ตอนที่ 246 หาคนมาดูแลเธอ
“ไม่คุ้มค่า” คำสามคำนี้เปรียบได้กับมีดที่แสนคม เชือดเฉือนลึกลงไปยังกลางหัวใจของเผยอี้ เขากำมือเอาไว้แน่นอย่างเงียบๆ และเงยหน้าขึ้นมองไปที่เผยลี่เชิน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ฝืนตัวเองและเก็บความโกรธที่ปะทุในหัวใจเอาไว้ พร้อมกับกัดฟันพูดออกมาว่า “ได้ ฉันก็แค่อยากจะดูว่าครั้งนี้ฉันจะสามารถเสนอเรื่องการร่วมมือกันครั้งนี้ได้สำเร็จไหมก็เท่านั้น!”
เมื่อพูดจบ เผยอี้ก็ลุกขึ้น และรีบเดินไปทางบันไดโดยไม่หันกลับมามองในทันที
ทำไมเผยลี่เชินถึงได้คอยปฏิเสธและขัดขวางเขาตั้งแต่แรกอยู่เรื่อย ในไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่ง เขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเผยลี่เชินเลยแม้แต่นิดเดียว!
เมื่อภาพด้านหลังของเผยอี้ค่อยๆ หายลับไปจากบริเวณหน้าบันได คุณพ่อเผยก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบาๆ “เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ”
เมื่อเผยลี่เชินได้ยินดังนั้น เขานิ่งเงียบและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ในตอนนั้นก็ค่ำแล้วทีเดียว ไป๋เสว่เอ๋อร์และเผยลี่เชินจึงกล่าวลาคุณท่านเผย และออกจากคฤหาสน์หลังเก่าของเผยซื่อในทันที
หลังจากขึ้นรถไปและรถยนต์ได้เคลื่อนออกไปยังถนนด้านนอกแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพร้อมพูดออกมาว่า “เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าคุณลุงท่านเป็นห่วงคุณและเผยอี้เป็นอย่างมาก”
“อย่างนั้นเหรอ” เผยลี่เชินหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “คงเป็นห่วงแค่เผยอี้คนเดียวมากกว่า”
เมื่อได้ยินเผยลี่เชินพูดออกมาแบบนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
ดูเหมือนว่าความเข้าใจผิดและความขัดแย้งระหว่างเผยลี่เชินและคุณท่านเผยยังคงมีอยู่และไม่จางหายไปไหน ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ในตอนนี้ ต้องอาศัยเวลาค่อยๆ แก้ไขไปทีละขั้น
วันต่อมา ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับมาทำงานอย่างเป็นทางการ ส่วนเผยลี่เชินนั้นก็ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว ตลอดทั้งช่วงเช้าและบ่ายนั้น เขาต้องเข้าร่วมประชุม 2 – 3 ครั้งด้วยกัน เพื่อเจรจาหารือในเรื่องการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างหุ้นส่วน
ในขณะเดียวกัน ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินมาว่าเผยอี้กลับมาที่บริษัทแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากคำพูดของคุณท่านเผยเมื่อคืนวานที่ไปกระตุ้นให้เขาทำเช่นนั้น เขาถึงได้กลับมาเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาการร่วมมือทางธุรกิจนี้
วันนี้เผยลี่เชินต้องออกไปข้างนอกบริษัทเพื่อเลี้ยงรับรองบรรดาหุ้นส่วนของเขาในตอนเที่ยง ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงทำงานอยู่ที่ห้องทำงานของประธานบริษัท เมื่อถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ทันทีที่เธอออกมาจากห้อง เธอก็พบกับเสี่ยวจางและเสี่ยวหลิว
เสี่ยวจางยิ้มทักทายไป๋เสว่เอ๋อร์ “พี่เสว่เอ๋อร์คะ นี่กำลังจะไปกินข้าวหรือเปล่าคะ ไปกินข้าวกับพวกเราไหมคะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มและพยักหน้า “ได้ค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ เสี่ยวหลิวที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นก็มีสีหน้าที่ดูลังเลอย่างมาก เธอเอ่ยปากพูดออกมาว่า “แต่ว่าวันนี้พี่เยว่หรูก็ไปกินข้าวกับพวกเรานะ…”
เสี่ยวจางพูดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “จะเป็นอะไรไปล่ะ พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานทำงานอยู่แผนกเดียวกัน ไปกินข้าวด้วยกันได้อยู่แล้ว!”
เมื่อสังเกตเห็นว่าเสี่ยวหลิวรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ได้ในทันที ขณะที่เธอกำลังจะหาข้ออ้างขอปลีกตัวไม่ร่วมทานข้าวด้วย ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอในทันที
สวี่เยว่หรูเดินผ่านไป๋เสว่เอ๋อร์ไปด้วยใบหน้าที่แสนเยือกเย็น เมื่อเธอกวาดสายตามองไปที่หญิงสาวทั้งสามคน ในที่สุด สายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่เสี่ยวหลิว เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “พวกเธอไปเถอะ”
เมื่อพูดจบ สวี่เยว่หรูก็หันหลังและเดินจากไป โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองพวกเธอ
เสี่ยวหลิวทั้งรู้สึกผิดรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที “แย่ละ พี่เยว่หรูต้องโกรธแน่ๆ เลย…”
แต่ทว่าเสี่ยวจางกลับไม่สนใจในเรื่องนี้เท่าไรนัก เธอเดินไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับเอื้อมมือออกไปคล้องแขนของไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้ “ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่เสว่เอ๋อร์คะ พวกเราไปกันเถอะ วันนี้หนูได้ยินมาว่าวันนี้มีร้านมาเปิดใหม่ที่โรงอาหารพนักงานด้วยนะ พวกเราลองไปดูกันเถอะค่ะ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มให้กับเสี่ยวจาง “ตกลงค่ะ”
ภายในหัวใจของเสี่ยวหลิวรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เธอจึงหันหลังและเดินไปยังหน้าลิฟต์ เพื่อตามสวี่เยว่หรูไปให้ทัน “พี่เยว่หรูคะ หนูไปกินข้าวกับพี่ได้ไหมคะ”
สวี่เยว่หรูเหลือบมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา “เธอจะไปกินข้าวกับไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ใช่เหรอ จะมาสนใจพี่ทำไม”
“หนูไม่ได้จะไป…”
เมื่อเธอเห็นว่าประตูลิฟต์เปิดแล้ว สวี่เยว่หรูจึงหมดความอดทน และมองไปที่หญิงสาวอย่างเย็นชาอีกครั้ง “พี่กินคนเดียวได้ เธอไม่ต้องไปกับพี่หรอก”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เข้าไปในลิฟต์ทันที
ถึงแม้ว่าวันนี้ไป๋เสว่เอ๋อร์จะไม่ไปกินข้าวกับพวกเสี่ยวหลิว เธอเองก็ไม่สามารถไปกินข้าวกับพวกเธอที่โรงอาหารพนักงานได้ นั่นเป็นเพราะว่า เธอมีนัดแล้ว…
เมื่อเดินออกไปจากอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของเผยซื่อ และข้ามถนนไปแล้ว ก็จะเห็นกับรถยนต์ยี่ห้อเบนท์ลีย์คันคุ้นเคยที่จอดนิ่งสนิทอยู่ที่ข้างถนน สวี่เยว่หรูไม่รอช้า เธอรีบเปิดประตูรถอย่างเบามือและขึ้นไปนั่งในทันที
เสิ่นหรูเฟิงนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ เขาหันศีรษะมาหาสวี่เยว่หรู พร้อมพูดว่า “ที่รัก วันนี้ผมรอคุณมาตั้ง 15 นาทีเลยนะ!”
“อย่าล้อเล่นสิคะ” สวี่เยว่หรูขมวดคิ้ว
“ผมไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย” เสิ่นหรูเฟิงพูดและยิ้มไปด้วย จากนั้นเขาก็สตาร์ทรถและขับออกไป “คุณอยากกินอะไรล่ะ อาหารจีน อาหารตะวันตก อาหารจานพิเศษ หรือจะเป็นหม้อไฟดีล่ะ”
สวี่เยว่หรูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แล้วแต่คุณเลยค่ะ”
“ตกลง” เสิ่นหรูเฟิงขับรถเข้าไปที่ถนนสายหลัก “ผมรู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ร้านหนึ่ง คุณจะต้องชอบอย่างแน่นอน”
20 นาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนั้น และเดินตามบริกรเข้าไปยังห้องรับรองส่วนตัวด้านใน
ภายในร้านอาหารได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม ห้องรับรองส่วนตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ทว่าก็สะดวกสบายมากพอ และมีการกั้นเป็นสัดเป็นส่วนเสริมความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะสมกับการเจรจาธุรกิจเป็นอย่างมาก
“ช่วงนี้เผยลี่เชินมีท่าทีอย่างไรบ้างไหม” หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย เสิ่นหรูเฟิงก็ดื่มชา พร้อมกับเอ่ยปากถามสวี่เยว่หรูที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ตอนนี้โครงการของรัฐวิสาหกิจนั้นกำลังมองหาหุ้นส่วนมาร่วมโครงการด้วย ดูเหมือนว่าจะเกิดการแข่งขันกันระหว่างเผยลี่เชินกับเผยอี้ขึ้น วันนี้ทั้งสองคนต่างเข้าประชุมตลอดทั้งช่วงเช้าเลยค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ” สายตาของเสิ่นหรูเฟิงใคร่ครวญ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องจะดูซับซ้อนไม่เบาทีเดียว!”
สวี่เยว่หรูยังคงพูดต่อไปว่า “มันซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองคนยังเคยทะเลาะกันใหญ่โตกลางที่ประชุมมาแล้วด้วย อีกนิดเดียวก็คงจะมีการแลกหมัดกันเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนสาเหตุจะมาจากเรื่องไป๋เสว่เอ๋อร์ค่ะ”
เสิ่นหรูเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา “น่าสนใจ…”
ครู่ต่อมา เขาก็เงยหน้าขึ้นทันที เขาจ้องไปที่สวี่เยว่หรูด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ถ้าอย่างนั้นหนังสือแสดงเจตจำนงในครั้งนี้ เป็นไปได้ไหมที่คุณจะเป็นคนไปรับมาน่ะ”
สวี่เยว่หรูส่ายหัว “เกรงว่าคงจะไม่ได้ค่ะ ครั้งก่อนหนังสือการแข่งขันประมูลที่ดินบริเวณริมทะเลสาบในเขตเฉิงตงก็เกิดเรื่องในลักษณะนั้นขึ้น พวกเขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นอย่างมากแน่นอนค่ะ อีกอย่างฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่คะ ว่าเผยลี่เชินซ่อนกล้องวงจรปิดเอาไว้ในห้องทำงานของไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันไม่รูด้วยซ้ำว่ากล้องนั้นติดตั้งอยู่ที่ไหน ตอนนี้ถ้าเกิดลงมือทำอะไรลงไปล่ะก็ อาจจะเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหรูเฟิงก็เงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นเขาก็พูดอย่างสบายๆ ขึ้นมาอีกครั้งว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงก็ยังพอมีเวลาสำหรับโครงการนี้อยู่บ้าง เมื่อเวลานั้นมาถึง ขอแค่คุณฟังคำสั่งของผมก็พอแล้วล่ะ”
ระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่นั้น อาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟทีละจานอย่างต่อเนื่อง
เสิ่นหรูเฟิงเอื้อมมือออกไป และดันจานปลาซาชิมิที่จัดเรียงเอาไว้อย่างสวยงามไปไว้ที่ด้านหน้าของสวี่เยว่หรู “ลองชิมดูสิ ในเขตไห่เฉิง ห้ามพลาดซาชิมิของร้านนี้เด็ดขาดเลยล่ะ”
สวี่เยว่หรูพยักหน้า เธอมองไปที่ปลาซาชิมิที่วางเรียงอยู่บนถาดน้ำแข็ง และเธอก็ขมวดคิ้วขึ้น “ฉันไม่ชอบกินซาชิมิ”
เธอเคยกินอาหารญี่ปุ่นแทบนับครั้งได้ และยังคงจำความรู้สึกของการกินปลาซาชิมิเป็นครั้งแรกได้ดี เธอไม่ชอบมันเอาเสียเลย
แต่ทว่าเสิ่นหรูเฟิงกลับยืนกรานให้เธอลอง “ลองกินสักชิ้นก่อน เชื่อผมสิ”
หลังจากที่เธอลังเลอยู่นาน ในที่สุด สวี่เยว่หรูก็หยิบตะเกียบขึ้นมา และคีบปลาซาชิมิมาหนึ่งชิ้นป้อนเข้าไปในปากของตัวเอง
รสชาติของเนื้อปลาที่เย็นและหวานเล็กน้อยไปกระตุ้นต่อมรับรสที่อยู่ภายในลิ้นของเธอ รสชาติอันแสนละเมียดละไม ที่ท้ายที่สุดแล้ว จะเหลือเป็นเพียงรสชาติอันแสนกลมกล่อมติดอยู่ที่ปลายลิ้นเท่านั้น
มันอร่อยเสียจนน่าแปลกใจ… เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เธอกินปลาซาชิมิเป็นครั้งแรกแล้ว ครั้งนี้นั้นมันอร่อยกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เสิ่นหรูเฟิงยิ้มพร้อมกับเอ่ยปากถามว่า “ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”
สวี่เยว่หรูพยักหน้า เธอก้มหน้าลงไปอีกครั้งและรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาภายในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
แรกเริ่มเดิมทีนั้นไม่ใช่ว่าซาชิมิไม่อร่อย แต่เป็นเพราะว่าอาหารญี่ปุ่นราคาถูกที่เธอกินนั้นไม่อร่อยต่างหาก วัตถุดิบปราศจากความสดใหม่ บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นราคา 60 หยวน ความทรงจำเหล่านั้นหวนย้อนกลับมาทำให้เธอรู้สึกอับอาย และพุ่งตรงทำร้ายหัวใจของเธอในทันที…
เธอไม่ต้องการที่จะมีชีวิตแบบนั้นอีก ชีวิตที่การจะกินของอร่อยเพียงหนึ่งครั้ง จะต้องคิดแล้วคิดอีกและคิดกลับไปมาลังเลอยู่นานกว่าเธอจะสามารถตัดสินใจได้
เมื่อเห็นว่าสวี่เยว่หรูก้มศีรษะและไม่พูดอะไรเลยอยู่เป็นเวลานาน เสิ่นหรูเฟิงก็ดูเหมือนจะมองความคิดของหญิงสาวออก
เขาเอื้อมมือและเหยียดแขนของเขาข้ามโต๊ะเล็กๆ ไป พร้อมกับค่อยๆ จับคางของสวี่เยว่หรูขึ้นมาอย่างเบามือ เขาสบตาเธอและเอ่ยปากถามอย่างอ่อนโยนว่า “คุณไม่คิดจะหาใครสักคนมาดูแลคุณหน่อยเหรอ คุณจะได้ไม่ต้องมาลำบากแบบนี้อีกนะ”
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะคำพูดของเขาที่เข้าไปทำร้ายจิตใจของหญิงสาวในทันที จมูกของสวี่เยว่หรูแน่นขนัดไปหมด และแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพรั่งพรูออกมา