู ถ้าลูกกลับไปคืนดีกับเขา ลูกก็จะไม่ต้องไปทำงานให้เหน็ดเหนื่อย แม่ก็จะไม่ต้องกินโจ๊กประทังชีวิตไปวันๆ…”
ไป๋เสว่เอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก พูดปลอบ “แม่ แม้ว่าตอนนี้ลูกจะทำงานลำบากทุกวันแต่มันก็เติมเต็มอะไรหลายๆอย่าง ลูกจะขยันทำงานเก็บเงิน ให้แม่ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายขึ้น แม่เชื่อลูกสักครั้งได้ไหมคะ?”
แม่ไป๋ถอนหายใจ “เสว่เอ๋อ แม่แค่ไม่อยากให้ลูกลำบากเกินไป…”
ไป๋เสว่เอ๋อหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่ ให้เวลาลูกหน่อยนะ ครอบครัวของพวกเราจะค่อยๆดีขึ้น ส่วนพ่อ พวกเรารอเขาออกมา บ้านที่มีกันสามคนก็จะกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
สายตาของแม่ไป๋ดูค่อนข้างสับสน สีหน้าดูเคร้งเครียดขึ้นมาทันใด “เสว่เอ๋อ ลูกยังเด็กเกินไป ไม่รู้หรอกว่าโลกใบนี้โหดร้ายขนาดไหน ตอนนี้เราไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพ่อได้อีก มีเพียงแค่เงินทองและยศอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้คนอื่นไม่กล้ารังแกพวกเรา ลูกรู้รึเปล่า?”
ไป๋เสว่เอ๋อได้ยินที่แม่พูด รู้สึกตกใจจนมองไปที่แม่ “แม่ อะไรคือไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพ่อได้อีก? ตอนนี้เขาอยู่ในคุก คงใช่ชีวิตไม่ต่างจากพวกเรามาก เวลานี้เราควรที่จะรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ร่วมทุกข์ร่วมลำบากกันไม่ใช่เหรอ? หรือลูกจะต้องหาคนที่มีทั้งเงินทองทั้งยศอำนาจมาเป็นที่พึ่งพิงถึงจะพอใจคะ!”
เสียงของแม่ไป๋สูงขึ้นเรื่อยๆ “แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ตอนนี้ตระกูลไป๋ประสบปัญหามากมาย เผชิญกับมรสุมชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ที่อยากจะเหยียบหัวเราซ้ำ หาคนที่พึ่งพาได้ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ถ้าลูกมัดใจเผยอี้ไว้ได้ ลูกคิดดูสิว่าจะมีใครหน้าไหนกล้ามาดูถูกเยาะเย้ยตระกูลไป๋ของเราได้?
ไป๋เสว่เอ๋อได้ฟังเช่นนั้น ปล่อยมือของแม่ออก เดินก้าวถอยหลัง จ้องมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นทุกที
หล่อนกัดปากแน่น สูดหายใจเข้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ลูกจะไม่มีวันกลับไปคืนดีกับเผยอี้เด็ดขาด!