ตอนที่ 271 เธอนี่มีความสามารถมากจริงๆ
พอไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยประโยคนี้ออกไป บรรยากาศของทั้งห้องรับแขกก็เย็นยะเยือกลงมาทันที แม้แต่คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ต่างก็แอบมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและประหลาดใจ
จินจิงจิงมีการตอบสนองกลับมาก่อนเป็นคนแรก เธอถลึงตาพร้อมเอ่ยถามย้อนกลับด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “ไป๋เสว่เอ๋อร์เธอพูดจาซซี้ซั้วอะไรของเธอ?”
“ฉันพูดจาซี้ซั้ว?” ไป๋เสว่เอ๋อร์หัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน “วันที่สามพฤศจิกายน เวลาประมาณสิบโมงเช้า ที่โรงพยาบาลเหรินหมิน เธอยัดบัตรธนาคารใบหนึ่งให้กับคุณหมอฉาวหลิงแผนกสูตินรีเวช ใช่หรือเปล่า?”
จินจิงจิงสีหน้าแดงระเรื่อขึ้น รีบปฏิเสธออกมาในทันที “พูดจาซี้ซั้ว!ฉันไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดาออกได้ตั้งนานแล้วว่าเธอจะต้องปฏิเสธ จึงเอ่ยปากขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเธอไม่เคยทำ งั้นตอนนี้พวกเราก็ลองโทรศัพท์ไปถามคุณหมอฉาวหลิงดดูก็ได้ หรือไม่พวกเราทั้งหมดไปโรงพยาบาลเหรินหมินด้วยตัวเอง เธอกล้าไหม?”
“หากที่ฉันเดาไม่ผิด การผ่าตัดทำแท้งของเธอ ก็คงจะเป็นคุณหมอฉาวหลิงที่ทำให้ ใช่หรือเปล่า?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามย้อนกลับไปสองสามประโยค ชั่วพริบตาจินจิงจิงก็สั่นไปทั้งตัวขึ้นมาในทันที แม้แต่คำโต้แย้งก็พูดไม่ออก
เผยลี้มองไปทางจินจิงจิงอย่างยากที่จะเชื่อ เอ่ยปากถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรอ?”
สีหน้าของจินจิงจิงซีดขาวขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกันกับมุมปากต่างก็มีความสั่นขึ้นมาอย่างยากที่จะควบคุม
จริงหรือไม่จริง เกรงว่าพอเห็นการตอบสนองเช่นนี้ของเธอ ในใจของทุกคนต่างก็รู้ดีกันหมดแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์หันมองไปทางเผยอี้ เอ่ยปากพูดขึ้นเบาๆว่า “หากคุณไม่เชื่อ ลองไปตรวจสอบดูได้ เชื่อว่าอาศัยความสามารถและฝีมือของคุณ ไม่ช้าก็สามารถค้นหาความจริงของเรื่องนี้จนชัดเจนได้อย่างแน่นอน”
เผยอี้นิ่งเงียบอยู่นาน ค่อยๆทำให้การคาดเดาที่อยู่ในใจของตนเองเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาก้าวขาขึ้นไปข้างหน้าด้วยความโมโหอย่างยากที่จะควบคุมได้ ยืนมือออกไปข้างหนึ่งกุมปกคอเสื้อของจินจิงจิงเอาไว้แน่น กดเสียงให้ทุ้มต่ำพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “จินจิงจิง เรื่องแบบนี้คุณยังกล้าหลอกผม!”
“เผยอี้…เป็นเพราะฉันกลัวว่าคุณจะจากฉันไป…” จินจิงจิงดูเหมือนกับลนลานไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ยื่นมือออกไปกุมมือของเขาเอาไว้ด้วยความสั่นเทา “เพราะฉันกลัวที่จะเสียคุณไปถึงทำแบบนี้…”
เผยอี้รู้สึกอับอายขายหน้าจนกลายเป็นความโกรธ ออกแรงผลักจินจิงจิงออกไปอีกด้านอย่างไม่ปรานีเลยแม้แต่น้อย จินจิงจิงโซเซยืนไม่นิ่ง ล้มลงไปนั่งกับพื้นในทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองจินจิงจิงที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาที่เยือกเย็น มือกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น หัวไหล่ของเธอก็รู้สึกอุ่นขึ้น พอหันหน้ากลับไปก็เห็นเผยลี่เชินยืนอยู่ที่ข้างกายของเธอ
เผยลี่เชินมองไปทางเผยอี้ด้วยความเย็นชา เอ่ยปากเตือนขึ้นว่า “ในเมื่อพวกแกมีธุระภายในบ้านที่ต้องจัดการ พวกฉันก็ไม่อยู่รบกวนมากไปกว่านี้แล้ว แต่มีประโยคนึงที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรฉันขอพูดเอาไว้ก่อน เผยอี้ ดูแลคนของแกให้ดี หากคราวหน้ามือของเขายื่นมาถึงพวกเราทางนี้อีก ฉันควรทำอะไรก็จะไม่รายงานกับแกอีก”
พูดจบ เผยลี่เชินก็กุมไหล่ของไป๋เสว่เอ๋อร์ ก้าวขาเดินออกไปทางด้านนอกในทันที
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เผยอี้รู้สึกเพียงแค่เหมือนโดนตบเข้าที่หน้าอย่างจังยังไงอย่างงั้น ทั้งร้อนทั้งแสบไปหมด รอเงาของทั้งสองคนหายไปจากหน้าประตูใหญ่แล้ว เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป จับปกคอเสื้อของจินจิงจิงเอาไว้แน่น แทบจะกระชากเธอขึ้นมาจากพื้น เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า “จินจิงจิง คุณนี่มันกล้าดีจริงๆ!”
เสียง “เพี้ยะ” ดังขึ้น บนข้างแก้มของจินจิงจิงถูกตบด้วยฝ่ามือหนึ่งอย่างรุนแรง ใบหน้าของเธอถูกตบจนหันไปอีกด้าน ยังไม่ทันที่จะมีการตอบสนองกลับคืนมา ก็โดนอีกฝ่ามือหนึ่งขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง ตบจนเธอมึนหัวตาลายไปหมด รสชาติคาวหวานของเลือดลอยขึ้นมาถึงลำคอของเธอ…
“เผยอี้…” จินจิงจิงเพิ่งจะร้องมีเสียงออกมา ก็รู้สึกได้ถึงอาการรัดแน่นบริเวณลำคอ ถูกมือใหญ่มือหนึ่งจับกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา แทบจะหายใจใม่ออก
“จินจิงจิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่าเรียกชื่อของผมอีก!” นัยน์ตาของเผยอี้สะท้อนไฟแห่งความโกรธออกมา “ผมรังเกียจความสกปรกของคุณ!”
พูดจบ เขาก็คลายเธอออกอย่างแรง ร่างกายของจินจิงจิงอ่อนยวบ ล้มนั่งลงไปกับพื้นในทันที
เผยอี้ไม่มีเวลาที่จะไปสนใจอย่างอื่น ก้าวขาเดินไปทางหน้าบันได ยังไม่ลืมที่จะหันไปตะคอกคนรับใช้ที่ยืนช็อกอยู่ด้านข้าง “รีบขึ้นมา ย้ายของทั้งหมดของเขาไปยังห้องนอนเล็กให้หมด!”
คนรับใช้ไม่กล้าเมินเฉย ก้มหน้าก้มตารีบเดินไปข้างหน้า ผ่านจินจิงจิงที่ล้มนั่งอยู่ที่พื้น ก็ไม่กล้าไปประคอง เดินขึ้นชั้นสองไปอย่างเร่งรีบในทันที
จินจิงจิงตัวคนเดียวล้มลงอยู่กับพี้น ใบหน้าแสบร้อนไปหมด ทั้งโกรธทั้งโมโห น้ำตากลับทะลักออกมาอย่างหยุดใม่อยู่ เธอยื่นมือออกไปจับพรมที่อยู่บนพื้นเอาไว้แน่น นึกถึงไป๋เสว่เอ๋อร์ ความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังทะลักขึ้นมาภายในจิตใจ เธอกัดฟันแน่นพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันกับเธออยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้!”
ออกจากคฤหาสน์ ไป๋เสว่เอ๋อร์ขึ้นมาบนรถ ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด มือทั้งสองที่ข้างเย็นเฉียบไปถึงกระดูก กุมเข้าหากันแน่น กลับยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด
ทันใดนั้น อยู่ๆมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา กุมไปบนหลังมือทั้งสองของเธอ ชั่วขณะความอบอุ่นก็แผ่ขยายเข้ามาในทันที
เผยลี่เชินเอ่ยโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “อย่ากังวลไปเลย หากเขายังกล้าทำอะไรออกมาอีก ผมไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ในใจพอจะเดาออกว่า ต่อให้เธอไม่ทำอะไร เกรงว่าตอนนี้เผยอี้รู้เรื่องที่จินจิงจิงแกล้งท้องแล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยจินจิงจิงไปง่ายๆอย่างแน่นอน
กลับมาถึงโรงพยาบาล ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งจะผลักประตูเดินเข้าไปในห้องคนไข้ ก็เห็นเจียงหวั่นหวั่นได้เปลี่ยนเป็นชุดของตนเองแล้ว กำลังเก็บข้าวของอยู่
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกใจ รีบเข้าไปเอ่ยถาม “หวั่นหวั่น เธอลุกขึ้นมาได้ยังไงกัน?”
เจียงหวั่นหวั่นหันกลับมามองเห็นเธอ ก็รีบส่งยิ้มให้กับเธอในทันที “เสว่เอ๋อร์ คุณหมอบอกว่าฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ไม่ต้องทำการตรวจอีกครั้งหรอ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก
“ยังต้องทำการตรวจอะไรกัน? เธอดูฉันตอนนี้สบายดีออก!” เจียงหวั่นหวั่นแข็งแรงมีชีวิตชีวา ยังตั้งใจกระโดดต่อหน้าของเธออีก
เห็นเจียงหวั่นหวั่นฟื้นคืนกำลังวังชา ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามออกมา ความรู้สึกมัวมองในก่อนหน้านี้นั้นดีขึ้นอย่างมากในทันที เธอยื่นมือออกไปกุมมือของเจียงหวั่นหวั่นเอาไว้ มุมริมฝีปากสั่นเล็กน้อยกำลังจะเอ่ยปาก กลับถูกเจียงหวั่นหวั่นขัดจังหวะเอาไว้ก่อน
“เสว่เอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่โทษเธอ เธอไม่จำเป็นต้องละอายใจต่อฉัน พวกเราสองคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน เดิมทีก็เป็นความสัมพันธ์ที่จะต้องช่วยเหลือกันและกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้เธอไม่ต้องเก็บไปใส่ใจเข้าใจไหม?”
มองดูเจียงหวั่นหวั่นที่ปกติเรื่อยๆเปื่อยๆไม่คิดอะไรมากอยู่ๆพูดคำพูดที่จริงจังเช่นนี้ออกมา ไป๋เสว่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกค่อนข้างเกินความคาดหมาย กลับทั้งรู้สึกมีความอบอุ่นปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจด้วยเช่นเดียวกัน
เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลิกฝ่ามือกุมมือของเจียงหวั่นหวั่นเอาไว้แน่น จากนั้นพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ฉันเข้าใจแล้ว”
เจียงหวั่นหวั่นยิ้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสะท้อนแสงเปล่งประกายสดใสออกมา “แต่ว่า เพื่อเป็นการชดเชยให้กับฉัน เธอต้องเลี้ยงฉันกินปิ้งย่าง!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะส่งเสียงออกมา “ได้ อย่าว่าแต่มื้อเดียวเลย สามมื้อห้ามื้อฉันก็เลี้ยง เธอนัดเวลามาได้เลย”
พอได้ยินไป๋เสว่เอ๋อร์บอกว่าจะเลี้ยง เจียงหวั่นหวั่นก็ยิ้มจนตาหยีขึ้นมาในทันที เธอพยักหน้าเล็กน้อย “วันหลัง ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้านไปอาบน้ำก่อน ตัวจะเหม็นไปหมดอยู่แล้ว!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ตามเจียงหวั่นหวั่นไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลด้วยกัน พาเธอไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ มองดูโจ๋วฝันส่งเธอกลับบ้านด้วยตัวเอง เช่นนี้ถึงได้วางใจขึ้นมา
ทันใดนั้น ด้านหลังก็ดังสะท้อนเสียงที่ทุ้มต่ำขึ้น “พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หันหน้ากลับไปเห็นสีหน้าที่จริงใจของเผยลี่เชิน เธอพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “ค่ะ”
ตั้งแต่เมื่อคืนที่เจียงหวั่นหวั่นเกิดเรื่องจนมาถึงตอนนี้ เธอกับเผยลี่เชินต่างก็วิ่งวุ่นกันอยู่ตลอด ไม่ทันที่จะได้พักผ่อนให้ดีๆ ท้องยังคงกำลังหิว ตอนนี้เรื่องราวได้ถูกแก้ไขจนเสร็จ เธอแทบอยากจะบินกลับห้องนอนนอนหลับให้เต็มอิ่มซะเดี๋ยวนี้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้าวขาออก กำลังคิดจะลงบันไดไป อยู่ๆแข้งขาก็อ่อนแรง ร่างกายล้มลงไปอีกด้านอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
มองเห็นว่ากำลังจะล้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นมือใหญ่ที่มีกำลังข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาประคองแขนของเธอเอาไว้ในทันที เธอถึงยืนได้อย่างมั่นคง
เผยลี่เชินก้าวขาขึ้นไปข้างหน้า โน้มตัวลงอย่างไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรทั้งสิ้น โอบกลางเอวของเธออุ้มขึ้นมาในทันที