ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกไป คนอื่น ๆ ด้านข้างพากันพยักหน้าอย่างรุนแรง
ต่างก็ใช้สายตาเฝ้ารออย่างแรงกล้ามองเยี่ยเม่ย คล้ายกับพวกเขาทุกคนเป็นห่วงและเสียใจในการหนีไปของจิ่วหุนมากกว่าเยี่ยเม่ย ทั้งคาดหวังว่าจิ่วหุนจะกลับมายิ่งกว่าเยี่ยเม่ยเสียอีก
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนเช่นนี้ มุมปากของเยี่ยเม่ยกระตุกอย่างแรง
นางปรายตามองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าพูดก็ถูก เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดเบื้องหน้า ไม่ใช่วิเคราะห์ว่าทำไมเขาถึงหนีออกจากบ้าน หรือว่าเขาจงใจก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผลหรือเปล่า แต่ข้าจะตามตัวเขากลับมาหรือไม่”
สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยมองคนทั้งหมด เอ่ยปากว่า “พวกเจ้ามีใครเห็นหรือเปล่าว่าจิ่วหุนจากไปทางไหน”
“ไม่มี” คนทั้งหมดส่ายหน้า
หากพวกเขาเห็นว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วหนีจากไปทางไหน ก็ไม่ต้องรอเยี่ยเม่ยเอ่ยปากถาม พวกเขาต้องชิงบอกออกไปอยู่แล้ว
ฝีมือของคุณชายเสี่ยวจิ่วดีเช่นนั้น คิดจะจากไปอย่างไร้ร่อยรอง ไม่ให้คนทั้งหมดสังเกตเห็นหาใช่เรื่องยากเย็น
คราวนี้ ในหน้าเยี่ยเม่ยเผยแววไม่น่ามอง
ไม่รู้ว่าหนีไปทางไหน แล้วจะไปหาที่ไหน
เซียวเยว่ชิงด้านข้างเอ่ยปาก “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านกับคุณชายเสี่ยวรู้จักกันมานานกว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าปกติเขาชอบไปที่ไหน”
“ไม่รู้” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า
คำตอบนี้เป็นความจริง นางไม่รู้จริง ๆ ว่ายามปกติแล้วจิ่วหุนชอบไปที่ไหน อีกทั้งตามความเป็นจริงเมื่อเทียบกับพวกเซียวเยว่ชิงแล้ว นางก็ไม่ได้รู้จักจิ่วหุนมากกว่ามากมายนัก ระยะเวลารู้จักกันก็มิได้นานเท่าไหร่ กอปรกับจิ่วหุนไม่ชอบพูดจา ดังนั้นนางเข้าใจเขาได้ไม่มาก
เมื่อฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของคนทั้งหมดในที่นี้ปรากฏความผิดหวังไม่น้อย
หากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งหาตัวยากแล้ว
เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากเตือน “เช่นนั้นแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่สู้เอาเช่นนี้ ข้าน้อยส่งคนออกไปตามหาก่อน ตามหาไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ เมื่อร่องรอยของคุณชายเสี่ยวจิ่วพบแล้ว ค่อยมารายงานท่านดีหรือไม่”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า นี่เป็นความคิดไม่เลว
เยี่ยเม่ยตอบเสียงเย็นชา “อย่างนั้นก็ดี ลำบากทุกคนแล้ว”
ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้แล้ว ไม่เช่นนั้นนางได้แต่ออกตามหาคนไปสุดหล้าฟ้าเขียวโดยไร้เป้าหมาย ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหาพบ
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรทำแล้ว ” เซียวเยว่ชิงอดไม่ไหวเอ่ยความจริง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าชายชาตรีอย่างพวกเขา ทำไมถึงได้ใจอ่อนถึงเพียงนี้ ช่วยเตี้ยนเซี่ยขุดหลุมพรางทำร้ายเสี่ยวจิ่ว ในใจรู้สึกติดค้าง เขาบอกตัวเอง ต้องเพราะเขาเสียดายคนเก่ง ทนดูนักรบอย่างจิ่วหุนออกจากชายแดนไปไม่ได้ ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เขาไม่อยากยอมรับว่า บุรุษอกสามศอกอย่างตนรู้สึกสงสารเห็นใจบุรุษผู้หนึ่ง จะถูกคนเข้าใจผิดได้ง่าย หากเขาไม่ระวังอาจกลายเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[1]
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่งด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเพราอะไร มักรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้กระตือรือร้นกับการหายตัวไปของเสี่ยวจริงเกินกว่าเหตุ
คนทั้งหมดเห็นสายตาระแวงของเยี่ยเม่ย ก็วางแผนถอยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่มีใครกล้าจ้องตากับหญิงสาว กวาดสายตาสอดส่องไปทั่ว
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “เจ้าน่าจะเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ รอพบร่องรอยเสี่ยวจิ่ว ข้าจะไปรายงานเจ้าก่อน”
“ดี” เยี่ยเม่ยง่วงนอนแล้ว นางยังไม่ได้หลับสบายๆ เลย
หลังจากตอบรับ เยี่ยเม่ยก็หาว
นางหมุนกายเดินกลับไปทางกำแพงเมือง หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หันกลับมองทุกคน“จริงสิ พวกเจ้าลองหาตามถ้ำบนเขาดู บางทีเขาอาจแอบอยู่ในถ้ำ”
นางพลันคิดอะไรขึ้นได้ ก่อนหน้านี้จิ่วหุนเคยบอกว่า เขามีเงินมากมายฝังไว้ใต้ดินในถ้ำ
พิสูจน์ได้ว่าเขาต้องไปถ้ำอยู่บ่อย ๆ จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่น่าออกตามหา
เซียวเยว่ชิงพยักหน้าทันที “ได้ ข้าจะส่งคนไปค้นถ้ำเดี๋ยวนี้ ”
“อืม ” เยี่ยเม่ยค่อยวางใจลงบ้าง มุ่งตรงกลับห้องตัวเอง
……
ในวังหลวง
ยามที่เป่ยเฉินเสียงเดินเข้าห้องฮองเฮา พระนางก็วิ่งออกมาอย่างร้อนรน ทันทีที่เห็นสภาพของเป่ยเฉินเสียง รวมถึงบาดแผลบนใบหน้า ยามนั้นรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ น้ำตาไหลรินออกมา
เป่ยเฉินเสียงเห็นฮองเฮาอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ รีบปลอบ “เสด็จแม่อย่าทำเช่นนี้ ลูกไม่เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรหรือ เจ้าดูสภาพเจ้าในยามนี้ เรียกว่าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเจ้าเดียรัจฉาน เขาไม่เห็นเจ้าเป็นพี่ชายเลยสักนิดเดียว” ฮองเฮาพูดไปก็เอาผ้าเช็ดหน้าซับหน้าเป่ยเฉินเสียงด้วยความเจ็บปวด
เป่ยเฉินเสียงฟัง สีหน้าปรากฎแววเย้ยหยัน “เขาจะเห็นข้าเป็นพี่ชายได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านมา เขาหาได้เห็นท่านและเสด็จพ่อ เป็นท่านพ่อท่านแม่เลยด้วยซ้ำ”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮาก็สงบนิ่งลงทันที
ความจริงเป็นเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นว่าญาติมิตรครอบครัวไร้ตัวตน ตัวนางที่เป็นแม่ ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่เคยได้รับความเคารพเลยสักน้อย กลับมีแต่เจ้าเดียรัจฉานที่เอาแต่พูดออกมาจากปากตัวเองว่าเขากตัญญู
เป่ยเฉินเสียงเอ่ยจบ ก็ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อไปอีก กล่าวตรง ๆ กับฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกมาก็เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”
สีหน้าของฮองเฮาปรากฏความเย้ยหยันตัวเอง “มาปรึกษากับข้ามีประโยชน์อะไร วันนี้เรื่องที่ซือถูเฟิงถูกเนรเทศ เจ้าก็น่าจะรู้แล้ว เสด็จแม่ของเจ้าร้องไห้ขอร้องก็เทียบกับคำพูดประโยคเดียวของเสินเซ่อเทียนไม่ได้ ต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพ่อเจ้า ฐานะฮองเฮาของข้าเกรงว่าจะไม่มั่นคงแล้ว”
“เสด็จแม่ อย่าได้เอ่ยคำพูดเหลวไหลเช่นนี้” เป่ยเฉินเสียงเตือนฮองเฮา
ยามเมื่อฮองเฮาได้สติกลับมา ก็รู้ว่าคำพูดของตนเมื่อครู่เอ่ยแรงเกินไปแล้ว หากเผยแพร่ออกไป เกรงว่าพรุ่งนี้ตนคงถูกส่งไปตำหนักเย็น
ยามนี้นางไม่พูดมากอีกแล้ว เพียงมองเป่ยเฉินเสียง “เจ้าอยากพูดอะไร เจ้าพูดมา เจ้าก็รู้ว่า ขอเพียงเสด็จแม่ช่วยเจ้า เสด็จแม่ก็จะช่วยอย่างเต็มความสามารถ”
“ลูกอยากแต่งสตรีนางหนึ่ง” เป่ยเฉินเสียงพูดไปพลางประสานมือคารวะฮองเฮา
ฮองเฮาชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าว่าอะไรนะ”
เป่ยเฉินเสียงทวนอีกครั้ง “ลูกอยากแต่งงานกับสตรีนางหนึ่ง หวังว่าเสด็จแม่จะช่วยให้สมปรารถนา”
ฮองเฮาเลิกคิ้วสูง น้ำเสียงไม่ยินดี “เสียงเอ๋อ เจ้าต้องเข้าใจว่าเจ้ายังมีพระชายาที่ยังไม่ได้แต่งเข้านางหนึ่ง นี่เป็นงานแต่งงานที่ปีนั้นข้าให้เสด็จพ่อของเจ้าพระราชทาน ไม่อาจถอนได้ อีกอย่างจงรั่วปิงมีชื่อเสียง ในมือของบิดานางคุมทหาร หากถอนหมั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
“ลูกเข้าใจ ดังนั้นลูกคิดจะแต่งสตรีนางนั้นเป็นพระชายารองเท่านั้น” เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากตอบฮองเฮาอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของฮองเฮาค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “อย่างนั้นก็ดี หากเป็นเช่นนี้ เจ้ารอต้นปีหน้า หลังจากจงรั่วปิงแต่งเข้ามาแล้ว ค่อยรับชายารอง จริงสิ คนที่เจ้าเอ่ยถึงคือสตรีบ้านไหน”
“ไม่ เสด็จแม่ เรื่องนี้ไม่อาจรอได้แม้แต่วันเดียว” เป่ยเฉินเสียงปฏิเสธเสียงดัง
[1] ชายรักชาย