ตอนนี้อย่าว่าแต่คนที่ลงมือกับเยี่ยเม่ย ต่อให้เป็นเหล่าทหารหน้าประตู ต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
กระบี่นี้เป็นการลอบทำร้าย ปฏิกิริยาตอบรับของแม่นางเยี่ยเม่ยถึงจะรวดเร็วมาก หนีบกระบี่ได้ทัน เช่นนี้ก็ช่างเถิด แต่ใช้แรงสองนิ้ว นางก็หักกระบี่ได้ เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ยินแม่ทัพหลี่เอ่ยว่า จากฝีมือติดตัวของแม่นางเยี่ยเม่ย…
ดูไม่ออกว่านางมีกำลังภายใน
หากไม่ใช่กำลังภายใน ไฉนถึงได้ร้ายกาจปานนี้
ในขณะที่พวกเขากำลังใคร่ครวญปัญหา ทั้งเป็นขณะที่คนลงมือกำลังแปลกใจกับปัญหานี้
นางมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากนั้นก้มหน้าลง มองกระบี่ที่หักอยู่บนพื้น สูดลมหายใจเข้าลึก สายตามองเยี่ยเม่ยฉายความเย็นเยียบ “เจ้าไม่มีกำลังภายในจริงๆ หรือ”
จากร่างของอีกฝ่าย นางไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของกำลังภายใน
แม้กระทั่งที่เมื่อครู่ฝ่ายตรงข้ามลงมือหักกระบี่ยาวของตน ก็ไร้ร่องรอยของกำลังภายใน นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อาจเข้าใจ ถึงกระบี่ตนจะไม่ใช่กระบี่เลื่องชื่อ แต่ก็เป็นกระบี่ชั้นดีเล่มหนึ่ง ต่อให้คิดใช้กำลังภายในหัก ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้
เมื่ออีกฝ่ายไม่รู้กำลังภายในเลยสักน้อย แล้วจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไร
เยี่ยเม่ยจ้องใบหน้าฝ่ายตรงข้าม แม่นางผู้นี้รูปโฉมไม่เลว ใบหน้ากลับเผยไอบีบคั้นคน ร่างแผ่ไอสังหาร เห็นได้ชัดว่าผู้มาเจตนาไม่ดี
สายตาของนางเย็นวาบ กวาดตามองเหล่าทหารด้านหลังของตน
เหล่าทหารทั้งหลายมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที รีบวิ่งเข้ามา ล้อมคนที่ซุ่มโจมตีเยี่ยเม่ยไว้
เยี่ยเม่ยกวาดตามองสตรีนางนั้น เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “แทนที่จะถกกันว่าข้ามีกำลังภายในหรือไม่ ไม่สู้ถามว่า เจ้าอยากตายหรือเปล่า”
“ฮ่า” สตรีนางนั้นไม่มองเหล่าทหารที่ห้อมล้อมตนสักน้อย มองมาที่เยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว “เจ้าคงไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่า อาศัยทหารเหล่านี้จะจับข้าได้หรอกกระมัง”
เยี่ยเม่ยจ้องนาง มือวางไว้ที่พัดข้างเอว เส้นเสียงเย็นเยียบ “เจ้าเชิญหนีได้เต็มที่ ข้าจะตีจนเจ้าถอยร่นไม่ได้อีกสักครึ่งก้าว หากระหว่างนี้เจ้าหนีออกจากวงล้อมทหารได้ นับว่าเจ้าชนะ”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของสตรีนางนั้นก็เขียวคล้ำ
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเม่ยกำลังหยามนาง
คำพูดนี้หมายความว่า ต่อให้ตัวนางดูแคลนกำลังของพวกทหาร แต่เยี่ยเม่ยบอกนางว่า ขอเพียงเยี่ยเม่ยลงมือ การล้อมของเหล่าทหารพวกนี้ ตัวนางไม่อาจหลบหนีออกไปได้
เมื่อนางยื่นมือออกมา ชักกระบี่อ่อนข้างเอวชี้ไปที่เยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พวกเราลองดู ข้าก็อยากรู้ว่า เจ้ามีความสามารถนี้จริง หรือมีแค่ความสามารถในการโอ้อวดเท่านั้น”
……
เรือนของเยี่ยเม่ย
จิ่วหุนตระเวนตามหาเยี่ยเม่ยไม่พบ ตัดสินใจกลับไปดูที่เรือนของนางว่านางกลับมาแล้วหรือยัง
หลังจากเขาเดินเข้ามา ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
ในขณะที่จะเดินออกไป หลินซูเหย่าพลันเดินเข้ามา
จิ่วหุนคล้ายกับมองไม่เห็นนาง ขณะที่กำลังเดินผ่านร่างหลินซูเหย่าไป บุตรสาวเจ้าเมืองรีบติดตามขึ้นมาอย่างร้อนรน เอ่ยปาก “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าตั้งใจมาหาท่าน ให้พวกสาวใช้คอยติดตามท่าน ไม่ง่ายเลยกว่าจะตามหาท่านพบ ท่านหยุดฟังข้าพูดก่อนได้หรือไม่”
นางเอ่ยออกจากใจจริง แต่จากไหวพริบของนักฆ่า
จิ่วหุนฟังออกเพียงแต่จุดสำคัญเท่านั้น เขาพลันหันหน้ากลับมองหลินซูเหย่า “ความหมายของเจ้าคือ เจ้าให้คนคอยตามข้าหรือ”
“ข้า…” หลินซูเหย่าพลันพูดไม่ออก และรู้ว่าประโยคนี้ของตน เกรงว่าจะเอ่ยออกไปไม่ถูกต้องแล้ว
นางรีบส่ายหัวโดยไว เอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้ามีเรื่องถึงตามหาท่าน ดังนั้นจึงให้พวกบ่าวไพร่ช่วยตามหา ข้าหาได้มีเจตนาร้าย ขอให้ท่านอย่าได้ระแวงป้องกันข้าเช่นนี้”
หลินซูเหย่าเอ่ยเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจ
นางชอบจิ่วหุนจริงๆ เป็นรักแรกพบ ดังนั้นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่ายที่มีต่อนาง ถึงกระทั่งคิดว่าเป็นศัตรู ในใจของนางรู้สึกยากเกินจะรับไหว
จิ่วหุนอยู่ในอารมณ์ไม่ดีนัก
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็คร้านจะใส่ใจ เพียงกดเสียงต่ำเตือนว่า “อย่าเข้าใกล้ข้า”
พูดจบแล้ว จิ่วหุนก็หมุนกายจากไป
หลินซูเหย่าเงยหน้า มองแผ่นหลังของเขา กลับเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำอะไร ท่านกำลังตามหาเยี่ยเม่ยใช่หรือไม่”
ชื่อเยี่ยเม่ยคล้ายกับคำสาปแช่งกระทบใจจิ่วหุน
เดิมจิ่วหุนที่ตัดสินใจเดินจากไป พลันชะงักฝีเท้า
ดูจากการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม หลินซูเหย่ารู้ว่าตนเดาถูก ในเวลานี้นางไม่รู้ว่าสมควรดีใจที่ตนเองคาดเดาถูกดี หรือว่าเสียใจที่เขากำลังหาเยี่ยเม่ยอยู่จริงๆ
แต่นางเข้าใจดี จิ่วหุนหาได้มีความอดทนกับนางมากนัก ดังนั้นยามนี้หลินซูเหย่าไม่ทันมีเวลาสงสารตัวเอง
นางสาวเท้าก้าวมาเบื้องหน้าจิ่วหุน จ้องใบหน้าเขา เอ่ยปากว่า “ท่านตามหานางอยู่จริง ๆ ใช่หรือไม่ ท่านอยากรู้ไหมว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหน”
สิ้นเสียงหลินซูเหย่า
คมมีดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่ทันรู้ตัว มีดก็จ่ออยู่ที่คอนางแล้ว
ยามนี้หลินซูเหย่าสูดลมหายใจลึก ตัวสั่นมองมีดสั้นจ่อค้ำคออยู่ นางกลอกตาจวนเจียนจะตกใจจนสลบไป สองขาเริ่มสั่นเทิ้ม
นางเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงมาในห้องหอ ชั่วชีวิตไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกคนเอามีดจ่อคอข่มขู่
“ท่าน…ข้า…” หลินซูเหย่าตกใจจนไร้เสียง
ในช่วงเวลาที่นางตกใจ เสียงต่ำของจิ่วหุน ค่อยๆ ดังขึ้น “บอกมา ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”
ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจิ่วหุนกำลังสงสัยว่า การหายตัวไปอย่างชั่วคราวของเยี่ยเม่ย ความจริงแล้วเกี่ยวพันกับสตรีเบื้องหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่า อาศัยความสามารถของเยี่ยเม่ยไม่มีทางถูกจับได้ง่ายๆ ดังนั้นยามนี้เขาแค่ขมขู่ มีดในมือไม่ได้ทำร้ายหลินซูเหย่าจริง ๆ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็มากพอให้หลินซูเหย่าหวาดกลัว
นางถึงขั้นสงสัยว่า ตัวเองไม่เข้าใจบุรุษผู้นี้เลยสักน้อย กลับพุ่งเข้าหาเขาเพราะความสนใจ เรื่องนี้ท้ายที่สุดแล้วถูกต้องหรือไม่ สำหรับตัวเองแล้วจะไม่ปลอดภัยหรือเปล่า
แต่เมื่อเห็นใบหน้าจิ่วหุนใกล้ ๆ นางพลันเกิดความกล้าหาญอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ยินยอมถอดใจง่าย ๆ
หลินซูเหย่าเอ่ยเสียงสั่น “ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ นางหายไปไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าแค่รู้ร่องรอยของนางเท่านั้น”
เมื่อหลินซูเหย่าเอ่ยออกมา ไอสังหารบนร่างจิ่วหุนยังไม่สูญสลาย มีดยังคงจ่อที่คอนาง ไม่มีแววว่าจะเอาออกไป
ยามนี้หลินซูเหย่าไม่กล้าเสียเวลาอีก รีบเอ่ยเป้าหมายของตัวเองออกมา “ข้าได้ฟังว่า วันนี้ท่านประมือกับ องค์ชายสี่ แพ้แล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ นางพบว่าไอสังหารของจิ่วหุนรุนแรงขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำหรับจิ่วหุนแล้ว หาได้เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตา เขาย่อมไม่ยินยอมฟังผู้อื่นเอ่ยถึง
ฝ่ายหลินซูเหย่ารีบเอ่ยปากอีกครั้ง ก่อนที่จิ่วหุนจะบันดาลโทสะ “แต่ท่านรู้หรือไม่ ท่านแพ้แล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้นหาได้มาดูแลท่าน นางไปหาองค์ชายสี่แล้ว คาดว่าคงกลัวว่าองค์ชายสี่ประมือกับท่านแล้วได้รับบาดเจ็บ”
นางเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าจิ่วหุนพลันนิ่งไป
เรียวคิ้วขมวดแน่น
หรือที่เขาตามหาเยี่ยเม่ยไม่พบ ที่ไหนก็ไม่เจอนาง หากบอกว่านางไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว คนอื่นไม่กล้าเป็นฝ่ายบอกเขา ก็ยังถือว่ามีเหตุผล
จิ่วหุนวางมีดสั้นที่คอหลินซูเหย่าลง ไม่พูดอะไรกับนางก็หมุนกายจากไป
หลินซูเหย่ามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม รีบติดตามไป ยื่นปอยผมดำขลับกลุ่มหนึ่งให้จิ่วหุน “นี่คือปอยผมที่ขาดตอนท่านประมือกับองค์ชายสี่ ข้าสั่งให้คนหากลับมา เก็บรักษาไว้อย่างระวัง”
นางเอ่ย สายตาที่มองจิ่วหุนตื่นเต้น อีกทั้งเผยอารมณ์ขัดเขินออกมา
จิ่วหุนมองปอยผม ทว่าไม่เอ่ยวาจา จากสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา มองความรู้สึกใดๆ ไม่ออก ที่มั่นใจคือ สายตาของเขาไม่มีแววซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อยนิด
หลินซูเหย่าเข้าใจดี ความจริงการกระทำของตนหาได้ฉลาดนัก นางเอาปอยผมกลุ่มหนึ่งมา ก็เพื่อเตือนจิ่วหุนว่าเขาสู้แพ้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่า นางจงใจท้าทายศักดิ์ศรีของบุรุษตรงหน้า
แต่เพื่อบรรลุเป้าหมาย หลินซูเหย่าไม่ใส่ใจมากความ เอ่ยต่อ “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าจริงใจต่อท่าน มิเช่นนั้นข้าคงไม่นำปอยผมกลับมา ทั้งยังเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ส่วนแม่นางเยี่ยเม่ยในใจท่านผู้นั้น เห็นได้ชัดเจนว่าในใจนางมีแต่องค์ชายสี่ มิเช่นนั้นนางคงมาเยี่ยมท่านที่ต้องการความห่วงใย แทนที่จะไปหาองค์ชายสี่ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านยังครุ่นคิดคะนึงถึงนางไม่เสื่อมคลายอีกหรือ”
หลินซูเหย่าเอ่ยไป ใบหน้าแดงเรื่อ อย่างไรคำพูดเหล่านี้ นางเป็นสตรีผู้หนึ่งเอ่ยออกมาก็บุ่มบ่ามไปหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำพูดนี้เอ่ยกับบุรุษในดวงใจ
พูดจบนางมองหน้าจิ่วหุน รอคำตอบจากอีกฝ่าย