ตอนที่ 221 เผชิญหน้ารุ่นพี่
บางทีอาจเป็นเพราะเผยลี่เชินหายใจรดต้นคอเธออยู่ด้านหลัง ไป๋เสว่เอ๋อร์จิงรู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง จากนั้นเธอก้าวไปข้างหน้า “ฉันไม่เคยแพร่งพรายหนังสือประมูลของบริษัท”
“แล้วนี่คืออะไร?”
เผยลี่เชินวางโทรศัพท์ในมือของเขาบนโต๊ะโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์หยิบขึ้นมาดู สีหน้าถึงกับซีดเผือด
เป็นภาพที่เธออยู่กับเสิ่นหรูเฟิง
เธอกำโทรศัพท์แน่น มองเผยลี่เชินด้วยความตกตะลึง “ฉันเคยพบเสิ่นหรูเฟิงจริง แต่ฉันก็ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับหนังสือประมูลให้เขารู้”
“จริงเหรอ?” เผยลี่เชินถามกลับด้วยน้ำเสียลดต่ำลง แต่เขาก็มองสายตาของไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยความสงสัย
ไป๋เสว่เอ๋อร์เศร้าใจ รู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้เหมือนคนแปลกหน้ามากขึ้น
เธอคิดว่าตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเผยลี่เชิน เธอคือคนพิเศษเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ตอนนี้เธอเห็นเขามองด้วยสายตาแบบนี้ ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้านชา
“คุณไม่เชื่อฉัน?” ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามด้วยเสียงสั่ง เสียงสะอื้น
เธอรู้ว่าเรื่องหนังสือการประมูลที่รั่วไหลต้องเป็นฝีมือคนในบริษัท แต่เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่เห็นหนังสือฉบับร่างครั้งสุดท้าย แน่นอนย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เผยลี่เชินกลับใช้เพียงแค่รูปถ่ายไม่กี่ใบ ก็สงสัยว่าเธอเป็นคนทำ ระหว่างเขาสองคนยังมีความเชื่อใจได้อีกหรือ?
เธอเป็นเพียงเลขาตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาสงสัยเธอ เธอก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ แต่นี่เธอเป็นแฟนของเขา อยู่เคียงข้างเขาเมื่อต้องเจอมรสุมชีวิตมากมาย….
ดวงตาของเผยลี่เชิน แสดงให้เห็นอารมณ์แข็งกร้าว
“บอกฉันมา ไป๋เสว่เอ๋อร์ ว่าใช่เธอหรือเปล่าที่ทำ?”
ใจของไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกถูกบีบอัด น้ำตาไหลออกจากเบ้าตา เธอนิ่งไปสองสามวินาที จากนั้นลุกขึ้นยืนจ้องมอง เผยลี่เชินพร้อมกับคำพูด “ในเมื่อคุณไม่เชื่อใจฉัน แล้วจะมาถามฉันทำไม ในใจคุณมีคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”
หลังจากที่ทิ้งคำถามไว้ เธอหันหลังกลับรีบเดินออกจากห้องหนังสือ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างไปไกล ขมับของเผยลี่เชินเต้นถี่จนเขาต้องยกมือขึ้นกดไว้ แต่คิ้วของเขาก็ยังไม่จางคลายออก
เธอไม่อยากสงสัยไป๋เสว่เอ๋อร์ แต่ว่าหลักฐานมันชี้ชัดเจนว่าเป็นเธอ ทั้งภาพถ่าย แล้วยังไม่ไฟล์เอกสารที่ถูกลบออกจากคอมพิวเตอร์เธอ….มันกดดันจิตใจเขา ทำให้เขาไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับมัน
ที่ประตูมีเสียงฝีเท้าเดินมาอย่างรีบร้อน ป้าจางเคาะประตูและร้องเรียกด้วยความกระวนกระวายใจ “คุณผู้ชาย! ดึกป่านนี้แล้วคุณไป๋ยังออกไปข้างนอกอีก? ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง”
เผยลี่เชินขมวดคิ้วเข้ม ลังเลสักครู่ ก่อนจะกำชับป้าจาง “ให้คนตามเธอไป อย่าให้เธอหนีไป รอให้เธอใจเย็นสักพักแล้วค่อยพาเธอกลับมา”
ป้าจางพยักหน้ารับทราบ รีบลงบันไดตะโกนเรียกคนรถ
ในห้องหนังสือกลับมาสงบอีกครั้ง เผยลี่เชินก้มลงมองรูปภาพในโทรศัพท์มือถือ ลังเลอยู่นาน
ทำไมจู๋ๆ ตอนที่ไป๋เสว่เอ๋อร์และเสิ่นหรูเฟิงพบกันถึงมีคนถ่ายภาพไว้ได้? หรือมีคนจงใจ?
ความสงสัยค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด จากนั้นเผยลี่เชินก็รีบโทรศัพท์ “ฮัลโหล พวกเธอไปได้ภาพเสิ่นหรูเฟิง มาจากที่ไหนกัน….”
หลังออกจากคฤหาสน์ เธอเองก็ไม่รู้จะไปไหน ดวงตาทั้งสองข้างถูกบดบังด้วยน้ำตา เธอวิ่งออกไปถึงถนนใหญ่ เห็นรถแท็กซี่จึงโบกแล้วขึ้นรถไป
คนขับรถถามตามปกติ “คุณผู้หญิง จะไปไหนครับ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไปเพราะตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ไม่อยากกลับบ้าน จากนั้นก็บอกสถานที่ที่จะไป
ในสถานการณ์แบบนี้ ไปหาเจียงหวั่นหวั่นน่าจะดี
เมื่อก่อนเธอเคยไปบ้านเจียงหวั่นหวั่น ยังพอจำที่อยู่ได้ เธอคิดว่าไปถึงที่นั่นแล้วค่อยพูดกับเจียงหวั่นหวั่น ก็ไม่สาย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถแท็กซื่อมาถึงจุดหมาย เธอจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ลงจากรถ โทรศัพท์หาเจียงหวั่นหวั่น
เสียงโทรศัพท์ดังแต่ไม่มีคนรับสาย โทรไปกี่ทีก็ไม่มีคนรับ
หรือว่าเธอจะนอนหลับแล้ว?
เธอยืนอยู่หน้าประตู เห็นรถยนต์วิ่งกวักไกว่ไปมาบนถนน อีกทั้งผู้คนยังคงเดินไปมาอยู่บนฟุตบาท แต่เธอกลับรู้สึกเย็นๆ โดยไม่รู้ตัว
ในช่วงเวลานั้นเธอไม่มีใครให้พักพิงเลยสักคน
เธอหันกลับไปมองประตูบ้านเจียงหวั่นหวั่น หายใจเข้าลึกๆ คิดว่าจะหาโรงแรมนอนค้างสักคืน แต่ใครจะรู้พอเธอหันกลับมาก็ชนไหล่ของใครคนหนึ่งเข้า
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเจ็บที่หน้าอก จนร่างเซไปด้านหลัง แต่ดูเหมือนจะมีฝ่ามือขนาดใหญ่มาคว้าเอวเธอไว้ แล้วลากเธอให้ยืนอย่างมั่นคง
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบพูด “ขอโทษคะ”
เธอยังไม่ทันได้เงยหน้า ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น “ชิง…ชิง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตะลึง รู้สึกว่าเสียงคุ้นๆ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าหล่อเหล่า ทำให้เธอยังคงตะลึง
รูปทรงใบหน้าที่ดูอ่อนโยน สายตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว มีรอยยิ้มที่มุมปาก ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อพบเห็น
“รุ่นพี่ลู่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ทั้งดีใจทั้งตกตะลึง มองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง แน่ใจว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเธอคือรุ่นพี่ลู่เหยา ที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงอดถามไม่ได้ “ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ตามที่เธอรู้ หลังจากลู่เหยาเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ หลังจากกลับมา ก็มาทำธุรกิจของครอบครัวที่เมืองจิงเฉิง ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างจากไห่เฉิง แต่ลู่เหยางานยุ่งมาก ไม่เคยมีเวลากลับมาสังสรรค์กับเพื่อนเก่าเลย
“ช่วงนี้ฉันมาขยายธุรกิจที่ไห่เฉิง ก็เลยมาอาศัยอยู่ละแวดนี้สักพัก” ลู่เหยายิ้มด้วยความอบอุ่น “เธอล่ะ? ทำไมมาอยู่ที่นี่?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มเฝื่อนๆ หลังจากได้ยินคำถามนี้ “ฉันมาหาเพื่อน แต่โทรศัพท์หาเธอเท่าไรก็ไม่ติด”
“ไม่มีที่ไปใช่ไหม?” ดูเหมือนว่าเขาจะมองไป๋เสว่เอ๋อร์ออกว่าคิดอะไร จากนั้นลู่เหยาก็ส่งยิ้มให้
“งั้นไปบ้านพักของฉันก่อน ฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ยังมีห้องว่างอยู่ เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจเมื่อได้ยิน ยังไม่ทันตอบอะไร ก็ได้ยินเสียงอบอุ่นของเขา “ขอโทษที ฉันรีบร้อนไปหน่อย เลยลืมคิดไป กลับมาเจอกันครั้งแรกก็ชวนเธอเข้าบ้านฉันแล้ว แน่อนมันไม่เหมาะสม”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้ามองลู่เหยา อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ “รุ่นพี่ยังคงเหมือนเดิม เข้าใจและคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนเสมอ เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก”
“เธอเองก็สวยกว่าเดิม เมื่อก่อนยังเป็นเด็กตัวกะเปียก แต่ตอนนี้เป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและสง่างาม”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงยิ้มให้โดยไม่รู้ตัว “รุ่นพี่…พวกเราอย่ามัวแต่ยอกันเองอยู่เลยอยู่เลย”
ลู่เหยายิ้ม “งั้น ไปกินอาหารค่ำกับฉันนะ?”
เดิมทีไป๋เสว่เอ๋อร์อารมณ์ขุ่นมัว แต่พอได้มาเจอลู่เหยาโดยบังเอิญแบบนี้ ทำให้เธอสบายใจขึ้น เธอหายใจลึกๆ ส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้า “คะ”
เดินตามลู่เหยาไปถึงร้านโจ๊ะที่อยู่ละแวกนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้กลิ่นหอมๆ ของโจ๊กไปถึงโพรงจมูก เธอเห็นมีโจ๊กหลากหลายประเภท จนลังเลใจ ลู่เหยาซึ่งอยู่ข้างๆ ก้มหัวพร้อมกับคำถาม “ยังชอบกินโจ๊กบัวลอยถั่วแดงเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า?”
โจ๊กบัวลอยถั่วแดงเป็นสิ่งที่ไป๋เสว่เอ๋อร์เคยชอบมากที่สุด แม้ว่าเธอไปกินบาร์บีคิวกับเพื่อน แต่เธอก็มักจะกินโจ๊กบัวลอยถั่วแดงด้วย
ไป๋เสว่เอ๋อร์ประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าลู่เหยายังจำได้ว่าเธอชอบกินโจ๊กบัวลอยถั่วแดง
บางทีอาจเป็นเพราะอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกัน ทำให้จมูกไป๋เสว่เอ๋อร์มีสีแดง ดวงตาแวววาว เธอพยักหน้าตอบรับ “ชอบคะ