เห็นท่าทางแข็งกร้าวของเป่ยเฉินเสียง ฮองเฮาก็ชะงักไปเล็กน้อย
ฮองเฮาย่นคิ้ว “เพราะอะไร เรื่องนี้ต้องรีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าก็รู้ว่า หากเจ้าแต่งงานกับนางก่อนแต่งกับจงรั่วปิง คนตระกูลจงต้องไม่ยินดีแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็ได้ไม่คุ้มเสีย”
“แต่ในยามนี้ การแต่งงานกับแม่นางผู้นั้น ไม่อาจชะลอไปได้” เป่ยเฉินเสียงย่นคิ้ว “ส่วนจงรั่วปิง นางคือพระชายาเอก หากจะแต่งงาน จำเป็นต้องเตรียมพิธีการเป็นเวลาหลายเดือน รอจนถึงเวลานั้นก็ไม่ทันการณ์แล้ว”
สีหน้าของฮองเฮาพลันขรึมลงหลายส่วน จ้องเป่ยเฉินเสียงเอ่ยว่า “เจ้าต้องบอกมาให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแม่ไม่อาจรับปากเจ้า”
เมื่อเอ่ยจบ นางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ รอคำตอบของ เป่ยเฉินเสียง
เป่ยเฉินเสียงเดินเข้าไปข้างกายฮองเฮา เอ่ยปากว่า “เสด็จแม่ ลูกพูดถึงแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ก็คือคนที่ทำร้าย ซือถูเฉียงบาดเจ็บ”
“อะไรนะ” ฮองเฮาเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด “หรือว่าเจ้าก็พลอยหลงเสน่ห์สตรีนางนั้นไปด้วย”
สีหน้าเป่ยเฉินเสียงกระอักกระอ่วน ตอบตามตรงว่า “เสด็จแม่ ลูกไม่ปฏิเสธว่ายามพบกันครั้งแรก ลูกหวั่นไหวจริง ๆ หลังจากนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินร่วมทางกัน สำหรับนางแล้ว ลูกเหลือแต่ความคิดสังหารนางเท่านั้น ”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮาก็วางใจ ถามต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะแต่งงานกับนางเพื่ออะไร ทั้งยังต้องรีบร้อนถึงขั้นนี้ด้วย”
เป่ยเฉินเสียงรีบเอ่ยปาก “ก็เพราะว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชอบนาง ดังนั้นเป็นไปได้อย่างมากที่นางจะกลายเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา เมื่อนางเป็นพระชายารองของลูก ก็เท่ากับกุมจุดอ่อนเขาไว้ในมือ สำหรับท่าน เสด็จพ่อ ลูก รวมถึงราชสำนักเป่ยเฉิน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮามุ่นคิ้ว “เจ้ามั่นใจว่านางมีผลกระทบต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้รุนแรงเช่นนี้จริง ๆ หรือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชอบสตรีนางนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกิดจากนิสัยชั่วร้ายชอบทรมานคนของเขาเท่านั้น”
“ลูกมั่นใจ” น้ำเสียงของ เป่ยเฉินเสียงหนักแน่นมาก
ไม่ช้าเขาเสริมขึ้นว่า “ความเข้าใจที่ลูกมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่เรื่องวันสองวันนี้ไม่ เขาคิดจะหลอกล้อสตรีนางนั้น หรือว่าจริงใจกับนาง ลูกมองออกอย่างชัดเจน ขอเพียงพวกเราเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง ควบคุมแม่นางเยี่ยเม่ยไว้ในมือ ภายหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกล้าเป็นศัตรูกับพวกเราอีกหรือ”
ฮองเฮาฟังจบ กลับไม่คิดในแง่ดีอย่างเป่ยเฉินเสียง นางถามว่า “แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่า หากพวกเราทำเช่นนั้น ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดโทสะ จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจจัดการได้”
“หรือยังมีผลลัพธ์อื่นอีก ตามนี้ก็จัดการไม่ได้แล้วมิใช่หรืออย่างไร” สีหน้าเป่ยเฉินเสียงส่อแววเย้ยหยัน “ไม่เพียงแต่เขาทำร้ายลูกจนเป็นเช่นนี้ ซ้ำยังวางยาพิษหนอนในร่างลูกด้วย ท่านหมอหลวงไร้หนทางแล้ว ลูกยังไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอีกนานเท่าไหร่”
“อะไรนะ หมอหลวงก็จนปัญญาหรือ” ฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะร้ายแรงเช่นนี้
สีหน้าของหน้าเขียวคล้ำ “เขา…เขามันเป็นเดียรัจฉาน”
เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปาก “ลูกเตรียมจะไปตำหนักเขาหลินซานสักเที่ยวหนึ่ง ดูว่าเสินเซ่อเทียนมียาถอนพิษหรือไม่ หากไม่มี เกรงว่าชีวิตของลูกคงไม่อาจยืนยาวแล้ว”
“เสินเซ่อเทียนจะช่วยเจ้าหรือไม่” ฮองเฮา ขมวดคิ้วอีกครั้ง
เป่ยเฉินเสียงแค่นหัวเราะ เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ถึงเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากกว่า แต่ครั้งนี้เขาให้เป่ยเจี้ยนเกอช่วยลูก ก็ดูออกว่า เขารู้ว่าเมื่อลูกตายแล้ว ราชสำนักเป่ยเฉินจะต้องวุ่นวาย กระทบถึงอนาคตของบ้านเมือง ดังนั้นหากเขามีวิธี ลูกเชื่อว่าเขาต้องช่วยชีวิตลูกแน่”
“เช่นนั้นก็ดี” ยามนี้ฮองเฮารู้สึกวางใจ ลังเลอยู่สักครู่ ก็เอ่ยปากว่า “เรื่องของเยี่ยเม่ย ข้าจะปรึกษากับเสด็จพ่อเจ้า พยายามให้เสด็จพ่อเจ้าพระราชทานงานแต่งงานให้ในเร็ววัน หากเขาไม่ยินยอม แม่จะออกราชเสาวนีย์ไป ส่วนตระกูลจง ก็ได้แต่ลำบากพวกเขาแล้ว”
คราวนี้เป่ยเฉินเสียงกลับรู้สึกแปลกใจ “เสด็จแม่ ท่านไม่คัดค้านหรือ”
ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าพูดถูก เวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล้าวางยาพิษเจ้า อย่างนั้นข้ายังต้องกลัวเขาทำเรื่องอื่นอีกหรือ ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมให้เจ้าอยู่อย่างสบาย แม่ก็ไม่ยอมให้พวกเขาได้เสวยสุขเช่นกัน”
“ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่” เป่ยเฉินเสียงรีบแสดงความซาบซึ้งใจออกไป
ฮองเฮาพยักหน้ารับ โบกมือ “เจ้าอย่าพูดมากความอีกเลย รีบไปที่ตำหนักหลิงซานหาเสินเซ่อเทียน หายาถอนพิษเสียก่อน”
“รับบัญชา” เป่ยเฉินเสียงรีบตอบรับ “ลูกขอตัวแล้ว”
……
ข่าวที่จิ่วหุนหนีออกจากบ้าน แพร่สะพัดไปทั่ว
ทั่วทั้งเมืองชายแดนนี้ ทุกคนต่างก็รู้กันหมด แน่นอนว่าองค์ชายสี่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้เรื่อง
ยามที่อวี้เหว่ยได้ข่าว ตอนที่รายงานเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้ใส่ใจมาก เขาเลิกคิ้วอย่างไม่สนใจ น้ำเสียงไพเราะแฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจ “จากไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ นับตั้งแต่นี้ไป ก็ไม่ต้องมองเห็นใบหน้าชวนรังเกียจนั่นอีกแล้ว สำหรับเยี่ยนถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง”
อวี้เหว่ยมองท่าทางสบายอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ย พลันร้อนรนเอ่ยว่า “แต่เตี้ยนเซี่ย ทุกคนต่างก็ออกตามหาเขา หากว่าพบตัวแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยจะต้องไปปลอบโยนแน่ เมื่อไปปลอบโยน ไม่แน่ว่าเรื่องบาดเจ็บปลอมอาจจะถูกเปิดโปงได้แล้ว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้คนอื่นไม่กล้าเปิดโปงท่านต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย แต่จิ่วหุนกล้าทำ ยามนี้เขาก็แค่ไม่รู้ความจริงก็ช่างเถิด แต่หากเขาเอ่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยถึงเรื่องนี้…”
เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงมีสีหน้าสบายอารมณ์ดังเดิม ค่อยๆ เอ่ยปากว่า “สั่งการลงไป ให้คนพวกเราคอยระวังไว้ ออกตามหาก็ได้ เชื่อว่าพวกเขาไม่โง่เขลาถึงเพียงนั้น ตามตัวจิ่วหุนกลับมา คิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรืออย่างไร”
“นี่…” มุมปากอวี้เหว่ยกระตุก “เตี้ยนเซี่ย ท่านช่างมองโลกในแง่ดีนัก ไม่รู้ว่าเพราะทุกคนต่างเห็นใจจิ่วหุนเป็นพิเศษ รู้สึกว่าครั้งนี้ท่านทำเกินไปแล้ว ดังนั้นทุกคนล้วนช่วยเหลือแม่นางเยี่ยเม่ย ตั้งใจออกตามหาร่องรอยของจิ่วหุน”
“อะไร” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหลือบมอง สายตาทอแสงมารสีแดง น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ “เมื่อก่อนไฉนเยี่ยนไม่เคยรู้เลยว่าคนพวกนี้มีความเห็นใจผู้อื่นด้วย พวกเขามีจิตใจดีงามจริง ๆ หรือว่าจงใจเป็นศัตรูกับเยี่ยน”
อวี้เหว่ยรีบช่วยคนทั้งหมดพูด “เตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ท่านไม่อาจโทษทุกคนเช่นนี้ ท่านทำเรื่องรังแกคนอย่างร้ายกาจ ความจริงข้าน้อยยังรู้สึกเห็นใจจิ่วหุนอยู่บ้าง แต่ข้าน้อยต้องยืนอยู่ข้างท่านอย่างแน่นอน”
เห็นใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าการเลือกฝั่งก็เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกอย่างชัดเจน
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่นคิ้ว มองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง ค่อย ๆ ถามว่า “การกระทำของข้า ชวนให้คนเห็นใจจิ่วหุนขนาดนี้จริงหรือ”
“ถูกต้อง” อวี้เหว่ยพยักหน้า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจแล้ว เอ่ยช้า ๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนก็วางใจแล้ว”
อวี้เหว่ย “เอ๋”
เขาฟังผิดแล้วใช่หรือไม่
ส่วนองค์ชายสี่ อธิบายช้า ๆ “นี่ก็หมายความว่าความห่วงของเยี่ยน ทำให้ที่คนทั้งหลายเห็นแล้ว กลัวก็แต่ว่าเยี่ยนห่วงใยเขาไม่เพียงพอ ถึงทำให้คนทั้งหลายยังเป็นห่วงกังวลว่า เขาได้รับความลำบาก หรือต้องว่าต้องการความเห็นใจจากทุกคนหรือไม่”
ยามนี้อวี้เหว่ยยิ่งตัวสั่น ในใจเข้าใจแล้ว เตี้ยนเซี่ยทำกับจิ่วหุนเช่นนี้ ในใจเตี้ยนเซี่ยไม่สำนึกเสียใจเลยสักน้อย ไม่เพียงแค่สาแก่ใจ ทั้งยังคิด ‘ห่วงใย’ มากขึ้นอีก รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เห็นใจจิ่วหุน ปลุกความไม่พอใจในตัวเตี้ยนเซี่ยขึ้นมาแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ทุกที่เต็มไปด้วยศพของเหล่าทหาร ส่วนปีศาจที่สังหารคนก็คือเตี้ยนเซี่ยผู้มีจิตใจโหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ใช่…เตี้ยนเซี่ยที่มี ‘จิตใจเมตตา’ อวี้เหว่ยผู้มีจิตใจเห็นแก่ส่วนรวม เอ่ยปากเตือนว่า “เตี้ยนเซี่ย เช่นนั้นยามนี้ข้าน้อยจะไปเตือนแม่ทัพทั้งหลายเสียหน่อย ไม่ให้พวกเขาตามหาเสี่ยวจิ่วอย่างตั้งใจเกินไป”
มิเช่นนั้นจากท่าทางของเตี้ยนเซี่ยเวลานี้ หากมีแม่ทัพคนไหนหาตัวจิ่วหุนเจอ คงไม่อาจรักษาชีวิตคนเอาไว้ได้
สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้น สาวเท้าก้าวเดินออกนอกประตูไป
เขามีท่วงท่าสง่างามราวแมวเปอร์เซีย แต่หว่างคิ้วเผยความอำมหิตยากเก็บงำ กล่าวเสียงเนิบว่า “ไม่ต้องแล้ว เยี่ยนจะไปเตือนพวกเขาเอง เยี่ยนกลัวว่าเจ้าจะเตือนไม่ดีพอ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักถอย จะตายอย่างอนาถในสนามรบ”
อวี้เหว่ยพลันกระตุกมุมปาก ในใจได้แต่แอบเหงื่อตกแทนเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ดูท่าคนที่เตี้ยนเซี่ยต้องการสังหารคน ทั้งไม่คิดสังหารในทันที เตรียมส่งคนทั้งหลายเข้าไปทรมานในสนามรบจนตาย
……
ภายในเมืองชายแดน
เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วตั้งใจสั่งการให้เหล่าทหารออกตามหาไปทั่ว
เซียวเยว่ชิงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ไม่รู้ว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วไปที่ใดกันแน่ ตามหามาครึ่งค่อนวันแล้ว ร่องรอยสักน้อยก็ไม่มี”
“นั่นน่ะสิ ช่างชวนให้กังวลใจนัก” หลูเซียงฮั่วที่อยู่ด้านข้างเสริมขึ้น
พวกเขาสองคนล้วนสัมผัสไม่ได้ถึงไอปีศาจที่อยู่ด้านหลังตนที่ค่อย ๆ เคลือบคลานเข้ามา อีกทั้งต้นกำเนิดของไอปีศาจกลุ่มนั้นมาจากองค์ชายสี่ปีศาจของพวกเขานั่นเอง
อวี้เหว่ยมองสีหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวัง…
ส่วนอีกสองคน ยังไม่ตระหนักรู้เลยสักน้อยว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินมาถึงด้านหลังแล้ว
เซียวเยว่ชิงเอ่ยปากว่า “เจ้าว่า คุณชายเสี่ยวจิ่วจะเกิดเรื่องหรือไม่”
“จะคิดไม่ตกหรือไม่” หลูเซียงฮั่วสีหน้ากังวล
ในขณะที่ เซียวเยว่ชิงเตรียมจะเอ่ยวาจา พลันมีเส้นเสียงไพเราะสายหนึ่ง ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกเขา “พวกเจ้าเป็นห่วงคุณชายเสี่ยวจิ่วผู้นั้นมากใช่หรือไม่”
“ถูกแล้ว” ทั้งสองเอ่ยปากตอบออกมาพร้อมกัน
หลังจากตอบเสร็จ ถึงคิดได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เรียวคิ้วของทั้งคู่เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย หัวใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
นั่นคือ…
พวกเขาทั้งสองกลัว ๆ กล้า ๆ หันกลับมองตัวสั่น ก็เห็นใบหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยนขององค์ชายสี่
ก็เพราะรอยยิ้มอ่อนโยนจนเกินไป ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย ยิ่งทวีความร้ายกาจเข้าไปใหญ่
เซียวเยว่ชิงไม่พูดมากความ เอ่ยตัดความเกี่ยวข้องอย่างทันที “เตี้ยนเซี่ย การตามหาคุณชายเสี่ยวจิ่วคือความต้องการของแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นแม่ทัพใหญ่ คำพูดของนางข้าน้อยมิอาจไม่เชื่อฟัง ดังนั้นข้าน้อยถึงได้กระวนกระวายใจเช่นนี้ หาใช่เป็นเพราะข้าน้อยกับคุณชายเสี่ยวจิ่วมีการคบหากันเป็นการส่วนตัว ขอให้เตี้ยนเซี่ยพิจารณาด้วย”
เขาไม่มีทีท่ายอมรับว่าตนเองเห็นใจจิ่วหุนเลยสักน้อย
หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยว่า “ถูกแล้ว ข้าน้อยกับแม่ทัพเซียวมีความคิดเช่นเดียวกัน ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ในเรื่องเดียวกันนี้ พวกเราทั้งสองที่มีฐานะและตกอยู่ในความลำบากเช่นเดียวกัน พวกเราไม่มีทางคิดเป็นศัตรูกับเตี้ยนเซี่ย อีกทั้งพวกเราหาได้สนิทกับเสี่ยวจิ่ว คำพูดของข้าน้อยเป็นจริงทุกคำ”
“จริงหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะ น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยว่า “ที่แท้พวกเจ้าออกตามหาเขาเพราะคำสั่ง มิได้เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งเป็นคนไม่คุ้นเคยกัน เมื่อครู่ยามเห็นสีหน้ากระวนกระวายของพวกเจ้า เยี่ยนกำลังใคร่ครวญว่า คนที่หนีออกจากบ้าน ใช่มารดาชราที่บ้านของพวกเจ้าหรือเปล่า”