บทที่ 169 อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ
ตอนกลางคืนสามทุ่มกว่า ณ บาร์โยวหลัน
เดิมทีไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นเผยลี่เชินอารมณ์ไม่ดี ตกลงเอาไว้แล้วว่าจะดื่มเป็นเพื่อนเขาสองแก้ว แต่เท้าหน้าของพวกเขาเพิ่งจะเหยียบที่บาร์ ไม่ช้ากู้หลี่เหลียงก็เข้ามาแล้ว
กู้หลี่เหลียงเดินมาอย่างสบายๆ ตบไปที่ไหล่ของเผยลี่เชิน จากนั้นก็นั่งลงข้างๆเขา กวาดตามองมายังไป๋เสว่เอ๋อร์แวบหนึ่ง เอ่ยถามด้วยเสียงหัวเราะคึกคักว่า “พี่เผย วันนี้ทำไมอยู่ๆมาที่นี่ได้ ยังพาพี่สะใภ้…”
คำพูดของเขายังพูดไม่ทันจบ สังเกตเห็นสายตาอันแหลมคมที่ยิงเข้ามาของเผยลี่เชิน เขาก็รีบเงียบเสียงลงในทันที หันหน้าและสั่งบาร์เทนเดอร์ให้เลือกเหล้าดีขวดนึงส่งมา
เผยลี่เชินแกว่งแก้วไวน์ที่อยู่ในมือเบาๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ยังจำเรื่องที่ฉันถามแกเมื่อวานในโทรศัพท์ได้ไหม”
กู้หลี่เหลียงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เขยิบเข้าไปใกล้แล้วกดเสียงให้ทุ้มต่ำลง “วางใจเถอะ เตรียมให้แกเรียบร้อยแล้ว”
เห็นทั้งสองคนมีลับลมคมในกัน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เดาไม่ออกว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันแน่
กู้หลี่เหลียงล้วงเอาบัตรใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ส่งให้กับเผยลี่เชิน “ทำมาให้แกแล้ว มีมันแกสามารถเข้าออกได้ตามสบาย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจว่า ที่แท้เขาทำบัตรผ่านมาตรการป้องกันการเข้าถึงของผับนั้นให้กับเผยลี่เชินได้แล้ว
เผยลี่เชินนำบัตรนั้นเก็บขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆว่า “เอาล่ะ แกไปได้แล้ว”
“พี่เผย!” กู้หลี่เหลียงเบิกตาโพลงขึ้น “นี่ฉันเพิ่งจะส่งของให้กับแก แกก็ไล่ฉันแล้ว ตัวเองถึงจุดมุ่งหมายก็ถีบคนที่ช่วยเหลือไม้นี้ของแกเล่นได้ลื่นไหลดีจริงๆนะ!”
เผยลี่เชินเห็นบาร์เทนเดอร์ส่งเหล้าเข้ามา เขาก็ยักคิ้วหลิ่วตา “เหล้าทิ้งไว้ แกไปได้แล้ว”
เขาพาไป๋เสว่เอ๋อร์มาที่นี่ ตกลงกันไว้แล้วสองคนดื่มด้วยกันสองสามแก้ว เขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับคนอื่น
กู้หลี่เหลียงทั้งโมโหทั้งขำ ตบไหล่ของเผยลี่เชินเบาๆอย่างจนปัญญา “ได้ๆๆ ฉันก็ไม่รบกวนโลกของคนสองคนของพวกแกแล้ว ฉันหายไปโดยอัตโนมัติ”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
รอจนกระทั่งเขาเดินไปไกลแล้ว เผยลี่เชินก็ถือโอกาสหยิบเหล้าที่เพิ่งส่งเข้ามาขวดนั้นบนโต๊ะขึ้น หันหน้าไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ แล้วยักคิ้วให้กับเธอ “จะดื่มเป็นเพื่อนผมจริงๆ?”
ความสามารถในการดื่มของไป๋เสว่เอ๋อร์เขารู้ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว สามแก้วสลบ เบียร์ดื่มแก้วเดียวก็หน้าแดง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล้าองุ่นขาว
“แน่นอนค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มออกมาเล็กน้อย พยักหน้าอย่างแน่ใจ
เธอรู้ว่าเผยลี่เชินอารมณ์ไม่ดี ดื่มเป็นเพื่อนเขาสองแก้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างมากเธอเมาก็ให้เผยลี่เชินประคองเธอกลับไป
เผยลี่เชินเห็นความรู้สึกบนใบหน้าของเธอ ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ยื่นมือหยิบแก้วไวน์ที่สะอาดขึ้นมาหนึ่งใบ รินให้เธอครึ่งแก้ว
ของเหลวที่ใสแจ๋ว สะท้อนแสงสว่างสีเขียวอ่อนๆที่สวยงามออกมา เข้าใกล้ริมฝีปาก ก็สามารถได้กลิ่นหอมของผลไม้ที่เข้มข้น เป็นเหล้าที่ดีจริงๆ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ประคองแก้วไวน์เอาไว้ แหงนลำคอที่ยาวระหงขึ้น จิบไปคำเล็กๆ รสชาติกลมกล่อม รสสัมผัสอุดมสมบูรณ์แต่กลับไม่สูญหายความละเอียดอ่อน เธอหันมองไปทางเผยลี่เชิน เอ่ยปากขึ้นอย่างกึ่งล้อเล่นว่า “กู้หลี่เหลียงเขาใช้เหล้าที่ดีขนาดนี้ต้อนรับคุณ คุณกลับไล่เขาไปเลย จะเป็นการแล้งน้ำใจเกินไปหรือเปล่าคะ?”
เผยลี่เชินได้ยินดังนั้น ก็ยื่นแขนออกไป ดึงเธอเข้ามาไว้ข้างในอ้อมอก สายตาแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมา “คุณอยากให้ผมอยู่เป็นเขา หรือว่าอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ?”
คำพูดที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ประกอบกับน้ำเสียงที่คลุมเครือไม่ชัดเจนของเขา ทำให้คนจิตใจฟุ้งซ่าน ความคิดหลายหลากผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายไปชั่วขณะ
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นดื่มเหล้า หลบสายตาไปทางอื่น ไม่กล้ามองตาของเผยลี่เชิน
เขาดูเหมือนจะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งที่สามารถดูใจของคนออกได้ เธอกลัวว่าเขาแวบเดียวก็จะสามารถมองทะลุความคิดเล็กๆที่แอบซ่อนอย่างสุดกำลังในใจของเธอออกได้
เธอก็ต้องอยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อนเธอเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่คำพูดนี้ ตอนนี้เธอเขินจนพูดไม่ออก
เผยลี่เชินเห็นการตอบสนองเช่นนี้ของเธอ ริมฝีปากก็ยกขึ้นยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นเขาอยู่ๆก็เงียบขรึมขึ้นมา ก็มองไปทางเขาด้วยสายตาที่สืบหาความจริง เผยลี่เชินในเวลานี้ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน อารมณ์ความรู้สึกอยู่ๆก็เย็นลงมาอย่างกะทันหัน ทั่วทั้งร่ายกายปกคลุมไปด้วยความเย็นอีกชั้นหนึ่ง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เลยเขยิบเข้าไปใกล้เขาเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นอย่างลองหยั่งเชิงว่า “เป็นอะไรไปคะ?”
“ไม่มีอะไร” มือที่กำแก้วไวน์ของเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย บริเวณข้อนิ้วที่หลังมือขาวระเรื่อขึ้น “อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันครบรอบวันจากไปของคุณแม่แล้ว”
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์บีบตัวเข้าหากัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบใจเผยลี่เชินอย่างไรไปชั่วขณะ
เธอไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงคุณแม่มาก่อน นี่ยังคงเป็นครั้งแรก
สายตาของเผยลี่เชินมืดหม่นลง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆว่า “เกรงว่าเขาคงจะลืมไปตั้งนานแล้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้ว่า “เขา” ในคำพูดของเผยลี่เชินนั้นหมายถึงคุณท่านเผย
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงได้เข้าใจแล้วว่า ทำไมวันนี้คุณท่านเผยเรียกเขากลับไปทานข้าวที่บ้านเขาถึงได้ต่อต้านขนาดนั้น
เธอประคองแก้วไวน์เอาไว้ ชนเข้ากับแก้วของเขาเบาๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “ถึงเวลา หากคุณต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ ฉันสามารถไปเยี่ยมคุณป้าเป็นเพื่อนคุณได้นะคะ”
“อื้ม” เผยลี่เชินตอบรับออกมาหนึ่งคำ ยกมือขึ้นดื่มเหล้าที่อยู่ในมือจนหมดแก้ว
“ครืน ครืน…”
โทรศัพท์มือถือของเผยลี่เชินสั่นขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแวบหนึ่ง ไม่ได้รับ แล้วนำโทรศัพท์กลับไปวางบนโต๊ะที่เดิม
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองเห็น เป็นคุณท่านเผยที่โทรมา
ไม่ช้า การสั่นก็หยุดลง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสั้นๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนจะต้องโทรจนเขายอมรับสายให้ได้ถึงจะหยุดลง
มองดูสีหน้าที่รำคาญของเผยลี่เชิน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เอ่ยปากโน้มน้าวเบาๆว่า “สู้รับสาย พูดกับท่านให้ชัดเจนเถอะค่ะ ไม่แน่ในบ้านอาจจะมีเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ”
เผยลี่เชินดื้อดึง เธอดูออก แต่คุณท่านเผยดื้อดึงยิ่งกว่า หากเขาไม่รับสาย เกรงว่าคุณท่านเผยจะต้องโทรจนเขายอมรับถึงจะหยุดอย่างแน่นอน
เผยลี่เชิน “อืม” ตอบกลับมาหนึ่งคำด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วลุกขึ้น ก้าวขาเดินไปทางระเบียงทางเดินที่สะอาดทางนั้น เพิ่งจะเดินไปแค่ก้าวเดียว ก็หยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับมาบอกกับไป๋เสว่เอ๋อร์ว่า “นั่งรออยู่ที่นี่ อย่าไปไหนซี้ซั้ว”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบรับ “ค่ะ”
มองดูเขาเดินจากไปไกล ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้สติกลับคืนมา แกว่งแก้วไวน์เบาๆ มองดูชายหนุ่มหญิงสาวที่โยกย้ายกลางฟลอร์เต้นรำที่อยู่ไม่ไกลอย่างไร้ความสนใจ
สถานที่แบบนี้ ดูเหมือนจะสนุกสถานครึกครื้น แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นสถานที่ที่อ้างว้างที่สุด เธอดื่มเหล้าเข้าไปคำเล็กๆ คำเล็กๆ คิดไม่ถึงว่าจะดื่มจนหมดแก้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอหันหน้าไปมองทางที่เผยลี่เชินเดินจากไปแวบหนึ่ง มองไม่เห็นแม้แต่เงา เธอถือโอกาสหยิบขวดเหล้าขึ้นมา รินอีกครึ่งแก้วให้กับตัวเองอีกครั้ง
“โอ๊ะ ผมกำลังคิดว่าในที่สุดก็พบกับสาวงามเข้าให้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูไป๋”
ด้านข้างอยู่ๆก็สะท้อนเสียงนึงขึ้นมา เสียงดังมาก สูงจนโอเวอร์ แต่ครู่เดียวก็ถูกเสียงเพลงที่ดังกึกก้องกลบจนหายไปแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์หันหน้ากลับไป เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังโซฟา อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ
มีความคุ้นตาหลายระดับ เธอหยีตาขึ้นเล็กน้อย คิดอยู่พักหนึ่ง ถึงคิดขึ้นมาได้ว่าเขาคือใคร คือแฟนของเพื่อนสนิทที่ไม่จริงใจในก่อนหน้านี้ของเธอ ชื่อว่าส้งเฉิง เป็นเพลย์บอยที่วันๆไม่ทำอะไรเลยคนหนึ่ง อาศัยว่าที่บ้านมีเงินก็ตามองสูงกว่าฟ้า หยิ่งจนรับไม่ไหว
สำหรับเพื่อนสนิทในก่อนหน้านี้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่อยากมีการติดต่ออีกแม้เพียงนิดเดียว นับประสาอะไรกับส้งเฉิงคนนี้ที่สำหรับเธอแล้วแม้แต่เป็นเพื่อนก็ยังไม่นับ
เธอละสายตาไปทางอื่น แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน สนใจแต่ดื่มเหล้าของตนเองไป
แต่ใครจะรู้ว่าส้งเฉิงกลับไม่รู้จักกาลเทศะ พาเพื่อนสนิทอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ เดินอ้อมมายังอีกด้าน นั่งลงข้างกายของไป๋เสว่เอ๋อร์ในทันที “คุณหนูไป๋ ไม่เจอกันมาสักระยะ คุณก็มีชีวิตไม่เลวเหมือนกันนี่นา!ยังดื่มเหล้าที่ดีขนาดนี้!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกว่า “ขอโทษนะคะ พวกเราไม่รู้จักกันมั้งคะ?”
ส้งเฉิงได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็มืดครึ้มลงแล้วอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณเสแสร้งอะไรเล่า!ก่อนหน้านี้มีตระกูลไป๋คอยพยุงอยู่ด้านหลังของคุณ คุณจะบ้ายังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้คุณมีทุนอะไร? อาศัยพ่อที่เป็นอาชญากรของคุณน่ะหรอ?”
ส้งเฉิงพูดจาไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ดันเลือกจุดท่ไป๋เสว่เอ๋อร์แคร์มากที่สุดทิ่มแทงลงไป ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ฟัง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันขึ้น หันหน้าไปมองส้งเฉิงในทันที “กรุณาระวังคำพูดของคุณด้วยค่ะ”
ส้งเฉิงหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็น จ้องมองเธออยู่หลายวินาที “ไม่พูดไม่ได้ ต่อให้คุณจะโกรธขึ้นมา ก็ยังดูดีกว่าลั่วลั่ว
ลั่วลั่วก็คือเพื่อนสนิทที่ไม่จริงใจในก่อนหน้านี้ของไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอได้ยินส้งเฉิงพูดเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกรังเกียจออกมาจากใจจริง
เธอวางแก้วไวน์ลง ลุกยืนขึ้น ก้าวขากำลังจะเดินจากไป
อยู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงชายกระโปรงที่ตึงขึ้น พอก้มหน้าลง ก็เห็นส้งเฉิงดึงกระโปรงไหมพรมของเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยังจ้องเธอด้วยรอยยิ้มที่กะหล่อน
สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์มืดมน ออกคำสั่งด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “ปล่อยมือ!”
สีหน้าของส้งเฉิงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยถามย้อนกลับว่า “หากว่าผมไม่ปล่อยล่ะ?”