เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 301 ขอร้องท่าน ดีกับเขาสักหน่อยได้ไหม!
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยกับเจ้าเมืองหลินต่างเข้าใจแล้ว หลินซูเหย่ายินยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รัก ล้วนเกิดจากความกตัญญู หวังว่าอาศัยเรื่องนี้เกลี้ยกล่อมเยี่ยเม่ย พิสูจน์ว่าเจ้าเมืองหลินจะไม่เป็นศัตรูกับนางอีกต่อไป
ขณะเอ่ยหลินซูเหย่าก็ร้องไห้ “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่รนหาที่ตายแน่ ข้าจะแต่งออกไปอย่างเชื่อฟัง ทำให้ท่านพ่อสบายใจ ให้ท่านพ่อวางใจ เขาจะไม่เป็นศัตรูกับท่านอีก ซ้ำยังจะขอบคุณท่านด้วย เขาอายุมากแล้ว บางครั้งก็เลอะเลือนไปชั่วครู่ ท่านให้อภัยเขาสักครั้งเถอะ เขาทำทุกอย่างไปก็เพื่อข้า!”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ เจ้าเมืองหลินก็รู้สึกแสบร้อนที่จมูก ตามมาด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
ชั่วขณะนี้เขาไม่สนใจสภาพของตนอีกแล้ว กลับรู้สึกปวดใจแทนบุตรสาวมาก
เยี่ยเม่ยมองเงียบๆ สิ่งที่หลินซูเหย่าคาดการณ์ไม่ผิด ถึงแม้แม่นางผู้นี้จะไม่ใช่คนมีคุณธรรมสูงส่ง แต่ก็ไม่ใช่พวกโจรชั่วช้าสามานย์เด็ดขาด นางมีความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แอบวางแผนการลับหลัง แต่ว่าความกตัญญูก็ยังมีอยู่
เยี่ยเม่ยนิ่งไป เอ่ยว่า “ตอนนั้นเจ้าบอกกับข้า ข้าจึงมาช่วยจิ่วหุนทัน เรื่องนี้ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้า จิ่วหุน เจ้าเป็นผู้รับเคราะห์ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เขาไม่ใช่ตัวการ” จิ่วหุนเอ่ยประโยคนี้ออกมา
คำตอบนี้ความหมายชัดแจ้งแล้ว เจ้าเมืองหลินไม่ใช่ตัวการ ก็แค่ถูกหลอกใช้เท่านั้น ในเมื่อติดค้างน้ำใจ หลินซูเหย่าครั้งหนึ่ง ปล่อยเขาไปก็ได้
เจ้าเมืองหลินชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนที่เขาคิดเล่นงานกำจัดให้เขาตาย ในเวลานี้กลับยอมปล่อยตัวเอง
หลินซูเหย่ามองจิ่วหุนทีหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา นางคิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนที่ไม่เคยไว้หน้านาง ไม่สนใจนางสักน้อยนิด ถึงกับยอมไว้ชีวิตบิดาของนาง
เห็นสีหน้าตกตะลึงของสองพ่อลูก จิ่วหุนมองเจ้าเมืองหลิน น้ำเสียงเล็กราวกับสัตว์ตัวน้อยเอ่ยว่า “คนที่เจ้าจะสังหารไม่ใช่พี่สาว ดังนั้นข้าอภัยเจ้าได้”
ถึงเขาเป็นนักฆ่า แต่เรื่องความแค้นในโลกนี้ เขาไม่ใส่ใจมากมายนัก ขอเพียงไม่แตะต้องเยี่ยเม่ย เรื่องอื่นก็ตกลงกันได้ ปมปัญหาที่สามารถคลี่คลายได้ เขาล้วนไม่ยี่หระ
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ประกายวาวโรจน์ในดวงตาหลินซูเหย่าก็หม่นหมองลงทันที
เดิมนางคิดว่าคำพูดนี้ของจิ่วหุนเกิดจากที่นางแอบส่งข่าวให้เยี่ยเม่ยช่วยเหลือเขา ดังนั้นเขามีความรู้สึกดีๆ กับนางสักน้อยนิด ทว่าคิดไม่ถึงเลย ที่แท้เพราะว่าไม่แตะต้องเยี่ยเม่ย ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจ
จิ่วหุนเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า ปรายตามองเจ้าเมืองหลินสองพ่อลูก เอ่ยว่า “ในเมื่อจิ่วหุนเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ปล่อยเจ้าไปสักครั้งหนึ่ง แต่ว่าเจ้าเมืองหลิน เจ้าจะรับรองได้หรือไม่ว่าต่อไปจะไม่เป็นศัตรูกับข้าอีก”
เจ้าเมืองหลินคิดไม่ถึงว่าจะหนีพ้นจากความตาย เขารีบโขกหัวให้เยี่ยเม่ยทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามเยี่ยเม่ยตรงๆ เพียงเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าหาใช่คนเนรคุณคน!”
ความจริงตั้งแต่แรกเริ่ม เยี่ยเม่ยกับจิ่วหุนหาได้ทำร้าย เพียงแค่จิ่วหุนไม่คิดสนใจ ไม่ไว้หน้าเขาเท่านั้น
แต่เขากลับคิดสังหารอีกฝ่าย
ยามนี้ผู้อื่นยังอภัยให้เขา ในใจของเจ้าเมืองหลินความจริงแล้วรู้สึกสำนึกผิด เขาเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยใช้คุณธรรมสยบความแค้น นับตั้งแต่นี้ไปชีวิตของข้าเป็นของแม่นางแล้ว!”
ถึงแม้จะบอกว่ากินเงินหลวง ต้องช่วยแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ แต่ว่าฝ่าบาทของพวกเขา เคยมอบความรู้สึกปลอดภัยสักเล็กน้อยให้เขาตั้งแต่เมื่อไรกัน
เยี่ยเม่ยไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งขุนนาง ทว่าคิดจะสังหารตนเองก็สังหารได้ เห็นได้ชัดว่าที่คือผลของฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถ ในฐานะขุนนางราชสำนัก กลับตกอยู่สภาพเช่นนี้ ยังมีใครกระตือรือร้นจะภักดีอีก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กลับไม่สู้สยบต่อคนที่มีความสามารถ ควบคุมความเป็นตายของตนได้จะดีกว่า!
เห็นเจ้าเมืองหลินเอ่ยเช่นนี้ด้วยสีหน้าหนักแน่น นัยน์ตายังมีภักดีหนักแน่น ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจ เดิมทีจะมาคิดบัญชี คิดไม่ถึงว่าจะเพิ่มผู้ช่วยให้กับตนอีกคนหนึ่ง
เจ้าเมืองชายแดน อำนาจในมือไม่น้อยเลย !
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จบลงแค่นี้ แต่ว่าเจ้าเมืองหลินทางที่ดีเจ้าหาตัวสาวใช้นางนั้นมาให้ข้า ในเมื่อคิดให้ร้ายข้า ก็ต้องมีโอกาสลงมืออีกครั้ง ตัวอันตรายเช่นนี้กำจัดไว้ก่อนจะดีกว่า!”
“แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ ข้าจะระดมกำลังหาอย่างเต็มที่!” เจ้าเมืองหลินรับปากทันที
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น “ข้าขอตัวก่อน ข้าจะรอฟังข่าวดี”
เมื่อเอ่ยจบนางก็จากไป จิ่วหุนติดตามไปอย่างว่องไว
ทว่าคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะถึงประตูเรือน
หลินซูเหย่าตะกายลุกขึ้น ติดตามมา “แม่นางเยี่ยเม่ย รอสักครู่!”
เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า หันกลับมองนาง
หลินซูเหย่ามองจิ่วหุน สายตาคู่นั้นคล้ายไม่อาจหักใจได้ ทว่าสุดท้ายก็รั้งสายตากลับ “แม่นางเยี่ยเม่ย เดินไปพูดไปด้วยได้หรือไม่ ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเวลามากแน่!”
“ได้!” เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน “เจ้ารอข้าที่นี่ เดี๋ยวข้าก็กลับมา”
“อือ” จิ่วหุนตอบรับอย่างเชื่อฟัง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เยี่ยเม่ยกับหลินซูเหย่าเดินห่างออกไปได้ร้อยเมตร ก็ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยสองต้นที่สงบเงียบไร้ผู้คน
หลินซูเหย่ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “ความจริงข้ารู้ว่า ทำไมเขาถึงปกป้องท่าน เขาไม่ชอบข้า เพราะพวกท่านถึงเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ข้าหาใช่คนในโลกเดียวกับพวกท่าน”
เยี่ยเม่ยไม่เอ่ย
หลินซูเหย่าหัวเราะเย้ยตัวเอง “หลายปีมานี้ ข้าใช้ชีวิตอยู่ในเรือน มีความสามารถแข่งขันต่อสู้กันในจวน สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการยุแยงปลุกปั่น กระพือไฟเพื่อบรรลุจุดหมายของตนเอง เรื่องฝีมือและลูกไม้เหล่านี้ หาได้อยู่ในสายตาท่าน แม่นางเยี่ยเม่ย เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ท่านรู้ว่าข้าทำลายชื่อเสียงท่านอยู่ลับหลัง แต่เพราะอะไรท่านถึงไม่คิดเล็กคิดน้อย…ตอนแรกข้าคิดว่าท่านใจกว้าง แต่เรื่องจิ่วหุนครั้งนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เป็นเพราะพวกท่านล้วนเป็นคนผ่านโลกมามาก ความเป็นตายเป็นเรื่องแค่กะพริบตา ดังนั้นท่านคร้านที่จะเอาความกับข้า”
นางเข้าใจแล้ว สายตาของนางมองเห็นโลกอยู่ที่เบื้องหน้า ส่วนโลกในสายตาของเยี่ยเม่ยนั้นอยู่สูงล้ำขึ้นไป
“ดังนั้นนอกจากขอร้องให้ช่วยพ่อเจ้าแล้ว ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจ้ายอมปล่อยจิ่วหุนด้วยหรือ” เยี่ยเม่ยถามเสียงนิ่ง ความจริงนับตั้งแต่ครั้งก่อนที่หลินซูเหย่าเป็นลม นางก็รู้แล้วว่า หลินซูเหย่าอาจเลือกยอมถอย
หลินซูเหย่าหัวเราะเอ่ย “ใช่แล้ว เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขา แต่ในใจข้าเอาแต่ใฝ่ฝัน คิดว่า…หากเป็นไปได้เล่า แต่จนถึงวันที่เขาถูกลอบสังหาร ข้าเห็นศพมากมายในห้องเขา ล้วนเป็นคนที่เขาฆ่า…ส่วนข้าไม่มีแม้แต่ความกล้ามองซากศพพวกนั้น ตกใจจนเป็นลมไป ข้าก็เข้าใจทันทีว่าข้ากับเขาหาใช่คนบนโลกเดียวกัน”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หลินซูเหย่ากลับรู้สึกสบายตัวขึ้น “แม่นางเยี่ยเม่ย เมื่อเอ่ยเรื่องพวกนี้กับท่าน ก็อยากให้ท่านรู้ว่าข้าตัดสินใจจากไป ไม่ใช่แผนการใดๆ”
เมื่อเอยจบ ในตานางมีน้ำตาคลอขึ้นมา จ้องมองเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่รู้เพราะอะไร ข้ารู้สึกว่าเขาช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน ข้าไม่อาจอยู่ข้างเขาได้ ดังนั้นแม่นางเยี่ยเม่ย ขอร้องท่านล่ะ ภายหน้าช่วยดีกับเขาสักหน่อยได้หรือไม่”