บทที่ 173 เธอคือแฟนฉัน
สีหน้าของคุณแม่ไป๋เคร่งขรึมใบหน้าดูเหมือนอับอาย “ที่เธอพูดมาเป็นความจริงใช่ไหม?”
ฟางลู่เยาะเย้ย ความไม่พอใจที่มีต่อไป๋เสว่เอ๋อร์ก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเอาคืนบ้าง เธอจึงต้องไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้
“ไม่เชื่อก็ลองถามพวกเธอดูซิคะ”
ฟางลู่หันไปมองเพื่อนร่วมงานของเธอ ซึ่งต่างก็พยักหน้ารับ
เมื่อเห็นสีหน้าของคุณแม่ไป๋เปลี่ยนไป ฟางลู่รู้สึกสะใจเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดต่อ “เมื่อก่อนตระกูลไป๋ถือเป็นตระกูลใหญ่ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูตระกูลไป๋จะทำตัวแบบนี้ ทำให้ตระกูลไป๋ต้องอับอายขายหน้า”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าคุณหนูไป๋คงจะแตกต่างจากพวกเรา คาดไม่ถึงเลยจริงๆ คะ คุณน้าอย่าหาว่าฉันพูดแรงฟังยากเลยคะถ้าอยากให้ฉันพูด ลูกสาวคนนี้ของคุณน้าต้องสั่งสอนให้ดีกว่านี้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะไปก่อเรื่องไม่ดีไม่งามนอกบ้านได้ คนอื่นเค้าจะเหมารวมทั้งตระกูล”
คุณแม่ไป๋โกรธจนตัวสั่นเมื่อได้ยินแบบนี้
เธอมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนภายนอกด้วยเรื่องที่ตระกูลไป๋ล้มละลาย จนเธอไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทั้งหลาย วันนี้ยังมีเรื่องน่าอับอายของไป๋เสว่เอ๋อร์ ทุกคนก็พุ่งเป้ามาที่ตระกูลไป๋
ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมของไป๋เสว่เอ๋อร์ทั้งหมดเกิดจากปัญหาในการอบรมสั่งสอนของเธอ ขณะที่ทุกคนต่อว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ ก็กำลังกล่าวโทษแม่ของเธอด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเรื่องยังไม่น่าสะใจพอ ฟางลู่จึงเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก “คุณน้า ถ้าไงฉันจะบอกแผนกต้อนรับให้ คุณน้าจะได้ขึ้นไปหาเธอ? ดูว่าเธอทำอะไรอยู่?”
ขณะที่เธอกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไม่ไกล “แม่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นแม่ยืนอยู่กับฟางลู่และเพื่อนอีกสองสามคน รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที
เธอรีบเดินมาถึงตัวแม่พร้อมกวาดสายตามองฟางลู่ “แม่ เป็นไรไปคะ?”
เธอจับมือคุณแม่ไป๋แต่ก็ถูกสะบัดออก “ลูกพูดว่าเป็นอะไร ลูกอยู่นอกบ้าน ทำตระกูลไป๋เสื่อมเสียชื่อเสียงหมดแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และยังเห็นท่าทางเล่นละครของฟางลู่ที่ยืนข้างๆ จึงพอจะเดาออกในทันที
เธอรู้ว่าฟางลู่เกลียดขี้หน้าเธอ เมื่อก่อนก็พยายามหาทุกวิถีทางเล่นงานเธอ ครั้งนี้ขอเพียงเธอพูดให้ร้ายต่อหน้าแม่ ก็เป็นไปได้ว่าแม่จะเชื่อ
“แม่คะ แม่อยากรู้เรื่องอะไรก็ถามหนูมาตรงๆ อย่าไปฟังคำคนอื่นพูดเพ้อเจ้อ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลองจับมือแม่ดูอีกครั้ง แล้วลากเธอไปด้านข้าง แต่คิดไม่ถึงว่าแม่จะผลักมือเธอออก แสดงว่าแม่ยังโกรธอยู่
สีหน้าคุณแม่ไป๋ดูหมองคล้ำ “เพื่อนลูกเขาบอกแม่หมดแล้ว ลูกไม่ละอายใจบ้างหรือ แต่แม่รู้สึกอับอายมาก ลูกรู้ไหมว่าคนข้างนอกพูดว่าอะไรบ้าง? เขาบอกว่าแม่เป็นแม่ที่แย่มาก ไม่สั่งสอนลูกให้ดี!”
แน่นอนว่า นี่คือฟางลู่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้ามองฟางลู่ ถามกลับ “เลขาฟาง หากมีอะไรไม่พอใจฉันก็พูดกับฉันตรงๆ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นหมาลอบกัดแบบนี้!”
ฟางลู่พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ทำไมฉันต้องลอบกัดด้วย? เธอกล้วทำแต่ไม่กล้าให้คนอื่นพูด? ตอนนี้เรื่องระหว่างเธอกับประธานเผยเป็นที่โจษจันกันในโลกออนไลน์ หากฉันไม่พูดทุกคนคงไม่รู้ยังนั้นรึ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำมือแน่น พูดอะไรไม่ออกเลย ข่าวอื้อฉาวในอินเตอร์เน็ต ทำให้เธอไม่มีอะไรจะพูด แต่เห็นแม่โกรธแบบนี้ เธอก็เดาได้ว่าฟางลู่คงพูดเรื่องนี้
เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไปนาน ฟางลู่ก็ยิ่งสะใจ เธอเดินไปจ้องมองไป๋เสว่เอ๋ร์ “อีกอย่างฉันพูดไว้ไม่ผิด เธอทำงานอยู่ข้างกายประธานเผย นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่ดูคลุมเครือแล้ว ดูเหมือนสถานะของเธอไม่ค่อยถูกสักเท่าไร ว่าไหม?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกจุกที่หน้าอก ขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านี้เหมือนลูกธนูที่ยิงตรงเข้าสู่หัวใจของเธอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงทรงพลังดังขึ้นมา “ใครบอกว่าเธออยู่ข้างกายฉัน แล้วสถานะไม่ถูกต้อง”
ทุกคนมองไปรอบๆ เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของเผยลี่เชินที่รีบเดินเข้ามา
ดวงตาของฟางลู่เปล่งประกายด้วยความกลัว เธอหายใจเข้าลึก เริ่มรู้สึกผิด
เผยลี่เชินรีบเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ จ้องมองฟางลู่ “เธอคือแฟนของฉันเผยลี่เชิน มีอะไรที่ไม่ถูกต้องไหม?”
เผยลี่เชินยื่นมือโอบไหล่ไป๋เสว่เอ๋อร์ไว้ เงยหน้ามองฟางลู่และเพื่อนคนอื่นๆ “ฉันยังหาเวลาที่เหมาะสมประกาศเรื่องของเราให้ทุกคนทราบไม่ได้ ทำไมพวกเธอถึงใช้วิธีลอบกัดแบบนี้?”
เขายังยั้งคำพูดซึ่งทำให้พวกเธอกลัวจนเอาแต่ก้มหน้า ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
สีหน้าของเขาดูเรียบๆ ไม่แสดงออกใดๆ “ฉันจำกฎของบริษัทได้ว่า อนุญาตให้มีความรักในบริษัทได้ แต่ต้องไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานและไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ในเมื่อทำผิดกฎ พรุ่งนี้พวกเธอไปที่แผนกการเงินทำเรื่องหักเงินเดือนซะ”
สีหน้าของฟางลู่และเพื่อนขาวซีด แต่ก็ไม่กล้าขัดแย้งอะไร
หลังจากที่เผยลี่เชินอนุญาตให้พวกเธอแยกย้ายกันไปได้ พวกเธอสบตากันก่อนจะรีบเดินจากไป
รอจนพวกเธอไปไกลจึงปล่อยไป๋เสว่เอ๋อร์ หันไปทางคุณแม่ไป๋พยักหน้าทักทาย “คุณนายไป๋”
สีหน้าของคุณแม่ไป๋ดีกว่าเมื่อสักครู่ แต่ก็ยังโกรธอยู่ เธอกวาดตามองเผยลี่เชินแล้วหันมามองไป๋เสว่เอ๋อร์ “เสว่เอ๋อร์ ลูกตามแม่มา แม่มีเรื่องจะพูดด้วย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้ามองเผยลี่เชินก่อนเดินตามแม่ไปอย่างเงียบๆ
คุณแม่ไป๋ถามอย่างจริงจัง “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึก นึ่งไปสักครู่ก่อนจะอธิบาย “เมื่อคืนวานในบาร์เจอเพื่อเก่าโดยบังเอิญ เขาต้องการใช้ประโยชน์จากลูก เผยลี่เชินจึงปกป้องลูก แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกพวกสื่อถ่ายรูปแล้วนำไปลงข่าวในอินเตอร์เน็ตเติมสีใส่ไข่เข้าไปอีก พูดจนเกินจริง ไม่น่าเชื่อถือ”
คุณแม่ไป๋ถามเสียงเข้ม “แต่ลูกรู้ไหมว่าคนอื่นพูดลับหลังถึงตระกูลไป๋ว่าอย่างไร? พูดถึงแม่ว่าไง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดาออกทันที ข่าวอื้อฉาวนี้ส่งผลกระทบต่อเธอ ต่อตระกูลไป๋ ยากจะหลีกเลี่ยง เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึก พูดอย่างนอบน้อม “แม่ หนูขอโทษคะ”
คุณแม่ไป๋เงียบไปสักครู่ สีหน้าดูอบอุ่นขึ้น เธอเงยหน้ามองไปที่เผยลี่เชินที่ยืนอยู่ตรงประตู “แล้วเรื่องระหว่างลูกกับเขาล่ะ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึกๆ รู้ว่าปัญหานี้ไม่สามารถหนีได้ อธิบายไปก็เสียเวลา สู่ยอมรับโดยตรง “พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเมื่อไม่กี่วันมานี้”
คุณแม่ไป๋ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรอยู่นาน
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ ไม่เข้าใจเท่าไร
เมื่อก่อนแม่กับจับคู่เผยอี้ให้เธอเพื่อให้เธอมีที่พึ่งไม่ถูกใครรังแก แต่เผยลี่เชินมีความสามารถโดดเด่นกว่าเผยอี้ ทำไมดูเหมือนแม่จะไม่ดีใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ใจเต้น ลองทดสอบแม่โดยการถาม “แม่คิดอย่างไร?”
คุณแม่ไป๋สีหน้าเคร่งเครียดอยู่นานจึงตอบ “บอกตามตรง แม่ไม่เห็นด้วยที่ลูกจะคบกับเขา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ทำไมคะ?”
“เพราะเขาดูซับซ้อนกว่าเผยอี้มาก คนที่เป็นผู้นำเผยซื่อ ต้องฉลาดล้ำลึกมาก เสว่เอ๋อร์ลูกเคยคิดไหม?”