ตอนที่ 204 ถูกปิดบังมาโดยตลอด
ในระหว่างนี้นั้น เธอไม่ได้ติดต่อกับแม่ของเธอเลย นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เธอจะได้มาพบกับคุณแม่ของเธอที่นี่
ไป๋เสว่เอ๋อร์หมายที่จะเดินตรงไปหาคุณแม่ไป๋ แต่ว่าเมื่อคุณแม่ไป๋ออกจากห้องน้ำแล้วนั้น เธอก็เดินตรงไปที่หน้าบันไดในทันที ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเดินตามไปเพื่อให้ทันกับเธอ ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากเรียกคุณแม่นั้น ทันใดนั้น เธอก็เห็นคุณแม่ของเธอเดินลงบันไดไป พร้อมกับคล้องแขนของชายวัยกลางคนคนหนึ่งอยู่
ไป๋เสว่เอ๋อร์อึ้งไปชั่วครู่ สายตาของเธอไปหยุดอยู่ครู่หนึ่งที่ใบหน้าของผู้ชายคนนั้น เธอรู้สึกใบหน้านั้นคุ้นเคยเล็กน้อย
เธอลองมาคิดดูอย่างรอบคอบ คนที่พูดว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเหอหลิงเฟิงเมื่อกี้ก็คือเขาไม่ใช่เหรอ
เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมคุณแม่ไป๋ถึงได้มากับเขาได้ล่ะ
คำถามชวนสงสัยมากมายผุดขึ้นมาในหัวใจ คำว่า “แม่” ที่ติดอยู่ในลำคอก็ไม่อาจเรียกออกไปได้ ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูทั้งสองคนค่อยๆ หายลับไปจากบันได คิ้วของเธอขมวดแน่น และรีบวิ่งลงบันไดตามคนทั้งคู่ไป
เมื่อลงมาถึงยังชั้นล่าง ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็มองเห็นผู้ชายคนนั้นยื่นมือออกมา และโอบคุณแม่ไป๋เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่ว่าคุณแม่ไป๋กลับไม่มีท่าทีรังเกียจเลยสักนิดเดียว แถมยังเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเล็กน้อยด้วย ทั้งสองคนมองหน้าและยิ้มให้กัน พร้อมกับคุยกันอย่างใกล้ชิด
ไป๋เสว่เอ๋อร์อึ้งไปครู่ใหญ่ จากนั้นเมื่อเธอเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ความโกรธจัดก็ปะทุขึ้นมาเต็มหัวใจ เธอกำมือแน่น ขณะที่เธอกำลังจะวิ่งตามคนทั้งคู่ไปให้ทันนั้น ทันใดนั้น ข้อมือของเธอก็รู้สึกแน่นขึ้นมา เธอถูกใครบางคนจับข้อมือเอาไว้อย่างแน่นหนาเข้าเสียแล้ว
“ปล่อยฉันนะ!” ไป๋เสว่เอ๋อร์สะบัดมือออกเพื่อเป็นการตอบโต้ในทันที เธอหันกลับไปด้วยความโกรธจัด เมื่อเธอเห็นว่าเป็นเผยลี่เชิน สีหน้าของเธอก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
เผยลี่เชินเอื้อมมือทั้งสองข้างของเขาออกมา และโอบเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาขมวดคิ้วและตะโกนออกไปด้วยเสียงเข้มว่า “คุณใจเย็นก่อน!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขัดขืนและดิ้นไม่หยุด แต่ทว่าเธอกลับไม่สามารถหลุดพ้นจากอ้อมแขนของเผยลี่เชินไปได้ ทันใดนั้น เธอก็สูญเสียความเป็นเหตุเป็นผลไปเสียแล้ว เธอคิดแต่เพียงจะไล่ตามสองคนนั้นไปเพื่อถามให้แน่ชัด ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาในอนาคตเลยสักนิดเดียว
“คุณปล่อยฉันนะ!” ไป๋เสว่เอ๋อร์โกรธจนตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างของเธอพยายามขัดขืนไม่หยุด ซึ่งนั่นทำให้เกิดรอยแผลเล็กน้อยบนแขนของเผยลี่เชินโดยไม่รู้ตัว
เผยลี่เชินยิ่งกอดเธอแน่นมากขึ้น พร้อมกับบดบังสายตาของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดโน้มน้าวให้เธอใจเย็นลง “ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณคิดจะตามไปแล้วจะทำอะไรต่อเหรอ ถามพวกเขาสองคนว่าเป็นอะไรกันท่ามกลางล็อบบี้ของโรงแรมอย่างนั้นเหรอ คุณรู้ไหมว่าวันนี้มีนักข่าวกี่คนกำลังรออยู่ที่ประตูทางเข้าโรงแรมน่ะ!”
ดวงตาของไป๋เสว่เอ๋อร์เป็นสีแดงก่ำ เธออาศัยแรงผลักเผยลี่เชินออกไป “ฉันไม่สนใจ… ฉันจะต้องไปถามให้รู้เรื่อง! พ่อของฉันยังต้องนอนอยู่ในคุก… แม่จะทำแบบนี้ไม่ได้!”
ก่อนหน้านี้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ต้องปวดหัวกับเรื่องที่คุณแม่ไป๋มักจะหว่านล้อมให้เธอกับเผยอี้กลับมาคืนดีกัน แต่เธอกลับคาดไม่ถึงเลยว่าในเรื่องส่วนตัวของคุณแม่นั้น คุณแม่กลับไปใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งก่อนตอนที่เธอกลับบ้าน แล้วเห็นแหวนวงหนึ่งหล่นอยู่บนโซฟาเข้า… ไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมช่วงนี้คุณแม่ไป๋ถึงไม่ติดต่อมาหาเธอเลยสักนิดเดียว…
นั่นก็เพราะคุณแม่มีชีวิตใหม่แล้วนั่นเอง…
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเหมือนถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เธอไม่มีทางที่จะยอมรับความจริงทั้งหมดในเรื่องนี้ได้ น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นสาย จนทำให้ดวงตาต้องพร่ามัว แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่ามือของเผยลี่เชินที่จับข้อมือของเธออยู่นั้น ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
เธอรู้ดีว่าตอนนี้ก็ทำได้แค่วิ่งตามไปเท่านั้น และอีกอย่างตอนนี้ก็สายไปแล้วด้วย เงาของคุณแม่ไป๋และผู้ชายคนนั้นได้หายวับลับสายตาไปเนิ่นนานแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงไม่ยอมแพ้ เธอคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋าถือ เธอเปิดหาบันทึกรายชื่อและกดโทรออก ทันใดนั้นเผยลี่เชินก็เอื้อมมือมา และกำมือถือของเธอเอาไว้แน่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะคลี่คลายปัญหาได้จริงๆ เหรอ”
ถ้าถามให้ชัดเจนไปเลยจะเป็นอย่างไรงั้นหรือ ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว มันคือความจริงที่ไม่มีวันย้อนกลับไปได้ ต่อให้ถามคำถามมากมายแค่ไหนหรือกล่าวโทษโบยตีกันมากแค่ไหนก็ตาม
เสียงของไป๋เสว่เอ๋อร์สั่นเครือ “ฉันอยากถามว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ฉันอยากถามแม่ว่าทำไมแม่ต้องทรยศพ่อ ทำไมต้องทรยศบ้านเราด้วย!”
เผยลี่เชินรู้สึกจุกขึ้นมาในลำคอ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “ผู้ชายคนนั้นชื่อว่าเฝิงเจิ้นปาง มาจากเมืองหลินเฉิง เขาเริ่มต้นจากธุรกิจถ่านหิน เขามาที่เมืองไห่เฉิงเพื่อขยายธุรกิจของเขา เขาคบอยู่กับคุณแม่ของคุณได้ประมาณหนึ่งเดือนแล้วล่ะ”
สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์จริงจังเล็กน้อย เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างโซเซและเกือบจะล้มทั้งยืน
เธอเงยหน้าด้วยความตะลึงงัน พร้อมกับตั้งสติขึ้นมาได้ในทันที เธอจ้องเขม็งไปที่เผยลี่เชิน ริมฝีปากของเธอสั่นไหวเล็กน้อย
เธอนิ่งเงียบไป แต่ถึงอย่างนั้นเผยลี่เชินก็ยังคงพูดต่อไปว่า “ไป๋เสว่เอ๋อร์ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการถามคำถามหรือการทะเลาะเบาะแว้งหรอก ตอนนี้คุณควรจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองซะ ดึงสติตัวเองกลับคืนมาก่อนเถอะ!”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็เอื้อมมือออกมาและจับมือของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ทว่าทันใดนั้น เขากลับถูกหญิงสาวผลักออกไปสุดแรงเกิด
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองเขาด้วยความไม่เชื่อมั่น เธอรู้สึกจุกในลำคอ เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงจะเอ่ยปากพูดออกมาว่า “ที่แท้ คุณก็รู้อยู่แล้วนี่เอง…”
เขาสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร มีภูมิหลังอยู่ที่ไหน และยังบอกได้แม้กระทั่งว่าคุณแม่ไป๋และเขาคบกันมานานเท่าไรแล้วด้วย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องราวนี้ดีอยู่แล้ว
มีแค่เธอเท่านั้น ที่ถูกปิดบังมาโดยตลอด
เมื่อเผยลี่เชินได้ยินดังนั้น เขาก็โต้ตอบหญิงสาวกลับไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกลังเล เขาสูดลมหายใจลึกๆ ยกมือขึ้นเพื่อที่จะจับไหล่ของไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้ แต่ทว่ากลับถูกหญิงสาวสะบัดมือของเขาออกไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์สุดลมหายใจเขาลึกๆ พร้อมกับถามเขาว่า “คุณรู้อยู่แล้วเรื่องที่คุณแม่ของฉันกับผู้ชายคนนั้นคบกันใช่ไหม”
คิ้วของเผยลี่เชินสั่นเล็กน้อย เขาเงียบไปสักพักหนึ่ง ในที่สุด เขาก็ตอบกลับมาว่า “ใช่”
“แล้วทำไมคุณถึงต้องปิดบังฉันมาตลอดด้วยล่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามต่อ ในตอนนั้นหัวใจของหญิงสาวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เหลือชิ้นดี คุณแม่ของเธอทรยศคุณพ่อของเธอและตัวเธอเอง ส่วนตอนนี้แฟนของเธอก็กลับมีเรื่องปิดบังเธอด้วย!
เผยลี่เชินขมวดคิ้วแน่น “ผมไม่อยากให้คุณต้องรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้”
ความจริงแล้ว เขารู้มาตั้งนานแล้ว ความจริงแล้ว เขาตั้งใจที่จะปิดบังเธอ นั่นก็เพราะเขาเข้าใจในความรู้สึกเช่นนี้ดี ตอนที่แม่ของเขาเสียชีวิตลง ไม่นานนักพ่อของเขาก็แต่งงานใหม่ พาผู้หญิงคนนั้นและเผยอี้เข้ามาที่บ้าน เขาเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่ถูกทรยศหักหลังนั้นเป็นอย่างไร!
ดังนั้น เขาถึงไม่ยอมให้หญิงสาวต้องถูกเรื่องราวเช่นนี้ทำร้ายได้ เขาจึงเลือกที่จะปิดบังเรื่องราวนี้ไว้และไม่บอกเธอ สักวันหนึ่งเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เขาจะลองคิดทบทวนดูและนำเรื่องราวนี้เล่าให้เธอฟังทั้งหมด
แต่ทว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ในตอนนี้นั้นไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ แล้ว ดวงตาที่แดงก่ำของเธอ ภายในดวงตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้
เธอยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมกับถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า “แล้วตอนนี้มันไม่ได้กำลังทำร้ายฉันอยู่เหรอคะ”
แทนที่เธอจะบังเอิญไปพบคุณแม่ของเธอกำลังอยู่กับผู้ชายคนนั้น มันคงจะดีกว่านี้ถ้าได้ยินเรื่องราวจากปากของเผยลี่เชินเอง!
เธอเชื่อมั่นว่าเขาคือคนที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ แต่ทว่าเขากลับปิดบังเรื่องราวนี้ได้อย่างแยบยล!
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างของเธอเต็มแรง มีเลือดไหลออกมาเต็มปากของเธอ เธอหมุนตัวกลับ และรีบเดินออกไปข้างนอกในทันที
เธอสวมชุดราตรียาว พร้อมกับเดินย่ำบนรองเท้าส้นสูงที่เธอสวมมา ทำให้เธอไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก แต่ท่าทางของเธอนั้นดูรีบร้อนมาก เมื่อเธอวิ่งไปถึงประตูทางเข้าได้ เธอไม่ระมัดระวังและเตะเข้าไปที่พรมแดงที่ยังปูไม่เรียบร้อย ทันใดนั้นเธอก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เมื่อผู้คนที่อยู่ในล็อบบี้ได้ยินเสียงเข้าต่างก็รีบลุกเดินมาทางต้นเสียง ทันทีที่พนักงานโรงแรมเห็นว่าไป๋เสว่เอ๋อร์ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น พวกเขาก็รีบวิ่งมา พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณผู้หญิง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
บริกรชายที่สวมชุดทักซิโด้ยื่นมือมาให้เธอ ขณะที่เขากำลังจะช่วยประคองไป๋เสว่เอ๋อร์นั้น ทันใดนั้น ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลังของบริกรชาย “ถอยไป!”
บริกรชายชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นใบหน้าอันเย็นชาและเคร่งขรึมของเผยลี่เชิน ทันใดนั้น ตัวของเขาก็สั่นเทา พร้อมกับชักมือกลับเข้ามาในทันที
เผยลี่เชินถอดเสื้อสูทตัวนอกของเขาออกในทันที เขาโน้มตัวลง และนำเสื้อคลุมตัวนอกมาคลุมตัวของไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้ ซึ่งสามารถปกปิดใบหน้าของเธอได้อย่างพอดิบพอดี
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็อุ้มไป๋เสว่เอ๋อร์ขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยน้ำตา สายตาของเธอเหม่อลอยเคว้งคว้าง
เผยลี่เชินก้าวเท้าและเดินไปข้างนอกอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร บรรดานักข่าวที่รออยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าต่างไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเผยลี่เชินกำลังอุ้มใครบางคนเดินออกมา พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที
“คุณเผยครับ ขอถามหน่อยครับว่าคุณที่อยู่ในอ้อมแขนของคุณคือ…”
ขณะที่คำถามของนักข่าวยังไม่ทันจบประโยคดีนัก เผยลี่เชินก็เลิกสายตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก และบ่งบอกถึงความโกรธจัดที่กำลังปะทุอยู่ภายใน “ออกไปให้หมด!”