บทที่ 159 อำนาจมีค่ากว่าความรู้สึก
หลังจากที่แยกกับเฉียวเจิ้นแล้วก็พอดีกับเวลาอาหารกลางวันพอดี ไป๋เสว่เอ๋อร์ไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อผักสดจากนั้นก็เรียกแท๊กซี่กลับบ้าน
เธอเพิ่งรียนทำอาหารจากป้าจาง ครั้งนี้กลับไปหาแม่ก็มีโอกาสได้แสดงฝีมือพอดี
กลับมาถึงบ้าน คุณแม่ไป๋นั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าไปในบ้านวางผักลงแล้วก็เดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ แม่ หนูกลับมาแล้วค่ะ ”
คุณแม่ไป๋เห็นลูกสาวก็ยิ้มจนหน้าบาน “ เสว่เอ๋อร์กลับมาแล้วหรอ? พักนี้เหนื่อยไหมลูก? ”
“ ช่วงนี้สื้นเดือน งานเยอะมากๆเลยค่ะ แต่ว่าถ้าพวกนี้เสร็จก็คงจะดีแล้วละ ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์บอกไปตาก็มองไปรอบๆ ก็ไม่ได้กลิ่นควันไฟ เธอเลยเอ่ยปากถาม “ แม่กินข้าวรึยังคะ? ”
“ เรียกแกร๊ปฟู้ดมาแล้วล่ะ อีกสักพักคงถึง ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินก็อดที่จะบอกได้ “ แม่ค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบาย แต่ความสะอาดก็สู้ทำเองไม่ได้แถมยังอร่อยด้วย ”
คุณแม่ไป๋รับคำ
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกแปลกและลังเลใจ หลังจากที่เธอย้ายออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตประจำวันของแม่ตัวเองก็ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน
คุณแม่ไป๋ลากเธอมานั่งลงโซฟา “ เสว่เอ๋อร์ เดี๋ยวแม่ปอกส้มให้นะ ”
เธอเอาส้มที่ปอกแล้วส่งให้ไป๋เสว่เอ๋อร์หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม “ ช่วงนี้แม่มักจะเห็นข่าวของเผยอี้กับดาราหญิงที่ชื่อจินจิงจิง พวกนั้นเป็นเรื่องจริงหรอ? ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์แปลกใจที่เขาถามขึ้นอย่างกะทันหันและไม่รู้จะตอบไปยังไงก็เลยทำได้แค่พยักหน้า “ อืม เป็นเรื่องจริงค่ะ ”
คุณแม่ไป๋ได้ยินเธอพูดมาแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ ถ้าเกิดตอนนั้นหนูกับเผยอี้ยังดีกันอยู่..”
พอได้ยินคุณม่ตัวเองพูดมาแบบนี้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
คุณแม่ไป๋รู้สึกว่าเธอมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเลยชะงักไป ก่อนจะทำหน้าจริงจังนิดหน่อย “ เสว่เอ๋อร์ แม่รู้ว่าบางคำพูดลูกก็ไม่ชอบ แต่แม่ก็ยังต้องพูดอยู่ดี ผู้หญิงก็คือผู้หญิงที่จะต้องพึ่งพาผู้ชาย! เมื่อก่อนที่คุณพ่อยังอยู่พวกเรายังมีเสาหลักไม่มีคนกล้ารังแกพวกเรา แต่หนูดูตอนนี้….”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากโต้ “ แม่คะ พวกเราตอนนี้ก็ไม่มีอะไรไม่ดีไม่ใช่หรอ? ”
คุณแม่ไป๋มีสีหน้าเคร่งขรึม “ นั่นเพราะเธอไม่ได้ยินสิ่งที่คนบางคนพูดลับหลังเรา พวกที่เคยเจอแล้วทักทายสวัสดี ตอนนี้ต่างก็เชิดหน้าชูคอแล้วจะให้แม่ยอมได้ยังไง! ”
พวกคนที่คุณแม่ไป๋พูดมาทำไมเธอถึงจะไม่เคยเจอ ครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่กัดฟันสู้ต่อมา
“ แม่คะ พวกนั้นพูดไม่ดีเราไม่พอก็พอแล้ว พวกเราใช้ชีวิตของพวกเราไป พวกนั้นอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไม่ได้กระทบอะไรกับพวกเราสักหน่อย ”
“ แม่ทนคำพวกนั้นไม่ได้หรอกนะ! ” คุณแม่ไป๋ใช้เสียงแข็งตัดประโยคของไป๋เสว่เอ๋อร์ “ ยังไงมีคนเป็นเสาหลักถึงจะดี! ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูผู้เป็นแม่ตรงหน้า แล้วรู้สึกหน่วงๆในใจ เมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้เลยว่าผู้เป็นแม่จะเห็นอำนาจอิทธิพลดีกว่าความรู้สึก
พอนึกถึงผู้เป็นพ่อที่ยังอยู่ในคุก ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ ก่อนจะถามอย่าผิดหวัง “ แม่คะ ในสายตาของแม่อำนาจมีค่ามากกว่าความรู้สึกงั้นหรอ? เป็นเพราะเผยอี้มีเงินมีอำนาจ ถึงแม้ว่าหนูเกลียดเขาก็จะต้องอยู่กับเขาต่อไปงั้นหรอ? หรือว่าคุณพ่อที่ไม่เหลืออะไรสักอย่างตอนนี้ สำหรับเราแล้วก็ไม่มีค่าอะไรแล้วงั้นหรอ! ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดคำนี้ออกมาน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ผู้เป็นแม่มีสีหน้าที่ซับซ้อนเธอขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจลึกๆ หยิบกระเป๋าแล้วรีบออกมาจากบ้าน
เธอคิดไม่ออกว่าทำไมคนที่จิตใจดีอย่างแม่ของเธอ ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนไปละโมบโลภมากแบบนี้ ในสายตามีเพียงแค่อำนาจ
เพียงชั่วเวลาเดียวในใจของเธอก็ย่ำแย่จนถึงที่สุด เรียกแท็กซี่แต่กลับไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนสุดท้ายก็ทำได้แค่บอกให้คนขับรถจอดที่ถนนแล้วลงมา เวลานี้เธอไม่รู้เยว่าตัวเองจะไปที่ไหน เลื่อนดูรายชื่อในโทรศัพท์ก็เป็นแต่เบอร์ติดต่อของเพื่อนเมื่อก่อนกลัวว่าตอนนี้โทรไปก็คงจะไม่มีคนรับสาย สุดท้ายแล้วสายตาของเธอก็หยุดอยู่ที่เบอร์ของเจียงหวั่นหวั่น วันนี้ก็มีแต่เจียงหวั่นหวั่นที่สามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนกับเธอได้แบบถูๆไถๆ เธอลังเลพักหนึ่งก่อนจะกดเบอร์โทรออกไป
เจียงหวั่นหวั่นได้ยินว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่รู้จะไปที่ไหน ก็รับเธอมาทีบ้านแบบไม่พูดอะไรมาก ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกจิตตกอย่างมากกินอะไรนิดหน่อยแล้วก็นอนหลับอยู่บนโซฟา
เจียงหวั่นๆพยายามดึงตัวเธอลุกขึ้นมา “ เอาล่ะเอาล่ะ หลับมาทั้งบ่ายแล้ว ควรที่จะลุกขึ้นมาขยับหน่อยแล้ว สำหรับฉันแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่ไม่พอใจกินหม้อไฟสักหน่อยมื้อมันก็หายแล้วล่ะ ดุนี่สิว่าฉันเตรียมอะไรม! ”
ไป่เสว่เอ๋อร์ที่หลับจนสะลึมสะลือมองตามนิ้วของเจียงหวั่นหวั่นไปก็เห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยของที่ใช้ทำหม้อไฟ เพียงชั่วครู่เดียวเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาเยอะมาก
ผู้หญิงอยู่ด้วยกันก็คงจะไม่พ้นเรื่องนินทา กินหม้อไฟอยู่สองชั่วโมงก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเจียงหวั่นหวั่นกับไป๋เสว่เอ๋อร์ใกล้ชิดกันมากขึ้นอีก ทั้งสองสนิทกันเหมือนรู้จักกันมานานหลายปี
เจียงหวั่นหวั่นตบขาแล้วเทเบียร์ให้ไป๋เสว่เอ๋อร์อีกครึ่งแก้ว “ เสว่เอ๋อร์ ยกอีกแก้ววันนี้เมาแล้วก็นอนมันที่นี่แหละ! ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังจะปฏิเสธแล้วหยุดอยู่หลายวินาที ก่อนจะนึกอะไรได้ว่าวันนี้เธออยู่ข้างนอกมาทั้งวันไม่ได้กลับบ้าน ถ้าเกิดว่าเผยลี่เชินกลับมาในตอนดึกแล้วเห็นว่าเธอไม่อยู่….
เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นแล้วมองที่นาฬิกา ก่อนจะจริงจังขึ้นนิดหน่อย “ หวั่นหวั่นนี่มันก็ดึกแล้ว ฉันต้องกลับแล้วล่ะ ”
“ หืม? จะกลับแล้วหรอ ไม่นอนค้างที่นี่หรอ? ”
“ ไม่แล้วล่ะหวั่นหวั่น ครั้งหน้าค่อยนัดกันใหม่ ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเก็บของแล้วออกมาจากบ้านของเจียงหวั่นหวั่น
ลงลิฟต์ออกมาจากคอนโดก็รู้สึกถึงลมเย็นๆที่พัดเข้าปะทะร่างกายถึงได้รู้ว่าข้างนอกฝนตกก็เลยรีบเรียกรถแท็กซี่แล้วมุ่งตรงไปยังบ้าน เดิมทีวันนี้ก็เป็นวันหยุดถึงเผยลี่เชินจะทำงานต่อก็ไม่น่าจะทำจนดึก เธอกลับบ้านแบบเร่งรีบแบบนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้เผยลี่เชินสงสัยหรือเปล่า
นั่งอยู่ในรถไป๋เสว่เอ๋อร์มองออกไปนอกหน้าต่าง อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องผู้เป็นแม่เมื่อตอนกลางวันในใจก็รู้สึกหน่วงๆและผิดหวัง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง แท็กซี่ก็มาจอดอยู่หน้าประตูไป๋เสว่เอ๋อร์จ่ายเงินแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านลานบ้านถึแม้จะเป็นแบบนี้ผมกับเสื้อผ้าก็เปียกอยู่ไม่น้อย เธอเข้ามาในบ้านก็เห็นป้าจางยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ คุณไป๋กลับมาแล้ว ” ป้าจางยิ้มๆแต่ใบหน้ากลับมีความกังวล ยื่นมือไปรับเสื้อคลุมแล้วกดเสียงต่ำพูดขึ้น “ คุณผู้ชายรอคุณนานแล้วค่ะ ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกใจเต้น เธอเปลี่ยนรองเท้าพอเดินเข้าไปในห้องก็เห็นเผยลี่เชินที่นั่งพลิกเอกสารอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
เธอสูดหายใจลึกๆ เห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวเธอก็ค่อยๆเดินเข้าไปหา “ วันนี้เหนื่อยไหมคะ? ”
“ ก็ดี ” น้ำเสียงของเผยลี่เชินไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา “ งั้นฉันขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เมื่อกี้ตากฝนนิดหน่อย ”
ไม่ได้ยินเขาตอบกลับ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หันตัวเดินกำลังจะอกมาเดินไปสองก้าวก็ได้ยินเสียงต่ำของผู้ชาย “ วันนี้คุณไปไหนมา? ”