ตอนที่ 249 แผนการของจินจิงจิง
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และไม่พูดอะไร จากนั้น เธอก็เดินออกไปจากห้อง ส่วนสวี่เยว่หรูก็รีบตามเธอออกไปในทันที
เมื่อเธอเดินมาถึงยังประตูห้องทำงานของตัวเอง เสียงของสวี่เยว่หรูก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเธอ “เลขาไป๋”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง เธอหันหลังกลับไปมองสวี่เยว่หรู พร้อมกับเอ่ยปากถามเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “มีอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” สวี่เยว่หรูยิ้มขึ้นที่มุมปาก ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกชนะที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน “ดิฉันแค่คาดไม่ถึงว่าคนที่รับผิดชอบมาคุยเรื่องการเจรจาหมายจะทำธุรกิจร่วมกันจะกล้าลงมือลงไม้เหมือนพวกอันธพาลข้างถนนแบบนี้ ฉันเตือนคุณด้วยความหวังดีนะคะ เวลาคุณจะไปไหนมาไหนตอนค่ำมืด คุณอาจจะเจอเรื่องไม่ดีเข้าก็ได้ ยังไงคุณก็ระวังตัวไว้หน่อยนะคะ”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการเตือนด้วยความหวังดีจากเธอ แต่ว่าทำไมฟังแล้วถึงได้รู้สึกแปลกๆ แบบนี้กันนะ
ทันใดนั้น หลังของไป๋เสว่เอ๋อร์จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นภายในใจของเธอ
พักนี้ พฤติกรรมของสวี่เยว่หรูยิ่งแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้สวี่เยว่หรูมักจะต่อต้านเธออย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าพักหลังมานี้นั้น ดูเหมือนว่าสวี่เยว่หรูจะดูเงียบไปไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก แต่นั่นกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
เมื่อกลับมาถึงยังห้องทำงาน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็มีเวลาว่างสักพักหนึ่งพอที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเจียงหวั่นหวั่นส่งข้อความทางวีแชตมาหาเธอจำนวนหนึ่ง เธอจึงรีบกดเปิดดูในทันที
“เสว่เอ๋อร์! หนังที่เพิ่งเข้าวันนี้เธออยากดูมากไม่ใช่เหรอ ฉันซื้อตั๋วให้เธอเรียบร้อยแล้วนะ เย็นนี้ไปดูด้วยกันดีไหม”
“พอเลิกงานปุ๊บ พวกเราก็ไปกินหม้อไฟกันก่อน จากนั้นก็ค่อยไปดูหนังกัน! แบบนี้เธอว่าดีไหม”
“……”
ขณะที่เธอกำลังอ่านข้อความที่เจียงหวั่นหวั่นส่งมาให้เธออยู่นั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากโดยไม่ได้ตั้งใจ หมอกควันที่เคยปกคลุมหัวใจของเธอก็ค่อยๆ จางหายไปเป็นจำนวนมากในทันที
ในเมื่อเจียงหวั่นหวั่นซื้อตั๋วหนังไว้เรียบร้อยแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์จะปฏิเสธเธออีกได้อย่างไรกัน
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยกมือขึ้นกดที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ พร้อมกับตอบข้อความกลับไปว่า “ตกลง เลิกงานแล้วรอฉันด้วยนะ”
ในไม่กี่อึดใจต่อมา เวลาเลิกงานก็มาถึง ไป๋เสว่เอ๋อร์จัดเรียงเอกสารเสร็จเรียบร้อย และเก็บข้าวของเตรียมตัวพร้อมที่จะออกจากที่ทำงาน เมื่อเธอนึกไปถึงเรื่องที่เธอคุยกับเผยลี่เชินในห้องทำงานวันนี้ ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนยังคุยกันไม่เรียบร้อยดีนัก เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที
เมื่อเธอเดินออกจากห้องทำงาน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เดินตรงไปที่ห้องทำงานข้างๆ ในทันที พร้อมกับเคาะประตูและเข้าไปยังด้านใน
เผยลี่เชินนั่งอยู่ที่บริเวณโต๊ะทำงานและกำลังพลิกเอกสารที่อยู่ในมือ เมื่อเขาได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง และเมื่อเห็นว่าเป็นไป๋เสว่เอ๋อร์ เขาก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมาว่า “มีธุระอะไรเหรอครับ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นชาที่มากเกินพอดีจากชายหนุ่ม หลังจากไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาภายในหัวใจ
เธอสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และตอบชายหนุ่มกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นกัน “เดี๋ยวฉันกับเจียงหวั่นหวั่นจะไปดูหนังด้วยกัน ฉันอาจจะกลับช้าสักหน่อยค่ะ”
สายตาของเผยลี่เชินมีความรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไปในพริบตาต่อมา “อืม”
เมื่อเขาเอ่ยปากตอบรับ เขาก็พยักหน้า และพลิกเอกสารที่อยู่ในมือของเขาต่อไป
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของชายหนุ่ม ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างมากในทันที เธอขบริมฝีก และหันหลังเตรียมเดินออกไป
ขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูนั้น เสียงของเผยลี่เชินก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเธอ “เสว่เอ๋อร์”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ในแวบแรกเธอยังนึกด้วยซ้ำว่าเธอหูฝาดไป เธอค่อยๆ หันหลังกลับไปอย่างช้าๆ และมองดูเผยลี่เชินด้วยความประหลาดใจ “คะ”
เผยลี่เชินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผมให้สัญญากับคุณได้ แต่คุณเองก็ต้องสัญญากับผมมาก่อนว่า คุณจะต้องดูแลรักษาตัวเองให้ปลอดภัย ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ คุณจะต้องบอกผมในทันที”
สำหรับเรื่องราวที่เคยคุยกันนั้น สุดท้ายแล้ว เขาก็ยอมให้กับเธอ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบให้ไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่เคียงข้างกายของเขา เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากกว่าเดิมเสียอีก
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอมองเผยลี่เชินและพยักหน้าให้กับเขา พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “ฉันให้สัญญาค่ะ!”
จากประสบการณ์ที่ผ่านมามากมาย ตอนนี้เธอรู้ซึ้งถึงความโหดร้ายและการแข่งขันที่ต้องแลกมาด้วยเลือดของโลกแห่งธุรกิจดี และเธอก็ไม่ใช่คุณหนูผู้ร่ำรวยที่ไม่ประสีประสาอะไรในเรื่องของโลกแห่งความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว การดูแลปกป้องตัวเองเป็นสิ่งที่เธอจะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดใบหน้าของหญิงสาวก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเสียที เผยลี่เชินก็ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากด้วยเช่นกัน “ไปเถอะ กลับบ้านเร็วๆ นะครับ”
“ได้ค่ะ” ทันใดนั้น หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกพองโตและอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที ความเศร้าทุกข์ใจที่เคยติดค้างอยู่ในใจนั้นได้หายวับไปในทันตา
เมื่อมาถึงยังทางเข้าล็อบบี้ของอาคาร ทันทีที่เจียงหวั่นหวั่นเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอก็รีบวิ่งมาคล้องแขนหญิงสาวอย่างรวดเร็ว “รอเธอตั้งนานแล้วเนี่ย! พวกเราไปกันเถอะ ถ้าไปช้ากว่านี้ต้องไปเข้าแถวแล้วนะ เธอไม่รู้เหรอว่าร้านหม้อไฟร้านนั้นอร่อยมากอย่าบอกใคร…”
ขณะที่เธอกำลังฟังเจียงหวั่นหวั่นเมาท์ให้ฟังอยู่ที่ข้างหูของเธอนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก “โอเคๆๆ วันนี้เธอจะได้กินมันจนพุงกางแน่นอน!”
พวกเธอทั้งสองคนเดินลงบันไดที่ด้านหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของเผยซื่อ พร้อมกับคุยไปหัวเราะไปและเดินไปตามถนนอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามหลังพวกเธออยู่ไม่ไกล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เผยลี่เชินซึ่งยังคงทำงานล่วงเวลาอยู่ในห้องทำงานนั้นก็รับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาในทันที เสียงที่ดูจริงจังของโจ๋วฝันดังขึ้นสะท้อนกลับมาจากปลายสาย
“ท่านประธานครับ ผมมีเรื่องอยากรายงานให้ท่านทราบครับ”
“ว่ามา”
“ผมแอบคอยดูพี่เสว่เอ๋อร์อยู่ และพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งคอยตามพี่เสว่เอ๋อร์ตั้งแต่ตอนที่เธอออกจากบริษัทแล้วครับ ผมยังไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหนแน่นอน ตอนนี้พี่เสว่เอ๋อร์กำลังทานหม้อไฟอยู่ ผู้ชายคนนั้นก็ยืนรออยู่ที่ด้านนอก จะให้ผมจับตัวเขาเลยไหมครับ”
ครู่นั้น สีหน้าของเผยลี่เชินก็จริงจังขึ้นมาอย่างมากทีเดียว เดิมทีนั้น เขาเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของไป๋เสว่เอ๋อร์ จึงได้ให้โจ๋วฝันคอยเฝ้าตามดูเธออย่างลับๆ คาดไม่ถึงว่าเขาจะพบว่ามีใครบางคนคอยตามไป๋เสว่เอ๋อร์ในทันทีหลังจากสั่งให้เริ่มเฝ้าดูนี้…
เผยลี่เชินพูดด้วยเสียงเข้มว่า “อย่าเพิ่งลงมือทำอะไร ดูลาดเลาไปก่อน สังเกตดูให้ดีว่าเขามีพรรคพวกมาด้วยหรือเปล่า และลองคาดเดาดูว่าเขามีเป้าหมายอะไร จากนั้นค่อยเข้าจับกุมตัวเขา ฉันจะถามเขาด้วยตัวเอง!”
“ได้ครับ” โจ๋วฝันตกปากรับคำในทันที
หนึ่งชั่วโมงกว่าหลังจากนั้น มีรถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินของอาคารสำนักงานหลักของบริษัทเผยซื่อ เมื่อประตูรถถูกเปิดออก โจ๋วฝันก็ลงจากรถ พร้อมกับลากตัวผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้ลงมาจากรถด้วย
เมื่อผู้ชายคนนั้นลงมา เท้าของเขาก็กลับไร้เรี่ยวแรงและทรุดลงไปกับพื้นทันที
ที่บริเวณด้านข้างนั้น มีรถยนต์ไมบัคสีดำจอดอยู่ กระจกหน้าต่างของรถค่อยๆ เลื่อนเปิดลงมาอย่างช้าๆ เผยลี่เชินจ้องมองชายคนนั้นที่กองอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าที่แสนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เขาพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณให้โจ๋วฝันลงมือได้
โจ๋วฝันง้างเท้าขึ้น และเตะอัดเข้าไปที่บริเวณหน้าอกของชายคนนั้นอย่างไร้ความปรานี
เดิมทีผู้ชายคนนั้นถูกปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน ทันทีที่เขาถูกเตะเข้าให้ เขาก็ร้องโอดโอยครางเจ็บปวดขึ้นมาในทันที
“บอกมา! ใครเป็นคนส่งแกให้ไปตามผู้หญิงคนนั้น!”
“ผม…ไม่ได้…”
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นมีท่าทีปฏิเสธไม่ยอมรับ โจ๋วฝันจึงง้างเท้าขึ้น และถีบเข้าไปอย่างรุนแรงที่หน้าอกของผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
เผยลี่เชินเบือนสายตาหนีอย่างเย็นชา “ในเมื่อมันไม่ยอมพูด ก็ซ้อมมันไปจนกว่ามันจะยอมพูดก็แล้วกัน”
เมื่อผู้ชายคนนั้นได้ยินดังนั้นเข้า เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที และรีบตะโกนตอบกลับมาว่า “อย่าทำผมเลยครับ! อย่าทำผมอีกเลย……”
โจ๋วฝันไม่เหลือความเมตตาใดๆ เขายังคงใช้เท้าเตะอัดทำร้ายผู้ชายคนนั้นอย่างต่อเนื่อง จนใบหน้าและจมูกของผู้ชายคนนั้นบวมปูด และลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นเช่นเดิม เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังจะเหวี่ยงเข้ามาหาตัวเขาอีกครั้ง เขาก็กลัวจนตัวสั่นไปหมด พร้อมกับรีบพูดออกมาว่า “บอกแล้ว… ผมยอมบอกแล้ว!”
โจ๋วฝันตะโกนใส่ผู้ชายคนนั้น “บอกมา! ใครเป็นคนส่งแกมา!”
ร่างกายของผู้ชายคนนั้นสั่นเป็นเจ้าเข้า และรีบพูดออกมาในทันทีว่า “ผม…ผมแค่รู้ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากกับแว่นกันแดด แต่ก็รู้สึกได้ว่าเธอน่าจะสวยมาก สวย… เหมือนดาราสาวอะไรแบบนั้น เธอให้เงินผมมา 50,000 หยวน ให้ผมตามตรวจสอบทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น และคอยรายงานให้เธอรู้!”
เมื่อได้ยินชายคนนั้นพูดคำว่า “ดาราสาว” คำนี้ขึ้นมา สายตาของเผยลี่เชินก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที
หรือว่า นี่จะเป็นแผนการร้ายของจินจิงจิงกันล่ะ