บทที่ 143 สภาพที่ไม่ปลอดภัย
“พี่เยว่หรู คิดไม่ถึงว่าเลขาไป๋กับประธานเผยจะ……”
ผู้ช่วยฝึกหัดคนหนึ่งเห็นสวี่เยว่หรูนิ่งไปพักใหญ่ จึงหันไปสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ
หลังจากสติกลับคืนมา สวี่เยว่หรูจึงกระแอมสองสามทีแล้วพูดด้วยเสียงประหลาดใจ “ฉันเองก็คาดไม่ถึง เมื่อก่อนแค่คิดว่าประธานเผยห่วยใยเลขาไป๋ แต่คิดไม่ถึง……”
ผู้ช่วยฝึกหัดได้ยินแบบนี้ก็ได้แต่มองหน้ากันและกัน
สวี่เยว่หรูจงใจพูดเตือนสติ “พวกเราพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยค อย่าได้ไปเที่ยวโพนทะนาให้คนอื่นได้ยินเชียว”
“เรื่องนั้นพวกเรารู้แล้วคะ ไม่ไปพูดซี้ซั้วที่ไหนแน่!”
“ใช่ๆๆ ! พวกเราไม่พูดหรอกคะ พี่เยว่หรูวางใจได้”
สวี่เยว่หรูยิ้มให้พวกเธอ แล้วก็หาเหตุให้พวกเธอต้องแยกย้ายกันไป
เห็นพวกเธอไปแล้ว รอยยิ้มเมื่อสักครู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา จนในที่สุดก็เหลือเพียงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
เธอเข้าใจพวกผู้ช่วยฝึกหัดดี หากปล่อยให้พวกเธอรู้โน่นรู้นี่ ไม่เกินสามวันเรื่องที่เห็นคงแพร่สะพัดไปทั่ว มีผู้ช่วยฝึกหัดพวกนี้ เธอไม่ควรพูดคุยเรื่องส่วนตัว
ในออฟฟิศของประธานเผย ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งบนโซฟา ถูกเผยลี่เชินจับมือไว้ไปไหนไม่ได้
“ยังไม่พูดอีก?” เผยลี่เชินขมวดคิ้วเข้ม เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีอารมณ์โกรธ
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจเข้าลึกๆ พยายามหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
ถ้าหากเธอพูดความจริงออกไปว่า จินจิงจิงเป็นคนทำ แน่นอนว่าเผยลี่เชินต้องไม่พอใจเผยอี้ เดิมทีความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่แล้ว วันนี้ยังมีเรื่องออเดอร์ของบริษัทหลั่งอี้ ซึ่งเผยลี่เชินก็ไม่ค่อยพอใจเผยอี้อยู่แล้ว เธอไม่อาจเอาน้ำมันราดบนกองเพลิงได้
“พูดแล้ว” ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้ามองเผยลี่เชินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่จริงหลังจากที่ฉันไปส่งเอกสารเสร็จแล้ว ก็เดินมาตามทางเรื่อยๆ ไม่ทันระวังไปเจอพนักงานหญิงคนหนึ่งเข้า เธอจับข้อมือของฉันด้วยความหมดหวัง จนทิ้งร่องรอยไว้แบบที่เห็นนี้”
เผยลี่เชินได้ยินแบบนี้จึงได้แต่จ้องเธอตามเขม็ง พร้อมถามด้วยเสียงเย็นๆ “จริงรึ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้ารับ “จริงแน่นอน ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย จึงไม่ได้บอกคุณ”
เผยลี่เชินฟังเธอพูด ค่อยๆ คลายความกังวล
พอดีฉีเฟิงเคาะประตู เอายาครีมที่สั่งมาให้
เผยลี่เชินยื่นมือไปรับยา แล้วค่อยๆ บีบยาเพื่อทาให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ ทันใดนั้นฉีเฟิงซึ่งอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “ประธานเผย วลานัดกับผู้ร่วมทุนเหลืออีกยี่สิบนาทีครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงนึกขึ้นได้ เมื่อสักครู่ที่เธอมาถึง ดูเหมือนว่าเขาจะออกไปข้างหนอก เธอจึงพูดว่า “ประธานเผย มีธุระสำคัญควรรีบไป ให้ฉันทายาเองจะดีกว่า”
เผยลี่เชินไม่เงยหน้ามอง ยังคงใช้มือทายาที่ข้อมือของเธอ “ยังไงก็ตาม ทายาเป็นเรื่องสำคัญ ฉีเฟิงนายออกไปก่อน”
ฉีเฟิงได้ยินยังรู้สึกตกใจ รีบหันตัวกลับออกไปทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่ตรงหน้าเขา มองดูชายหนุ่มที่บรรจงทายาให้ หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา
เผยลี่เชินบีบยาลงบนปลายนิ้ว แล้วทาลงบริเวณรอยแผลสีแดงบนข้อมืออย่างอ่อนโยน
สัมผัสที่อบอุ่นจางหายไปที่ข้อมือ ในขณะเดียวกันความอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจเธอด้วย เห็นชายหนุ่มทายาให้เธอด้วยความระมัดระวัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณ”
เผยลี่เชินหยุดชั่วขณะเงยหน้ามองเธอ “ขอบคุณ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตะลึงแต่ก็ไม่โต้ตอบอะไร เมื่อเห็นเขาลุกขึ้น “ฉันจำได้ว่าเคยสอนเธอว่าขอบคุณต้องทำอย่างไร”
เขาใช้กระดาษทิชชูเช็ดยาที่ปลายนิ้ว แล้วก้มลงมองไป๋เสว่เอ๋อร์พร้อมสายตาที่เปล่งประกายมีรอยยิ้ม พูดแบบมีความหมายแฝง “เอาแบบจริงจังนะ”
พูดจบเขาก้าวเดินออกจากประตูออฟฟิศ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงตะลึงอยู่ที่เดิม รู้สึกว่าใจเธอจะติดอยู่ตรงลำคอ เสียง “ตึก…ตึก” กระทบต่อเส้นประสาทหู ราวกับไม่มีเสียงอื่นอีกเลยนอกจากเสียงหัวใจเต้นของเธอ
เธอเข้าใจความหมายที่เขาพูดอย่างชัดเจน ทุกครั้งไม่อาจต้านทานการยุยงของเขา ในเมื่อเขาพูดว่า “เอาแบบจริงจับ” มันก็อาจมีความหมายอีกอย่าง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มที่มุมปาก ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รอให้เธอกลับถึงบ้านเรียนทำอาหารกับป้าจางและใช้ “เอาแบบจริงจัง” เพื่อปรนนิบัติเขา
ถึงเวลาเลิกงาน เผยลี่เชินยังไม่กลับมาบริษัท ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแอบคิดว่านี่เป็นการดี เพราะเธอมีเรื่องต้องทำหลังเลิกงาน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาไป๋เสว่เอ๋อร์มาถึงร้านกาแฟ หลังจากที่นั่งรออยู่บริเวณตรงมุมร้าน ในที่สุดได้พบเงาของคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้าอยู่ตรงประตู
เฉียวเจิ้นกวาดตามาองไปทั่วรอบหนึ่ง ก็พบไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ตรงบริเวณมุมของร้าน จึงรีบเดินเข้าไปหาเธอ
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ ไม่พบกันนานเลยนะ”
เฉียวเจิ้นรู้สึกตื่นเต้น สองตาเป็นประกาย ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “เช่นกันคะ เฉียวเจิ้น”
เฉียวเจิ้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายของเธอ ทำหน้าที่เป็นกรรมการกีฬาในชั้นเรียน เป็นคนจริงใจดีมาก ตอน ม.6 เทอม 2 เฉียวเจิ้นสารภาพรักกับเธอต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่เธอปฏิเสธเขา จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด
เฉียวเจิ้นยิ้มแล้วนั่งลงตรงหน้าเธอ ทั้งสองสนทนาเฮฮาสักพักจากนั้นเฉียวเจิ้นจึงถาม “จู่ๆ เธอโทรมาหาฉัน มีเรื่องอะไรรึ?”
สองมือของไป๋เสว่เอ๋อร์ประสานเข้าด้วยกัน นิ่งไปสักครู่จากนั้นเงยหน้ามองเฉียวเจิ้น พูดด้วยเสียงจริงจัง “ขอพูดตามตรงที่ฉันโทรหาคุณครั้งนี้ ก็หวังให้คุณช่วยฉันเรื่องหนึ่ง”
หลังจากจบมหาวิทยาลัย ในงานเลี้ยงรุ่นเธอรู้ว่าเฉียวเจิ้นเป็นตำรวจอยู่สถานีตำรวจไห่เฉิง เธอคิดจะสืบคดีเรื่องพ่อของเธอ จึงนึกถึงเขาเป็นคนแรก
เฉียวเจิ้นพูดโดยไม่รอช้า “พูดมา ถ้าฉันช่วยเธอได้ ฉันช่วยเธอแน่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึกๆ พูดแบบปกติ “เธอคงเคยได้ยินเรื่องไป๋เจิ้งตง”
เห็นเฉียวเจิ้นพยักหน้า ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงพูดต่อ “ฉันรู้ว่าพ่อฉันทำผิด ได้รับโทษไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ฉันอยากรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ”
เธอพูดอ้อมค้อมแต่เฉียวเจิ้นก็ฟังเข้าใจ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมหยุดนิ่งไป ก่อนจะพูดเบาๆ “ตอนแรกเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจของพวกเรา แม้ว่าฉันจะรู้เรื่องนี้แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยอะไรมากได้ ฉันบอกเธอได้แต่เพียงว่า ตอนแรกภายในสถานีตำรวจได้รับจดหมายรายงาน ถึงได้สงสัยในตัวไป๋เจิ้งตง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันว่าที่สถานีตำรวจได้รับจดหมายรายงานไม่ระบุชื่อ จึงส่งตำรวจเข้าไปตรวจสอบพ่อของเธอ และพบว่าเป็นจริงตามข้อกล่าวอ้าง และกักตัวเขาไว้
แต่เธอต้องการรู้มากกว่านี้
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งเงียบไปนาน รวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ “เฉียวเจิ้นฉันรู้ว่าคำขอนี้อาจมากเกินไป แต่ฉันอยากถามฉันสามารถดูจดหมายรายงานนั้นได้หรือไม่?”
สีหน้าเฉียวเจิ้นหม่นหมองและปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ไม่ได้ เธอเองก็รู้ดีว่า พวกเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลในจดหมายนั้นได้แม้เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ อีกอย่างพวกเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งจดหมายนี้มา จึงไม่สามารถเปิดเผยเนื้อความในจดหมายได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้ เธอจึงเม้มริมฝีปากพูดเสียงเบาๆ “ฉันไม่ได้พยายามแก้แค้น แต่เรื่องนี้มันดูซับซ้อนเกินไป บางทีฝ่ายที่จดหมายฉบับนั้นอาจกำลังพุ่งเป้ามาที่ฉัน อาจพูดได้ว่า วันนี้ฉันตกอยู่ในสภาพไม่ปลอดภัย”
เฉียวเจิ้นตะลึงขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”