ตอนที่ 327 ฌาปณกิจ
เมื่อเรื่องราวนี้ถูกพูดถึงขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างก็ดูถอยกลับไปยังจุดเริ่มต้นในทันที และอารมณ์ความรู้สึกของทุกคนก็ดูเคร่งเครียดและหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
เผยลี่เชินเดินเข้าไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์ และยื่นมือขนาดใหญ่ของเขาเข้าไปกุมมือของไป๋เสว่เอ๋อร์ที่เย็นเฉียบในทันที “พวกเราจะอยู่ข้างๆ คุณนะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์วานให้ป้าจางช่วยนำของที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามาให้เธอ และเมื่อใกล้เวลาที่จะต้องออกเดินทาง เธอก็ก็หันหลังกลับไปมองเจียงหวั่นหวั่น สีหน้าของเธอนั้นดูโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย “หวั่นหวั่น เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ ฉันคงไปส่งเธอไม่ได้นะ”
เดิมทีนั้น เจียงหวั่นหวั่นอยากที่จะไปกับเธอด้วย แต่เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้นแล้ว เธอก็เอ่ยปากออกมาอย่างลังเลว่า “ฉันเองก็……”
ขณะที่เจียงหวั่นหวั่นยังพูดไม่จบนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ก็เงยหน้าขึ้นมองกู้หลี่เหลียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เธอกระซิบพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงทีแน่วแน่ว่า “คุณช่วยไปส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ ฉันขอร้องล่ะ”
กู้หลี่เหลียงพยักหน้าเล็กน้อย และตอบรับอย่างเงียบๆ
หลังจากที่พูดจบแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หันหลัง และเดินออกไปขึ้นรถอย่างไม่ลังเล
เจียงหวั่นหวั่นขมวดคิ้วแน่น ขณะที่เธอกำลังจะเดินตามไปนั้น ทันใดนั้น ก็ถูกใครบางคนคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน
กู้หลี่เหลียงคว้าตัวของเจียงหวั่นหวั่นเอาไว้ในทันที และพูดอย่างเบาๆ อย่างหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ คุณอย่าไปยุ่มย่ามให้มากนักเลย!”
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วนั้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ไป๋เสว่เอ๋อร์อ่อนแอและบอบบางที่สุด แทนที่จะร่วมแบ่งเบาอารมณ์ความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดนี้กับผู้อื่น เธอเลือกที่จะเจ็บปวดและจมอยู่กับความทุกข์นั้นเพียงคนเดียว
เจียงหวั่นหวั่นรู้สึกเสียใจอย่างมาก “ฉันก็แค่เห็นเธอเศร้ามาก ฉันอยากไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ!”
เมื่อเห็นว่าเจียงหวั่นหวั่นนั้นดูงี่เง่าจนไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้นแล้ว กู้หลี่เหลียงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็ยกมื้อขึ้นมา และเขกหน้าผากเธอเข้าไปหนึ่งที “มีลี่เชินไปเป็นเพื่อนแล้วไง คุณจะกังวลอะไรอีก ไป! ผมจะพาคุณไปส่งที่บ้าน!”
ขณะที่เธอยกมือขึ้นมากุมหน้าผากตรงที่โดนเขกเข้าให้นั้น เจียงหวั่นหวั่นก็มองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาที่แสนเศร้าสร้อย เธอเดินตามหลังของเขาไปด้วยความโกรธ และขึ้นรถเพื่อกลับบ้านไปด้วย
ระหว่างทางที่กำลังเดินทางไปยังงานศพ เผยลี่เชินมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาอะไรไปตลอดทาง ในที่สุด เขาก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “ผมได้จัดเตรียมให้คนไปซื้อที่ดินสุสานที่ทางตอนใต้ของเมืองเอาไว้แล้ว หลังจากที่เราส่งคุณลุงขึ้นสวรรค์เสร็จแล้ว พวกเราค่อยหาวันไปทำพิธีฝังศพท่านก็แล้วกันนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบปฏิเสธออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดในทันที “ไม่ต้องทำพิธีฝังศพอะไรทั้งนั้นหรอกค่ะ ฉันกับคุณแม่ขอแค่ได้ฝังคุณพ่อก็พอแล้วล่ะค่ะ ฉันอยากให้ทุกอย่างมันเรียบง่าย”
เมื่อวานนี้ เธอได้พลิกอ่านสมุดบันทึกเล็กๆ ที่คุณพ่อของเธอคอยบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรือนจำทิ้งเอาไว้ เนื้อหาของแต่ละวันนั้นที่พ่อของเธอบันทึกไว้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ในแต่ละบรรทัดนั้น เธอพอที่จะดูออกว่าคุณพ่อของเธอในตอนนี้กับในอดีตนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ดูเหมือนว่ามนุษย์เราก็คงจะเป็นเช่นนี้ ยามใดที่ต้องสูญเสียใครสักคนขึ้นมา ยามนั้นถึงเพิ่งจะรู้และเข้าใจในคุณค่าของคนนั้นๆ คุณพ่อที่อยู่ในเรือนจำนั้น เพียงแต่เฝ้าหวังที่จะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชนธรรมดาทั่วไป ชีวิตที่เรียบง่าย ปลอดภัย และราบรื่น
เพราะฉะนั้นแล้ว ขอแค่ให้ทุกอย่างอยู่ในที่ที่มันควรจะเป็นได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ เธอได้แต่หวังให้คุณพ่อของเธอจากไปอย่างสงบสุข โดยที่ไม่ต้องจัดงานพิธีรีตองอะไรให้ใหญ่โตมากมาย
เมื่อได้เห็นท่าทีที่แน่วแน่ของหญิงสาว เผยลี่เชินจึงได้แต่ทำตามเท่านั้น “ตกลง เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นไม่นาน ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเผยลี่เชินก็ดังขึ้นมาในทันที เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และเมื่อเห็นว่าเนสายจากฉีเฟิง เขาก็กดรับสายในทันที
“ฮัลโหล มีอะไรเหรอครับ”
น้ำเสียงของฉีเฟิงนั้นดูเร่งรีบเล็กน้อย “คุณผู้ชายครับ ผมไม่รู้ว่าข่าวมันออกมาได้อย่างไร แต่มีหลายสื่อรู้เรื่องข่าวการเสียชีวิตของไป๋เจิ้งตงแล้ว และตอนนี้มีสื่อหลายสำนักที่นำข่าวนั้นไปรายงานเรียบร้อยแล้วครับ”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น คิ้วของเผยลี่เชินก็ขมวดเป็นปมแน่นขึ้นมาในทันที “ลองหาวิธีระงับข่าวพวกนี้ไว้ก่อน ส่วนเรื่องสื่อ ให้ทางทีมประชาสัมพันธ์ติดต่อไป และจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
“ครับ ผมทราบแล้วครับ”
หลังจากที่วางสายแล้ว เผยลี่เชินก็หันไปมองไป๋เสว่เอ๋อร์เหมือนปกติ แต่ใครจะรู้เล่าว่าหญิงสาวนั้นก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน เมื่อทั้งสองคนสบสายตาของกันและกันเข้า บรรยากาศภายในรถก็ชวนให้อึดอัดขึ้นมาแทบจะในทันที
สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นคะ”
เผยลี่เชินกำโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือแน่นมากขึ้น “ไม่มีอะไรครับ”
อย่างไรก็ตาม สมาชิกของตระกูลไป๋นั้นต่างเคยเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักของเขตไห่เฉิงดี สถานะทางการเงินของพวกเขานั้นแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเกิดตอนนั้นบริษัทไป๋ซื่อไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ตอนนี้ตระกูลไป๋ก็จะยังคงเป็นหนึ่งในตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งแวดวงธุรกิจในเขตไห่เฉิงอย่างแน่นอน ดังนั้น ข่าวการล้มละลายของตระกูลไป๋ในตอนนั้นจึงกลายเป็นข่าวกระแสดังที่บรรดาสื่อและผู้ชมต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และในตอนนี้ข่าวการเสียชีวิตภายในเรือนจำของไป๋เจิ้งตงนั้น ก็จะต้องกลายเป็นข่าวที่ฮอตฮิตติดกระแสดังอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
ทันทีที่ได้ยินเผยลี่เชินพูดคำว่า “ไม่มีอะไร” ออกมานั้น ทันใดนั้น สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มแห่งความขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ จากนั้นสายตาของเธอก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเย็นชามากกขึ้น “เมื่อกี้ฉันได้ยินสิ่งที่ฉีเฟิงพูดหมดแล้วล่ะค่ะ”
เสียงของฉีเฟิงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์นั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดังมาก แต่เธอก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
สีหน้าของเผยลี่เชินเคร่งเครียดเล็กน้อย จากนั้น เขาก็พูดออกมาว่า “ผมจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
ขณะที่ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังนิ่งเงียบอยู่นั้น เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และรีบกดรีเฟรชดูพาดหัวข่าวของเขตไห่เฉิงในทันที และมันก็เป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด พาดหัวข่าวที่ขึ้นครองพื้นที่หน้าแรกของเว็บข่าวนั้น เป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋
“ไป๋เจิ้งตง หัวหน้าครอบครัวไป๋รับชีวิตในคุกไม่ไหว ฆ่าตัวตายหมายทำให้เหมือนอุบัติเหตุ!”
“ไป๋เจิ้งตง อดีตประธานไป๋ซื่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน อนาคตของตระกูลไป๋จะเป็นอย่างไร!”
บรรดาพาดหัวข่าวที่ใช้สำนวนเกินจริงเพื่อดึงดูดสายตาให้คนคลิกเข้าไปอ่านนั้นต่างทะยานขึ้นเป็นข่าวฮอตฮิตอันดับหนึ่งแทบจะในทันที ทันทีที่ไป๋เสว่เอ๋อร์คลิกอ่านพาดหัวข่าวเหล่านั้นไปจำนวนหนึ่ง ขมับทั้งสองข้างของเธอก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนบีบอย่างรุนแรง จากนั้นเธอก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที
“ไร้สาระ!”
หลังจากที่เธออ่านเนื้อหาข่าวที่ถูกเขียนไว้ไปจำนวนหนึ่ง ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่อาจที่จะทนอ่านต่อไปได้อีก และความรู้สึกโกรธจัดก็กลับปะทุขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจในทันที
เธอกระแทกโทรศัพท์มือถือเข้ากับเบาะนั่งในรถทันที ดูเหมือนว่าความโกรธจัดนั้นจะเข้าครอบงำเธอทุกหนทุกแห่ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้แล้ว เธอก็รู้สึกไร้พลังขึ้นมาในทันที
เธอกัดฟันของเธอและพยายามอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ แต่เธอกลับกลั้นไม่ให้น้ำตาของเธอนั้นไหลรินออกมาสู่ภายนอกไม่ได้
ไหล่ทั้งสองข้างของเธอนั้นทรุดลง ทันใดนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ถูกใครบางคนคว้าตัวเธอเข้าไปกอดอยู่ภายในอ้อมแขนอันอบอุ่น มือขนาดใหญ่ของชายหนุ่มเอื้อมออกมา และจับคางของหญิงสาวเงยขึ้น พร้อมกับใช้หัวแม่มือค่อยๆ เช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาของเธออย่างแผ่วเบา “อย่าร้องไห้เลยนะ คุณปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง”
น้ำเสียงของเผยลี่เชินนั้นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เขาค่อยๆ ลูบหลังของเธออย่างเบามือ “คุณมีผมอยู่นะ คุณไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว”
ช่วงเวลาหนึ่งนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์อยากที่จะหลบซ่อนตัวของเธอเองอยู่ภายใต้ปีกอันแข็งแรงของชายหนุ่มเหลือเกิน ไม่ออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอก ไม่ต้องไปฟังเสียงซุบซิบนินทาวุ่นวายอะไร แต่ทว่าตอนนี้นั้น ผู้ชายคนที่กำลังมอบความอบอุ่นให้เธอคนนี้นั้น จะเป็นคนที่เธอสามารถไว้วางใจได้จริงหรือ
หลังจากนั้นไม่นาน รถยนต์ก็เคลื่อนมาถึงยังบริเวณที่จัดงานศพ ดูเหมือนว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะกลับมาเข้มแข็งและใจเย็นมากขึ้นได้สักครู่หนึ่ง
เธอลงจากรถอย่างนิ่งเงียบ และเดินเข้าไปยังห้องโถงด้วยสีหน้าที่เย็นชา เมื่อเห็นคุณแม่ไป๋ที่กำลังยืนรอเธออยู่นั้น เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาภายในหัวใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเดินไปหาคุณแม่อย่างรวดเร็ว เธอเอื้อมมือออกไปกุมมือของคุณแม่ไป๋อย่างเบามือ เมื่อทั้งสองคนได้สบตาของกันและกัน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคำใดๆ ออกมาให้มากความ
หลังจากทั้งคู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุด คุณแม่ไป๋ก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “แม่ทำในส่วนของพิธีการเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ เดี๋ยวรออีกสัก 40 นาที ก็ถึงคิวของพวกเราแล้วล่ะ”
เมื่อเห็นใบรายการที่อยู่ในมือของคุณแม่ไป๋ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอพยักหน้า และมองออกไปยังที่อื่น
ดูเหมือนว่า 40 นาทีที่ว่านี้จะยาวนานเป็นพิเศษ ไป๋เสว่เอ๋อร์กุมมือทั้งสองข้างของเธอเข้าไว้และถูมันกลับไปกลับมา จนกระทั่งหลังมือทั้งสองข้างของเธอเริ่มกลายเป็นสีแดง แต่มันก้ยังไม่ถึงคิวของพวกเธอเสียที
ในที่สุด ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาหาพวกเธอ “ขอเชิญครอบครัวของคุณไป๋เจิ้งตงครับ งานกำลังจะเริ่มแล้ว”
พวกเธอเดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นไปตามทางเดิน ทันทีที่เดินไปถึงยังด้านหลังของเมรุเผาศพ และได้เห็นร่างของคุณพ่อค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากห้องเผาศพนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว
เมื่อเห็นหญิงสาวมีอาการผิดปกติ เผยลี่เชินก็เอื้อมมือออกมา และประคองบ่าของหญิงสาวเอาไว้อย่างแผ่วเบา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ส่ายหัว เธอผลักมือของเขาออกไปด้วยสีหน้าที่ดูซีดเซียว พวกเขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องเผาศพ และคอยมองดูตั้งแต่เจ้าหน้าที่เผาศพนำร่างของคุณพ่อเข้าไปยังห้องเผาศพ มองดูเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมา มองดูร่างของคุณพ่อบวมขึ้นและหดตัวลง จนกระทั่งเหลือเพียงกระดูกและอัฐิเท่านั้น
เมื่อพิธีการทั้งหมดสิ้นสุดลง อัฐิของคุณพ่อก็ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ภายในโกศ ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูเจ้าหน้าที่ถือโกศใบนั้นส่งให้เธอ ทันใดนั้น ร่างกายของเธอก็อ่อนแรง และเป็นลมล้มหมดสติไปในทันที