ตอนที่ 332 ไร้ยางอายจริงๆ
เมื่อเธอได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์เปลี่ยนไปเกือบจะทันที เธอตัวแข็งไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับอย่างหนักแน่น “เป็นไปไม่ได้!”
พูดจบเธอเดินไปข้างหน้าด้วยความโกรธที่ผุดขึ้นในจิตใจ
เฝิงเจิ้งปางเดินตามมาพร้อมคำถาม “เธอทำแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยรึ! เธอเคยคิดถึงความรู้สึกของแม่เธอรึเปล่า แม่เธอเป็นผู้หญิงนะ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์หันมาด้วยความโมโห มองหน้าเฝิงเจิ้งปางด้วยความโกรธ กำมือแน่น “เรื่องคุณกับแม่ ฉันหลับตามองมันข้างหนึ่งก็ถือเป็นความอดทนอย่างมากของฉันแล้ว แต่นี่คุณจะมาอยู่ในฐานะสามีภรรยา มาขอร้องฉันในช่วงที่พ่อฉันพึ่งจากไป ไร้ยางอายที่สุด!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าไม่หันกลับมาหลังจากที่พูดจบ ไฟในใจของเธอเผาไหม้ความอดทนจนมอดไหม้ไปหมดแล้ว
หลังจากเงาของไป๋เสว่เอ๋อร์หายลับไปตรงบันไดแล้ว สีหน้าของเฝิงเจิ้งปางิน่งไปสักพัก จากนั้นหันกลับไปที่ห้องนอน มองสายตาของคุณแม่ไป๋ที่มีคำถาม เขาส่ายหัวพูดเสียงเย็นชา “ใช้ไม้อ่อนไม้แข็งก็ยังไม่ยอมท่าเดียว!”
คุณแม่ไป๋ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน หยุดสักครู่แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ รออีกหน่อย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์วิ่งออกจากบ้านด้วยความโกรธ รู้สึกว่าหัวใจของเธอไม่มีที่ระบายความโกรธ เธอหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้จิตใจสงบ คิดถึงพ่อที่เพิ่งจากไป เธอจึงรู้สึกสังเวชใจอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากเดินไปยังเส้นทางที่มีต้นไม้เรียงรายไม่ไกล ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้นั่งลงบนม้านั่งข้างๆ และร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นไหว ตอนแรกไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่อยากรับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ละความพยายามโทรแล้วโทรอีก
เธอรับโทรศัพท์หลังจากเอามือเช็ดน้ำตา
เป็นเสียงเข้มจากผู้ชาย “เธออยู่ไหน?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจลึกๆ ก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฉันจะกลับบริษัทแล้ว”
แม้ว่าจะเป็นเสียงจากโทรศัพท์ เผยลี่เชินก็ฟังออกถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติ จึงถามออกไปตรงๆ “เธอเป็นอะไร?”
“ฉันไม่เป็นอะไร” ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึกๆ
ขณะที่เธอพูด ฝ่ายชายก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทนไม่ไหว “เธออยู่ไหน ฉันจะไปหา”
“ฉัน…..” ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเล แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีก “ฉันอยู่บ้านฉันเอง บ้านตระกูลไป๋”
“โอเค รอฉันก่อนนะ”
พูดจบประโยค เผยลี่เชินก็วางสายโทรศัพท์
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอก็เห็นรถที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีจอดอยู่ที่ถนน
เผยลี่เชินลงจากรถก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่บนม้านั่งยาวด้วยดวงตาแดงก่ำ ขมวดคิ้วเข้ม
เขาไม่ได้อยู่กับเธอแค่ครึ่งวัน เธอก็ตาแดงก่ำขนาดนี้ เหมือนกระต่ายน้อยที่ถูกรังแก
เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ตรงนี้เขาก็พอจะเดาเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและคุณแม่ไป๋ได้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เผยลี่เชินยืนตรงหน้าไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มตัวในระดับสายตาของเธอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์อดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้ที่นึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของเฝิงเจิ้งปางที่บ้านตระกูลไป๋
เธอเอื้อมมือไปกอดเอวเผยลี่เชิน ใบหน้าซุกตรงบริเวณเอวของเขา พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ “แม่ฉันไม่สบาย ฉันเลยกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน เจอเฝิงเจิ้งปางเขาบอกว่าอยากแต่งงานกับแม่ฉัน….”
ตอนนี้ความเจ็บปวดใจที่เก็บไว้ตอนแรกถูกระบายออกมา
เผยลี่เชินก้มลงมองเห็นไหล่ที่สั่นสะท้านของหญิงสาว จึงเอามือลูบที่หัวเธอเบาๆ แต่กลับไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธออย่างไรดี
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องระหว่างแม่ของเธอกับผู้ชายอีกคน เขาเป็นคนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
รอจนไป๋เสว่เอ๋อร์สงบสติอารมณ์ เผยลี่เชินจึงเอ่ยปากพูด “หิวไหม? อยากกินอะไร ฉันจะพาเธอไป?”
เรื่องที่เขาทำได้ตอนนี้คืออยู่เป็นเพื่อนเธอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “นกพิราบย่างที่บาร์หลันกุ้ยฟัง คากิแก้ว ไก่ชบา กุ้งทองคำ”
ณ เวลานี้ก็คงมีแต่อาหารเลิศรสที่จะพอปลอบใจเธอได้
สีหน้าของเผยลี่เชินค่อยๆ คลายความกังวลหลังจากได้ฟังรายการอาหารที่เธอบอก รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว และพูดขึ้นทันที “ได้ ฉันจะพาเธอไป”
ถ้าอาหารเลิศรสทำให้ไป๋เสว่เอ๋อร์สบายใจ เขายอมที่จ้างพ่อครัวจากบาร์หลันกุ้ยฟังด้วยค่าตัวสูงๆ มาเป็นพ่อครัวทำอาหารให้เธอโดยเฉพาะ
เผยลี่เชินพาไป๋เสว่เอ๋อร์ไปขึ้นรถ จากนั้นก็ถามกลับ “ได้ยินว่าที่บาร์หลันกุ้ยฟังมีรายการอาหารใหม่ๆ อยากลองชิมไหม?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบโดยไม่ลังเล “อยากซิ!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นแล้ว จิตใจของเขาก็รู้สึกดีขึ้นตามด้วยเช่นกัน
ขณะที่เผยลี่เชินกำลังจะบอกให้เจิงหงออกรถไปบาร์หลันกุ้ยฟัง จู่ๆ เจิงหงก็หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าลังเล “ประธานเผย…”
“มีเรื่องอะไร?”
เจิงหงลังเล แต่ก็พูดอย่างช้าๆ “เมื่อสักครู่ผมรับโทรศัพท์จากคนขับรถของคุณเหอ เขาบอกว่าคุณเหอทำผ้าพันคอตกอยู่ในรถคันนี้….”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อ “คุณเหอ”
เผยลี่เชินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแต่ก็ยังไม่พูดอะไร ก็เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มหัวดึงผ้าพันคอออกจากช่องว่างในที่นั่งถัดไป
เธอเงยหน้ามองเผยลี่เชินด้วยสีหน้าขรึมๆ พร้อมกับคำถาม “ของเหอหย่าหาน?”
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของฝ่ายหญิงดูไม่ดี เผยลี่เชินจึงหายใจลึกก่อนพูดว่า “เมื่อเที่ยงนี้ไปงานเลี้ยงเจอลุงเหอและเหอหย่าหาน หลังเสร็จจากงานเลี้ยงเหอหย่าหานจะไปห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยขอติดรถไปด้วย ฉันก็เลยไปส่งเธอ ส่วนเรื่องผ้าพันคอฉันก็ไม่รู้ว่ามันตกอยู่ในรถได้อย่างไรกัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว กวาดตามองผ้าพันคอ ในใจคิดอะไรบางอย่าง
เธอเองก็เป็นผู้หญิง ย่อมเข้าใจความตั้งใจของเหอหย่าหานที่ทำแบบนี้ จงใจทิ้งของของตัวเองไว้ในรถ ก็เพื่อหาข้ออ้างที่จะพบเจอเผยลี่เชินอีกครั้ง โดยอาจนัดกินข้าวสักมื้อ หรือไม่ก็จงใจทำให้เธอเห็นเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเหมือนครั้งก่อน ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเผยลี่เชิน
ไม่ว่าเหอหย่าหานจะทำเพราะวัตถุประสงค์ใด การกระทำของเธอก็ถือว่าเลวทรามที่สุด
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำผ้าพันคอแน่น สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ดูจริงจังมากขึ้น
เผยลี่เชินซึ่งอยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้น “พวกเราไปบาร์หลันกุ้ยฟัง รอให้เจิงหงเอาผ้าพันคอไปคืนเธอ”
“ไม่ต้อง” ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มด้วยความเย็นชา “คุณเหอใช้วิธีการนี้เพื่อหาโอกาสพบคุณ ทำไมคุณถึงปฏิเสธได้ล่ะ?”
นิ่งไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “งั้นวันนี้พวกเราไปกินข้าวกับคุณเหอดีกว่า?”
เดิมทีเธอไม่อยากปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เหอหย่าหานใช้ลูกเล่นต่างๆ นานานตั้งหลายครั้งหลายหน จนความอดทนของเธอถึงขีดสุด
ยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้วเหอหย่าหานต้องการทำให้เผยลี่เชินรับผิดชอบเธอ ถึงขั้นยอมทำลายชื่อเสียงของตัวเองและโกหกหน้าตาย ซึ่งเป็นเรื่องรุนแรงเกินไป
เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเธอและเผยลี่เชินโดนแทรกแซงจากคนอื่น เธอจึงยอมเป็นคนเลว
เผยลี่เชินลังเล แต่เห็นท่าทางแน่วแน่ของเธอ เขาจึงยิ้ม “ถ้าเธอต้องการฉันก็ไม่มีความเห็นอะไรอีก”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กวาดตามองผ้าพันคอ พูดเบาๆ “งั้นพวกเราไปพบเธอ ยังไงก็เป็นเพื่อนเก่า”
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็มาถึงประตูบาร์หลันกุ้ยฟัง เหอหย่าหานยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
เธอสวมเสื้อคลุมสีชมพู ยืนอยู่ที่ประตู สีหน้าท่าทางดูตื่นเต้นดีใจ
เมื่อเห็นรถที่คุ้นเคย สีหน้ามีรอยยิ้มมากขึ้น
เผยลี่เชินเปิดประตู เหอหย่าหานรีบมาทักทาย ถามด้วยรอยยิ้ม “ลี่เชิน ทำไมจู่ๆ ถึงยอมมากินข้าวกับฉัน?”
ขณะที่กำลังพูด ก็เห็นอีกคนหนึ่งลงมาจากรถ รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อผ้าสีดำ จ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินไปข้างหน้า เผยลี่เชินยืนนิ่ง ยกผ้าพันคอขึ้น พูดเบาๆ “คุณเหอ นี่ผ้าพันคอของคุณ”