ตอนที่ 263 แตกต่างกันมาก
ไป๋เสว่เอ๋อร์ออกจากออฟฟิศเดินตรงไปที่ห้องประชุมที่จัดเตรียมไว้แล้ว พนักงานสองสามคนในห้องประชุมกำลังจัดการเตรียมการขั้นสุดท้าย
“ข้อมูลเอกสารสำเนาไว้ให้แต่ละคนแล้ว น้ำชา กาแฟเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว” ไป๋เสว่เอ๋อร์กวาดตามตามอง “อ้อ…ไปแจ้งทีมวางแผนของพวกเราให้พวกเขามาที่นี่”
หลังจากสั่งการทุกอย่างเรียบร้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนรออยู่ที่ประตู รอลู่เหยาที่พาทีมวางแผนของเขามาที่นี่
ไม่ถึงห้านาทีก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากลิฟต์นำหน้าโดยลู่เหยา พอเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์เขาจึงส่งยิ้มให้ทันที เขาเดินไปข้างหน้าจับมือทักทายเธอ “สวัสดีครับ เลขาไป๋”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มให้เขา หลังจากพูดทักทายพอสมควรก็รีบเชิญทีมวางแผนเข้าห้องประชุม
นี่เป็นครั้งแรกที่ทีมวางแผนของเผยซื่อและหลินวู่ร่วมเจรจา บรรยากาศดูผ่อนคลาย ไม่รู้สึกน่าอึดอัดใจเหมือนที่คาดไว้ การประชุมของทั้งสองฝ่ายมีความประทับใจที่ดีให้แก่กันและกัน
จากนั้นก็เป็นเวลาที่ทั้งสองทีมเจรจาหารือกัน ไป๋เสว่เอ๋อร์และพนักงานคนอื่นออกจากห้องประชุม
“เสว่เอ๋อร์ การประชุมครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ฉันเชื่อว่าพวกเราสองบริษัทจะร่วมมือกันด้วยดี บรรลุข้อตกลงร่วมกัน”
ลู่เหยาเดินข้างๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ สายตาเต็มไปด้วยความพอใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า “คะ นี่ถือเป็นวัตถุประสงค์การร่วมมือของทั้งสองบริษัท”
“ใช่ เสว่เอ๋อร์ แผลน้ำร้อนลวกเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันทายาตามเวลาที่หมอสั่งแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว พี่ลู่เหยาไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” ลู่เหยาพูดด้วยความสบายใจ มองเห็นสำนักงานประธานบริษัทอยู่ไม่ไกล “ที่นั่นคงเป็นที่ทำงานของเธอใช่ไหม?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้ารับ “ใช่คะ ฉันมีออฟฟิศส่วนตัวคะ”
“โอ๊ะ สะดวกพาฉันไปดูไหม?”
“ได้ซิคะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเดินนำหน้าพาเขาไปออฟฟิศของตัวเอง
“ด้านนั้นเป็นสำนักงานประธานบริษัท ทั้งสองด้านเป็นออฟฟิศของเลขา” ไป๋เสว่เอ๋อร์แนะนำพร้อมทั้งผลักประตูเข้าไปในห้อง
ลู่เหยาเดินตามเข้าไปด้านใน เห็นสภาพภายในห้องแล้วเขาก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว พูดด้วยความชื่นชม “เอกสารจัดวางได้อย่างเป็นระเบียบเมื่อเทียบกับออฟฟิศของฉัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้ม ขณะที่เดินออกมาจากห้องพร้อมลู่เหยา เธอจึงยังไม่ได้ปิดประตู ประตูห้องข้างๆ ก็ถูกผลักเปิดออก สวี่เยว่หรูเดินมาที่ประตูเห็นเธอและลู่เหยา จึงตกตะลึง แต่ก็ยังคงยิ้มเหมือนเยาะเย้ย
สวี่เยว่หรูเดินไปข้างหน้า กวาดตามองลู่เหยาแล้วมองไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มพร้อมคำพูด “เลขาไป๋ เธอช่างน่าทึ่งมาก สองสามวันมานี้พาผู้ชายเข้ามาไม่ซ้ำหน้ากันเลย เธอมีฝีมือจริงๆ”
น้ำเสียงของสวี่เยว่หรูที่พูดออกมามีความหมายแดกดัน ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินกลับตีความหมายเป็นอีกอย่าง เธอจึงขมวดคิ้วยังไม่ทันได้พูดแก้ตัว ลู่เหยาที่อยู่ข้างๆ กลับชิงพูดก่อน “คุณผู้หญิงครับ ดูจากการแต่งกายของคุณก็คงอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเลขาไป๋ แต่พอได้ฟังคุณทั้งการพูดจาและน้ำเสียง มันช่างแตกต่างกับเลขาไป๋ราวฟ้ากับดิน”
คำพูดของลู่เหยาทำให้สวี่เยว่หรูคอตก เธอรู้ดีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือประธานบริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลินวู่ รู้ว่าไม่ควรขัดใจ อยากพูดมากกว่านี้แต่ก็ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป
สวี่เยว่หรูมองไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยความไม่พอใจ พูดเสียงเบาจากนั้นหันหลังเดินจากไป
เมื่อเห็นสวี่เยว่หรูเดินจากไปไกลแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์หันกลับมามองที่ลู่เหยาพร้อมคำขอบคุณ “รุ่นพี่ เรื่องเมื่อกี้ ขอบคุณมากคะ”
“ขอบคุณอะไรกัน? เกรงใจไปแล้ว” ใบหน้าอันอบอุ่นของลู่เหยาส่งยิ้มให้เธอ “ถ้าเธออยากขอบใจฉันจริงๆ ขอเปลี่ยนเป็นคืนนี้ไปกินอาหารค่ำกับฉันดีกว่า”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยิน “เกรงว่าคืนนี้จะไม่ได้จริงๆ คะ ฉันนัดกับเพื่อนไปกินบาร์บีคิวแล้วคะ”
ลู่เหยาถามต่อ “งั้นพรุ่งนี้ล่ะ?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลสักครู่ ก่อนพยักหน้ารับ “พรุ่งนี้มีเวลา”
ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้ ลู่เหยาชวนเธอไปกินข้าวตั้งหลายครั้งก็ถูกเธอปฏิเสธ วันนี้ถ้าถูกเธอปฏิเสธอีก ก็เกรงว่าจะเสียใจมาก
สายตาของลู่เหยาทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ “โอเค งั้นฉันเป็นคนจองโต๊ะ แล้วฉันจะส่งเวลาพร้อมสถานที่ให้เธอนะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า มองดูเวลา “รุ่นพี่ ได้เวลาที่พวกเราต้องกลับไปห้องประชุมเพื่อดูสถานการณ์ของพวกทีมวางแผนแล้ว”
“ได้” ลู่เหยาพยักหน้ารับ พร้อมก้าวเท้าเดินตามเธอไป
เมื่อส่งพนักงานของหลินวู่เรียบร้อย ในที่สุดไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจ มองดูเวลาซึ่งใกล้เลิกงาน เธอจึงเก็บของให้เรียบร้อย ยังไม่ทันออกจากประตู เจียงหวั่นหวั่นผลักประตูเดินเข้ามา
“เสว่เอ๋อร์ทำไมช้าจัง? พวกเราต้องรีบไป ไม่งั้นอาจต้องต่อคิวยาว” เจียงหวั่นหวั่นเดินด้วยความรีบร้อน เดินสองสามก้าวก็มาถึงโต๊ะเธอ ช่วยเธอเก็บของ จากนั้นก็ลากเธอออกจากบริษัท
ถูกเจียงหวั่นหวั่นดึงตัวจนมาถึงห้องโถงบริษัท พอลงจากบันไดเจียงหวั่นหวั่นก็ตีหัวตัวเองเบาๆ พูดอย่างอารมณ์เสีย “ฉันลืมเรียกรถซุนเฟิง ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานแล้วด้วย จะเรียกรถก็คงต้องรอนาน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มมุมปาก “อย่าใจร้อน ฉันมีวิธี”
รอไม่นานโจ๋วฝันก็ขับรถมาจอดหน้าอาคารบริษัท พร้อมกับบีบแตรไปทางพวกเขา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลากเจียงหวั่นหวั่นขึ้นรถ เจียงหวั่นหวั่นถอนหายใจ “รถรับส่ง!”
“ประธานเผยเป็นคนจัดการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ฉัน”
เจียงหวั่นหวั่นส่งสายตาอิจฉาเมื่อได้ยิน “โอ้พระเจ้า ช่างมีความสุขจริงๆ เมื่อไหรหน้อฉันจึงจะได้พบผู้ชายของฉันจริงๆ สักที”
อีกด้านหนึ่งมีชายสองคนคนหนึ่งผอม คนหนึ่งอ้วนนั่งอยู่ในรถไม่ไกลออกไป มองไปที่กระจกมองข้าง
เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์และเจียงหวั่นหวั่นขึ้นรถจากไป คนอ้วนดูรีบร้อน จึงรีบถาม “พวกเรายังต้องตามอีกไหมอะ?”
“แน่นอน!” คนผอมตอบรับ “นี่เป็นคำสั่งพี่ไหญ่ ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะติดตามพี่ใหญ่ได้ไงกัน?”
“ใช่…ใช่…ใช่” คนอ้วนพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นพวกเรารีบตามไปกัน”
รถกำลังแล่นอยู่บนถนน เจียงหวั่นหวั่นเห็นคนขับรถอายุไม่มาก หล่อเหลา จึงแสดงอาการบ้าผู้ชายออกมา หาเรื่องคุยกับโจ๋วฝันไม่หยุด
ทั้งสองคนพูดคุยงึมงำ ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้แต่ส่ายหน้าแล้วยิ้ม จู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็สั่น เธอจึงหยิบขึ้นมาดู เป็นข้อความจากเผยลี่เชิน “เลิกงานหรือยัง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบกลับ “อืม”
ข้อความถูกส่งออกไปไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจ ก้มศีรษะลงเป็นวิดีโอคอลจากเผยลี่เชิน
พอโทรศัพท์มือถือดัง ทั้งเจียงหวั่นหวั่นและโจ๋วฝันกลับเงียบลง หันไปมองไป๋เสว่เอ๋อร์พร้อมกัน
เจียงหวั่นหวั่นเหลือบมองดูที่หน้าจอ “ประธานเผยวิดีโอคอลมา จะมัวนิ่งอยู่ทำไม? รีบรับซิจ้า”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเล เงยหน้ามองโจ๋วฝันผ่านกระจกมองหลัง เธอรู้สึกอายเล็กน้อย
เจียงหวั่นหวั่นพูดต่อ “พวกเราสัญญาว่าจะไม่เสียงดัง รีบรับเถอะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเล ยกมือรับโทรศัพท์ทันใดนั้นก็ปรากฏใบหน้าหล่อเหลาบนหน้าจอโทรศัพท์
เผยลี่เชินถามพร้อมกับรอยยิ้มภายในดวงตา “ถามเบาๆ คิดถึงฉันไหม?