ตอนที่ 97 การขอบคุณอย่างจริงใจ
วันต่อมา ไป๋เสว่เอ๋อร์นำเอกสารสำคัญจำนวนหนึ่งไปส่งยังแต่ละแผนก เมื่อเธอไปส่งเอกสารจนครบแล้วนั้น เธอก็ได้ยินข่าวซุบซิบมากมายบางอย่างเข้า
ข่าวลือในครั้งนี้ ไม่ได้มีเนื้อหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเธอ ทว่ามันกลับเกี่ยวข้องกับจินจิงจิง ได้ยินมาว่าเช้าตรู่วันหนึ่ง มีรถตู้ 2 คันจอดอยู่ที่ด้านล่างของตึกบริษัท บรรดาคนที่มาทำงานเช้าวันนั้นจำนวนหนึ่งเห็นจินจิงจิงขึ้นไปยังด้านบนตึกใหญ่ของบริษัท คนพวกนั้นได้ถ่ายรูปจำนวนมากและโพสต์เข้าไปในกลุ่มของที่ทำงาน
ความสัมพันธ์ระหว่างจินจิงจิงกับเผยอี้นั้น มีคนที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่ไม่กี่คน แต่เมื่อคนในบริษัทเห็นตอนที่เธอไปหาเผยอี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมามากนัก ทุกคนเลยได้แต่ซุบซิบนินทากันเป็นการส่วนตัว
ภายในสำนักงานรองประธานกรรมการบริษัท เผยอี้มีสีหน้าที่เข้มเล็กน้อย เขามองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟา และแทบจะไม่สามารถระงับความโกรธที่ปะทุขึ้นภายในตัวเขาไว้ได้ “ครั้งก่อนผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ไม่ต้องมาที่บริษัทอีก คุณทำเป็นหูทวนลมหรือไง”
จินจิงจิงนำกระเป๋าของเธอวางไว้ที่ข้างตัว เธอถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ทำจากขนสัตว์ออก เผยให้เห็นถึงเสื้อสายเดี่ยวตัวจิ๋วอันแสนบางที่ซ่อนอยู่ด้านใน แว่นตาของเธอนั้นดูคล้ายกับหยดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง “คุณชายอี้ อย่าโกรธไปสิคะ ที่ฉันมาในครั้งนี้ก็เพราะฉันมีธุระสำคัญค่ะ”
“ธุระสำคัญเหรอ” เผยอี้ตอบอย่างโกรธจัด “นอกจากจะมาที่สำนักงานของผมแล้ว แถมคุณยังมาถอดเสื้อผ้าออกแบบนี้อีก นี่เรียกว่าธุระสำคัญเหรอ”
เขายกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง และไม่อยากมองหน้าเธออีก
“ไม่ใช่ค่ะ คุณฟังฉันพูดก่อนสิคะ คุณจำผู้กำกับเฉิน คนที่เราเจอตอนไปทานข้าวด้วยกันเมื่อครั้งก่อนได้ไหมคะ”
จินจิงจิงเดินเข้าใกล้ พร้อมกับเอื้อมมือของเธอมาจับมือข้างหนึ่งของเผยอี้ “เมื่อสองวันก่อน เขาเรียกให้ฉันออกไปพบเขา เขาบอกว่าเขาวางแผนที่จะสร้างภาพยนตร์รักโรแมนติก และอยากให้ฉันเล่นบทนางเอกด้วย แต่ว่าตอนนี้เงินทุนแรกเริ่มสำหรับสร้างภาพยนตร์นั้นยังไม่เพียงพอ…”
เมื่อเผยอี้ได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าเธอต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาเอื้อมมือออกไปดึงมือของเธอไปวางไว้อีกฝั่งหนึ่ง “เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้คุณมาหาผมเพื่อลงทุนกับผมอย่างนั้นสินะ”
การที่จินจิงจิงมีวันนี้ได้นั้น เพราะเผยอี้คอยสนับสนุนเธออยู่เบื้องหลัง เขาให้ทั้งเงินทุนและทรัพยากรต่างๆ ทั้งหลายแก่เธอเป็นจำนวนมาก ลำพังตัวเธอนั้นไม่มีความสามารถอะไรมากนัก ทักษะการแสดงก็ไม่เอาไหน ทักษะในการสร้างสรรค์งานฝีมือเพื่อนำออกขายก็ไม่มี แม้ว่าเธอจะมีคนติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่มีโปรดิวเซอร์หรือผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงคนไหนเรียกใช้เธอสักคน อย่างมากก็รับเล่นหนังสั้นหรือถ่ายโฆษณา แม้ว่าจะได้รับค่าจ้างมาไม่น้อย แต่ชื่อเสียงในวงการบันเทิงของเธอนั้นกลับไม่โดดเด่นเอาเสียเลย
จินจิงจิงยังคงไม่ล้มเลิก เธอยังคงเข้ามาใกล้พร้อมกับโน้มน้าวเขา “คุณชายอี้คะ เมื่อไรก็ตามที่หนังเรื่องนี้สามารถถ่ายทำได้สำเร็จ มันจะต้องโด่งดังเป็นพลุแตกแน่นอนค่ะ ผู้กำกับเฉินวิเคราะห์ให้ฉันฟังเรียบร้อยแล้วค่ะ ครึ่งปีมานี้ไม่มีหนังเรื่องไหนที่โดดเด่นเลย ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะคะ”
“ครั้งก่อน เงินที่ผมลงทุนไปกับคุณยังไม่พออีกเหรอ คราวก่อนที่ผมจัดแจงให้คุณรับบทนางเอกในภาพยนตร์เรื่องนั้น นักแสดงประกอบทุกคนดังหมดทุกคน แต่คุณกลับไม่เห็นดังอย่างพวกเขาเลย แถมครั้งล่าสุดยังโดนคนทั้งโลกออนไลน์โหวตให้เป็นหนังยอดแย่แห่งปี คุณยังอยากจะให้มลงทุนอีกเหรอ”
สีหน้าของเผยอี้เย็นชามากขึ้น “ครั้งนี้เลิกคิดได้เลย คุณกลับไปเสียเถอะ”
“คุณชายอี้!” จินจิงจิงตะโกนด้วยน้ำเสียงต่อว่า จากนั้นเธอก็พูดด้วยเสียงอันเศร้าสร้อยว่า “คราวก่อน คุณเองก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังเรื่องนั้น ดาราตัวประกอบคนนั้นดังขึ้นมาได้ก็เพราะเธอมีเงินทุนปึกหนาหนุนหลังเธออยู่ต่างหาก ผู้กำกับคนนั้นก็น่าผิดหวัง หนังเรื่องนั้นทั้งหมดก็เลยออกมาไม่ได้เรื่องสักนิด”
เมื่อจินจิงจิงเห็นว่าสีหน้าของเผยอี้นั้นจริงจังและไม่ยอมพูดอะไร เธอจึงทำได้เพียงหยิบบทภาพยนตร์ออกมาจากกระเป๋า และส่งมันให้เผยอี้ “โอกาสในครั้งนี้ยากที่จะได้มานะคะ คุณลองคิดดูให้ดีๆ ครึ่งปีมานี้ไม่มีภาพยนตร์รักโรแมนติกที่สร้างจากวรรณกรรมออกมาเลย อีกอย่างผู้กำกับเฉินก็พูดแล้วด้วยว่า ครั้งนี้เขาจะทาบทามฉีซิงเหอให้มารับบทพระเอก ตอนนี้กำลังเจรจากับตัวแทนของเขาอยู่ คุณเองก็รู้ดีว่าหนังที่ฉีซิงเหอเล่นนั้นขายดีขนาดไหน”
เมื่อเผยอี้ได้ยินชื่อ “ฉีซิงเหอ” คำสามคำนี้ก็ทำให้คิ้วของเขาเลิกขึ้นได้ในทันที เขารู้ดีว่าสำหรับวงการบันทิงนั้น ทั้งรูปร่างหน้าตาและทักษะการแสดงคือเส้นวัดความนิยมของบรรดาดารานักแสดงทุกคน รายได้ของภาพยนตร์จากวรรณกรรมยุค 1970-1980 ที่ออกฉายเมื่อปีที่แล้วนั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
เขารับบทภาพยนตร์เล่มนั้นมาถือไว้ในมือ พร้อมกับเปิดอ่านดู เขาพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของภาพยนตร์แล้ว นักเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นก็เป็นที่รู้จักกันดี เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของผู้กำกับเฉินมาบ้าง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือพล็อตของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นไม่เลวทีเดียว
เมื่อจินจิงจิงเห็นว่าเผยอี้เริ่มสนใจในตัวภาพยนตร์แล้ว เธอก็รีบโน้มตัวเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราลองหาวันแล้วนัดผู้กำกับเฉินออกไปทานข้าวด้วยกันดีไหมคะ หรือไม่คุณก็ลองทำความเข้าใจตัวภาพยนตร์ไปก่อนก็ได้ค่ะ”
บริษัทเผยซื่อนั้นมีขนาดใหญ่มาก และยังมีทุนทรัพย์เพียบพร้อม บางครั้งพวกเขาก็นำเงินไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโทรทัศน์และภาพยนตร์ เงินปันผลที่ได้กลับมานั้นก็ดีทีเดียว 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ บริษัทไม่ได้นำเงินไปลงทุนกับธุรกิจไหนเลย บางทีหากนำเรื่องนี้ไปคุยกับเผยลี่เชิน อาจจะสำเร็จก็ได้
ถ้าหากการลงทุนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จล่ะก็ เขาจะสามารถไปเจอหน้าคุณปู่เผยและกู้หน้ากลับคืนมาได้เสียหน่อย
เผยอี้กำบทภาพยนตร์ที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น เขาไตร่ตรองสักครู่ และพูดขึ้นมาว่า “ดี คุณช่วยนัดผมกับผู้กำกับเฉินทานข้าวที” เมื่อจินจิงจิงได้ยินดังนั้น เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะติดต่อผู้กำกับเฉินเพื่อจัดการเรื่องนี้เองค่ะ”
เมื่อเขาส่งจินจิงจิงเสร็จเรียบร้อย เขาก็นำบทภาพยนตร์เล่มนั้นกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง เรื่องนี้จะให้เขาลงมือทำคนเดียวคงไม่ได้ ต้องอาศัยเผยลี่เชินร่วมด้วยถึงจะสำเร็จ
ขณะที่กำลังวุ่นกับงานตลอดช่วงเช้านั้น ทำให้ขาทั้ง 2 ข้างของไป๋เสว่เอ๋อร์เริ่มปวดขึ้นมาเล็กน้อย ตอนที่เธอนำกาแฟไปให้เผยลี่เชินนั้น ขาข้างหนึ่งของเธอเกิดสั้น และเกือบทำให้กาแฟที่อยู่ในมือตกลงที่พื้น
โชคดีที่ว่าเธอหูตาว่องไว เธอจึงสามารถจับแก้วกาแฟใบนั้นเอาไว้ได้ แต่ทว่าอากัปกิริยาอันเล็กน้อยนี้กลับถูกสายตาของเผยลี่เชินมองเห็นเข้าเสียได้
“เป็นอะไรไป” เผยลี่เชินเงยหน้าถามหญิงสาว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบปัดแบบขอไปที “เปล่าค่ะ เมื่อกี้ฉันเหม่อลอยไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“ตอนเดินยังเหม่อลอยได้เหรอ” เห็นได้ชัดว่าเผยลี่เชินไม่เชื่อ สีหน้าอันเรียบเย็นของเขาผุดขึ้นมาครู่หนึ่ง “ขาเจ็บขึ้นมาอีกแล้วใช่ไหมล่ะ”
“เปล่าค่ะ” เมื่อขาของเธอมีสะเก็ดแผลขึ้นมา ทำให้บริเวณบาดแผลมีส่วนที่แข็งปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาเดินนานๆ ก็จะมีส่วนที่ทำให้รู้สึกไม่สบายหรือคันอยู่บ้าง
เผยลี่เชินแค่มองก็ดูออกแล้วว่าหญิงสาวนั้นโกหก เขาจึงวางงานที่อยู่ในมือลงอย่างไม่มีสาเหตุ ลุกขึ้นยืนในทันที และพาหญิงสาวไปที่โซฟา
“ท่านประธาน…”
ภายในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกวิตกกังวล ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำนักงานประธานกรรมการบริษัทยุ่งที่สุด มักจะมีคนมารายงานผลการดำเนินการอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเกิดมีคนมาเห็นเข้าล่ะก็…
“นั่งลงสิ” เผยลี่เชินสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ เธอจึงได้แต่ทำตามที่เขาพูด เมื่อเธอนั่งลงบนโซฟา เผยลี่เชินก็นั่งลงที่บริเวณข้างตัวเธอ และจับขาข้างที่บาดเจ็บของเธอขึ้นมาในทันที และนำมาวางบนขาของเขาอย่างเบามือ
เขาพับขากางเกงของเธอขึ้นไปอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นบาดแผลที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลอยู่ “ผมขอดูหน่อยว่าตอนนี้แผลเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็แกะผ้าพันแผลออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นถึงสะเก็ดแผลขนาดยาว ซึ่งปรากฏอยู่บนผิวอันขาวบริสุทธิ์ของเธออย่างขัดกัน
เขาขมวดคิ้วแน่น และเริ่มพันผ้าพันแผลกลับคืนไปอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พับขากางเกงของเธอคืนเข้าที่เดิม พร้อมกับวางขาของเธอลงที่พื้น เขามองเธอด้วยสายตาที่ดุดันพร้อมกับพูดว่า “ไม่ต้องออกไปเดินมาก อย่าให้สะเก็ดแผลเปิด วันนี้ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเปลี่ยนผ้าพันแผลเอง”
“ค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
“คุณไม่ต้องส่งเอกสารที่เหลือแล้ว ผมจะให้สวี่เยว่หรูทำแทนเอง ช่วงบ่ายคุณก็รับโทรศัพท์ แล้วก็จัดการตารางการทำงานให้เรียบร้อยก็พอแล้ว”
เผยลี่เชินคิดอย่างละเอียดรอบคอบ เขามองไกลไปยังทุกรายละเอียดได้ทั้งหมด
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ และยิ้มให้กับเขา “ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เธอมักพูดขอบคุณเป็นประจำแบบนี้เสมอ แต่สายตาของเผยลี่เชินกลับมองหญิงสาวด้วยความลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “ไป๋เสว่เอ๋อร์ มีใครเคยบอกคุณไหมว่าเวลาขอบคุณน่ะ ต้องแสดงออกถึงความจริงใจด้วยสิ”
“ความจริงใจเหรอคะ” ต้องขอบคุณอย่างไรถึงจะแสดงออกถึงความจริงใจได้อย่างนั้นหรือ
เผยลี่เชินอมยิ้มที่มุมปากของเขาเล็กน้อย “ถ้าคุณไม่รู้ ผมจะสอนให้เอง”