บทที่ 172 อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น
เผยอี้ฉายแววตาความสงสัย มองเผยลี่เชินอยู่สองสามวินาที เหมือนอยากทดสอบความตั้งใจของเขา
“งั้นลองพูดมาก่อนซิ”
เผยลี่เชินสีหน้าสงบนิ่ง ถามต่อ “นายบอกฉันมาก่อน นายไปรู้เรื่องออเดอร์บริษัทหลั่งอี้ได้อย่างไร?”
เผยลี้ลังเลก่อนตอบ “ลุงฟางบอกฉัน เขาพูดว่ามีออเดอร์ล็อตหนึ่งที่พี่ปฏิเสธ แต่เขาคิดว่าเผยซื่อรับได้ไม่มีปัญหาอะไร จึงให้ฉันไปจัดการ”
สายตาของเผยลี่เชินเย็นยะเยือก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดังนั้นนายจึงไปพบประธานหวังบริษัทหลั่งอี้ พูดคุยตกลงยืดเวลาส่งมอบสินค้าออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นนายก็ไปบอกพ่อ เพื่อให้พ่อมากดดันฉันรับออเดอร์นี้ไว้”
ตามความเป็นจริงแล้ว เผยอี้ไม่ได้คิดให้รอบคอบก่อนไปรับออเดอร์ที่เผยลี่เชินเคยปฏิเสธไว้ตั้งแต่แรก แล้วยังให้คุณท่านเผยมากดดันเผยลี่เชิน แต่ที่น่าหัวเราะกว่านั้นคือสุดท้ายเผยอี้ก็ทำออเดอร์นี้พัง
เผยอี้ได้ฟังที่เขาพูด สีหน้าจึงเปลี่ยนไป จ้องมองเผยลี่เชินอย่างระวังตัว “ไม่ต้องมาด่าว่าฉันแบบนี้ พี่คิดอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เผยลี่เชินหัวเราะเบาๆ “นายตั้งใจทำอะไรตั้งมากมาย แต่ไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมฟางหรงเทียนถึงไม่รับออเดอร์นี้ไว้เอง แต่กลับให้นายรับมันแทน?”
เมื่อเผยอี้ได้ยินประโยคนี้จึงลังเลไปมา ไม่พูดอะไรอีกเลย
อันที่จริงหลักเกณฑ์ในการประเมินความสามารถที่เผยซื่อใช้พิจารณาในการรับงานคือความสำเร็จของโครงการบวกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ ในเมื่อฟางหรงเทียนพิจารณาแล้วว่าออเดอร์นี้บริษัทสามารถทำได้ ทำไมเขาไม่รับไว้เองแต่กลับโยนให้เผยอี้?
เผยอี้คิดไปคิดมาจึงเข้าใจ “พี่หมายความว่า….ลุงฟางจงใจใช่ไหม?”
เผยลี่เชินหัวเราะเย็นๆ แล้วพูดต่อ “เขารู้ชัดเจนว่าฉันต้องปฏิเสธงานนี้ แต่กลับให้นายไปรับออเดอร์ แล้วให้นายมาบีบฉัน แถมยังเพิ่มความขัดแย้งระหว่างเราพี่น้อง ส่วนเขาก็นั่งดูพวกเราทะเลาะกันอย่างสบายใจ”
เผยอี้ขมวดคิ้วเข้มกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง ช่างเป็นกลอุบายล้ำลึกจริงๆ”
สายตาของเผยลี่เชินแฝงด้วยความเย็นชา พูดด้วยเสียงเรียบๆ “นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร ที่สำคัญกว่านั้นขอเพียงนายรับออเดอร์นี้ ก็หมดข้อสงสัยใด”
“เพราะอะไร?” เผยอี้มองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ฉันปฏิเสธออเดอร์นี้เพราะระยะเวลามันสั้นเกินไป นายคิดแต่เพียงออเดอร์ล็อตนี้มันธรรมดาสำหรับโรงงาน แต่ไม่คิดถึงตอนที่รับออเดอร์มาแล้ว กำลังการผลิตของโรงงานก็เต็มแล้ว ต่อให้บริษัทหลั่งอี้ยืดเวลาให้อีกเจ็ดวัน ก็ไม่พอ”
เผยอี้หน้าผากย่นเป็นสามชั้น “แต่ลุงฟางพูดอย่างชัดเจนว่าได้…”
“นี่เป็นจุดประสงค์ที่สองของเขา ขอเพียงโรงงานส่งมอบสินค้าไม่ทัน เผยซื่อก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัทหลั่งอี้ ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ของเผยซื่อก็ต้องมัวหมองไปด้วย เขาไม่เสียแรงเปล่าที่ทำทุกอย่าง”
เผยลี่เชินมองเผยอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้เข้าใจหรือยัง?”
เผยอี้ยังไม่อยากเชื่อ “เพราะอะไรเขาถึงทำแบบนั้น?”
“นี่ก็ต้องไปถามเขาเองแล้ว”
เผยลี่เชินพูดแล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ข้างๆ
“จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวนี้ช่างร้ายกาจและฉลาดแกมโกง! ฉันจะไปถามเขาให้รู้เรื่องตอนนี้!” เผยอี้เดินออกไปด้วยความหงุดหงิด
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงรีบเดินไปปิดประตู “ตอนนี้จะรีบไปแหวกหญ้าให้งูตื่นทำไม อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานแล้วจะพิสูจน์ได้ยังไงกัน!”
เผยอี้หยุดเดินแต่ยังคงโกรธอยู่ “เผยซื่อเห็นเขาเป็นลูกน้องเก่าแก่ของพ่อ ให้เงินเดือนและผลประโยชน์มากพอควร ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ได้”
เห็นเผยอี้ในสภาพหมดความอดทน เผยลี่เชินได้แต่ขมวดคิ้ว ครู่หนึ่งเขาพูดอย่างเย็นชา “ฉันมีแผน ตอนนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้”
เผยอี้ตื่นเต้นที่ได้ยิน “แผนอะไร?”
เผยลี่เชินเงยหน้ามองเขา เงียบอยู่นานก่อนจะพูดออกมา “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องให้นายไปทำ….”
ทีมงานประชาสัมพันธ์ของเผยซื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลบข่าวอื้อฉายทั้งหลายได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามความร้อนแรงของข่าวครั้งนี้ไม่ได้ลดลงเลย อีกทั้งเรื่องก็ดำเนินมาถึงวันนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ข่าวนี้ แม้ว่าจะลบข่าวไปได้ แต่ผลกระทบก็ยังคงอยู่
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินเข้ามาในบรษัท ต้องพบเจอกับสายตาที่ดูซับซ้อนของเพื่อนร่วมงานอย่างไม่มีเหตุผล ในใจเธอรู้ชัดเจนว่ามีข่าวลือเกี่ยวกับเธอและเผยลี่เชินภายในบริษัท พ่วงด้วยเรื่องเธอกับเผยลี่เชินตอนที่อยู่ในบาร์ถูกเปิดเผย ก็เท่ากับว่าข่าวลือเป็นจริง
งานในออฟฟิศยังไม่เสร็จ เสียงโทรศัพท์ดังตลอดเวลา ไป๋เสว่เอ๋อร์ยุ่งจนหัวฟู ตอนนี้คุณแม่ไป๋โทรมาหาเธอ
มือถือสั่นตลอดเวลา ไป๋เสว่เอ๋อร์กวาดตามองเห็นหน้าจอเป็นรูปคุณแม่ไป๋โทรมา เธอรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกประหม่า
“สวัสดีค่ะแม่ มีเรื่องอะไรคะ?”
“เสว่เอ๋อร์ ตอนนี้แม่อยู่ข้างล่างบริษัท ลูกลงมาหาแม่หน่อยซิ แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
เสียงของคุณแม่ไป๋ฟังดูเคร่งเครียด ไป๋เสว่เอ๋อร์ฟังแล้วยังตกใจ
ดูเหมือนแม่จะเห็นข่าวในโทรศัพท์แล้ว
“คะ แม่รอหนูสักครู่ หนูจะรีบลงไปคะ”
หลังจากวางโทรศัพท์ ไป๋เสว่เอ่อร์ก็วางงานทุกอย่างจะรีบลงไปชั้นล่าง ขณะกำลังเดินไปถึงประตู สวี่เยว่หรูออกมาจากออฟฟิศ พอเห็นเธอเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เอกสารนี้ต้องรีบให้ประธานเผยเซ็นต์ ฉันต้องรีบกลับไปแก้ไขสัญญาต่อ ถ้าเธอหาเอกสารเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเจอแล้วก็ช่วยส่งให้ด้วยนะ”
สวี่เยว่หรูนำเอกสารจากมือเธอยัดใส่ในมือไป๋เสว่เอ๋อร์ โดยไม่รอให้เธอตอบรับใดๆ จากนั้นก็เดินจากไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้แต่หายใจลึกๆ ขณะเห็นเงาของเธอค่อยๆ หายไป แล้วมองดูเอกสาร จำใจต้องกลับไปหาเอกสารต่อ
……………………
คุณแม่ไป๋นั่งรอไป๋เสว่เอ๋อร์ในห้องโถงสิบกว่านาที แต่ยังไม่เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ลงมา
คุณแม่ไป๋ร้อนใจมองดูเวลาซึ่งก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี เธอลุกขึ้นเดินไปข้างใน
ฟางลู่พร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคนเดินออกมาจากออฟฟิศไปที่ประตู ทันใดนั้นมีคนเรียกพวกเธอไว้ “ขอโทษนะ ขอถามหน่อย พวกเธอเป็นพนักงานของเผยซื่อใช่ไหม?”
ฟางลู่มองดูเสื้อผ้าหน้าผมการแต่งกายซึ่งก็ไม่เลวของผู้หญิงคนนี้ จึงยิ้มออกมา “คุณน้าคะ ที่นี่คืออาคารสำนักงานของเผยซื่อ พวกเราเดินออกมาจากข้างใน ก็แปลว่าพวกเราต้องเป็นพนักงานของเผยซื่อซิคะ!”
คุณแม่ไป๋ยิ้ม “พวกเธอรู้จักไป๋เสว่เอ๋อร์ไหม? ฉันเป็นแม่เขา มีเรื่องอยากพบเขา รอตั้งนานแล้วยังไม่ลงมาสักที”
สีหน้าของฟางลู่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน มองคุณแม่ไป๋ดูเหมือนอยากยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นคุณแม่ของไป๋เสว่เอ๋อร์”
คุณแม่ไป๋พยักหน้ารับ ยังไม่ทันได้พูดก็ได้ฟังฟางลู่พูดก่อน
“มีใครบ้างที่ไม่รู้จักไป๋เสว่เอ๋อร์ อย่าว่าแต่คนในบริษัทนี้เลยคะ ให้ไปถามคนข้างนอกก็ยังรู้จักไป๋เสว่เอ๋อร์กันทั้งนั้น”
เธอพูดแล้วก็หันไปหัวเราะกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น
คุณแม่ไป๋ไม่ใช่คนโง่เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เธอก็เลิกคิ้ว “ข่าวพวกนั้นเป็นความจริงรึเปล่า?”
ฟางลู่ส่งสายตาเยาะเย้ย พูดอย่างเย็นชา “จริงซิคะ คุณน้าไม่รู้หรือคะว่าลูกสาวคุณน้ามักจะจับมือถือแขนประธานเผยในบริษัทอยู่บ่อยครั้ง ใครๆ ในบริษัทต่างก็เห็นต่างก็รู้ดี”