ตอนที่ 331 อาศัยแรงคนอื่นมาสู้
ดวงตาของสวี่เยว่หรูเปล่งประกาย ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาเมื่อได้ยิน “ฉันเคยบอกแล้วไง ผู้หญิงคนนี้ถือเป็นว่าตัวเองเป็นคนโปรด เป็นคนของประธานเผย จะทำอะไร อย่างไงก็ได้ ไม่สนใจคนอื่น จนเที่ยวไปรังแกคน แถมยังยโสอีก”
เธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว จ้องมองด้วยสายตาเคร่งขรึมหันไปทางเสี่ยวหลิวพร้อมพูดว่า “ฉันเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัท แน่นอนว่าไม่สามารถทำแบบที่เธอกล่าวหาได้ วางใจเถอะฉันมีวิธี”
พูดจบสวี่เยว่หรูยกมือขึ้นตบไหล่ของเสี่ยวหลิว กล่าวยกยอ “ทำได้ไม่เลว เธอชอบน้ำหอมที่วางอยู่บนโต๊ะฉันใช่ไหม? ฉันใช้ไม่แค่กี่ครั้งเอง เธอเอาไปใช้เถอะฉันให้”
เสี่ยวหลิวดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น “ขอบคุณคะพี่เยว่!”
รอจนเสี่ยวหลิวเดินจากไปแล้ว สวี่เยว่หรูจึงกลับไปออฟฟิศของตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรศัพท์หาเสิ่นหรูเฟิงเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเที่ยงนี้พร้อมกับเรื่องของเสี่ยวหลิว
เสิ่นหรูเฟิงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน พาดขาทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ นั่งฟังสวี่เยว่หรูพูดด้วยความขี้เกียจ ยิ้มบ้างเป็นครั้งคราว
เมื่อสวี่เยว่หรูพูดจบเขาก็พูดอย่างหงุดหงิด “เธอยังไม่ชินกับไป๋เสว่เอ๋อร์อีกรึ? ตอนเช้าทำไมถึงปล่อยให้เขามาทำรังแกเธอได้?”
สวี่เยว่หรูหายใจไม่ทั่วร้องเมื่อได้ยิน “คุณก็รู้นะว่าตอนนี้เธอเป็นแฟนของเผยลี่เชิน ฉันไปมีเรื่องกับเธอและคนที่ทุกข์ใจมากที่สุดก็คือฉัน”
ขณะพูดเธอถามด้วยความสงสัย “คุณเคยพูดว่าจะให้ฉันไปทำงานที่บริษัทของคุณใช่ไหม! ตอนนี้ฉันเบื่อทำงานที่นี่แล้ว คุณจะให้ฉันไปทำงานที่บริษัทของคุณเมื่อไรดีล่ะ?”
“อย่าพึ่งรีบร้อนนักซิที่รัก!” เสิ่นหรูเฟิงยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มแต่สายตากลับดูเย็นชา “เราแพ้การประมูลครั้งที่แล้วไม่ใช่รึ?” เธออยู่ที่เผยซื่อไปก่อน ร่วมมือกับฉันช่วยเสิ่นซื่อของพวกเราแย่งเอาโครงการมาสักสองสามโครงการ กดดันเผยซื่อ ถึงตอนนั้นเธอค่อยย้ายมาก็ยังไม่สาย เงินของฉันก็คือเงินของเธอ?”
เสิ่นหรูเฟิงพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้จิตใจของสวี่เยว่หรูเบิกบานจนลืมบ่นโน่นนี่ พูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณพูดถูก ฉันควรช่วยเสิ่นซื่อให้ได้โครงการมากกว่านี้”
เสิ่นหรูเฟิงหัวเราะเมื่อได้ยิน พูดด้วยความตื่นเต้น “ที่จริงเธอทำได้ไม่เลว แต่ฉันมีวิธีหนึ่งที่ทำให้ประธานเผยลี่เชินไม่สามารถปกป้องไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ เธออยากรู้ไหม?”
“ว่าไงนะ!” สวี่เยว่หรูรู้สึกตื่นเต้นรีบถามทันควัน “รีบบอกฉันมาเร็ว”
เสิ่นหรูเฟิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “เธอก็ยืมแรงคนอื่นมาให้ต่อกรกับไป๋เสว่เอ๋อร์ซิ เธอไม่อาจต่อสู้กับอำนาจของเผยลี่เชินได้ แต่ในบริษัทก็มีคนซึ่งสามารถต่อกรกับเผยลี่เชินได้ เช่น ถานปิน ผู้ถือหุ้นที่เธอเล่าให้ฉันฟังเมื่อครั้งก่อนไง”
สวี่เยว่หรูดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจที่เขาพูดแบบนี้ เธอหายใจลึกพูดอย่างตื่นเต้น “ฉันเข้าใจแล้ว! เพราะเรื่องของเฝิงเช่นหลานสาวของถานปินทำให้เขามีอคติกับไป๋เสว่เอ๋อร์ ขอเพียงฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกเขา ฉันเองก็ไม่ต้องจัดการกับไป๋เสว่เอ๋อร์โดยตรง มีถานปินเป็นคนออกโรงเอง”
“ฉลาดมาก!” เสิ่นหรูเฟิงหัวเราะเสียงดัง “นับวันที่รักของฉันจะฉลาดมากขึ้น คืนนี้อยากกินอะไร ฉันอยากให้รางวัลเป็นการตอบแทนเธอสักหน่อย”
สวี่เยว่หรูเบิกบานใจเมื่อถูกยกยอ พูดอีกสองสามประโยคแล้ววางโทรศัพท์คิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้ถานปินรู้เรื่องนี้ และยังต้องใช้เรื่องของบริษัทหงซิงด้วย
ในเวลาเดียวกันไป๋เสว่เอ๋อร์มาถึงคฤหาสน์ตระกูลไป๋ เธอรีบลงจากรถแท็กซี่ทันทีโดยไม่รอให้รถจอดสนิท เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว
ที่ลานบ้านมีรถเบนท์ลีย์จอดอยู่ ไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นรถของเฝิงเจิ้งปาง
เธอรีบกลับขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสอง เปิดประตูใหญ่เดินเข้าไปเห็นคนสองคนยืนอยู่คือเฝิงเจิ้งปางและคุณหมอคนหนึ่ง ส่วนคุณแม่ไป๋นอนอยู่บนเตียงหน้าขาวซีด สภาพหมดแรง
“แม่!” ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบวิ่งไปหน้าเตียง “แม่เป็นอะไร?”
หลังจากที่พ่อเธอตายจากไป เธอก็เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของคนที่เธอรัก ตอนนี้เธอยังคงเจ็บปวดใจ ยิ่งไม่อยากคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ตัวเองรัก
คุณแม่ไป๋เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ น้ำตาก็ปรากฏขึ้นในดวงตา เธอยื่นมือไปจับมือของไป๋เสว่เอ๋อร์ จากนั้นส่ายหัวเบาๆ “แม่ไม่เป็นไร แค่เสียใจมากไปหน่อย….”
ขณะพูดเธอหันไปมองอีกด้าน
เห็นคุณแม่ไป๋เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดเธอเองก็รู้อยู่เต็มอก เป็นเพราะพ่อของเธอที่จากไป จึงเสียใจอย่างสุดซึ้ง อีกอย่างเธอเป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ความรู้สึกผูกพันที่มีไม่ใช่ว่าจะตัดขาดกันได้ง่ายๆ
เห็นสภาพคุณแม่ไป๋ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดเจ็บปวดใจไม่ได้ เธอกุมมือของแม่ พูดเบาๆ “แม่ พ่อคงไม่อยากเห็นพวกเราอยู่ในสภาพนี้ พวกเราต้องทำชีวิตให้เป็นปกติสุข ดีไหมคะ?”
คุณแม่ไป๋หลับตาเงียบไปนานจนในที่สุดก็พยักหน้า “เสว่เอ๋อร์ที่จริงแล้วแม่อยากขอโทษลูก เรื่องของลุงเฝิง ซึ่งแม่ปิดบังลูกมาตลอด เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจ เจ็บปวดใจ แม่เป็นผู้หญิงอ่อนแอ พึ่งพาอาศัยไม่ได้ ลูกรู้ไหมว่าแม่ขมขื่นขนาดไหน? ช่วงชีวิตในครึ่งแรกของแม่ลำบากนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ชีวิตหลังจากนี้แม่คงทนไม่ไหวแน่….”
ขณะพูดคุณแม่ไป๋ก็น้ำตาร่วงหล่น มองไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยจิตใจเจ็บปวด
ตอนนี้เห็นแม่เป็นแบบนี้ ฟังเธอพูดเช่นนี้ จิตใจเธอเองก็เริ่มหวั่นไหวอย่างช้าๆ
การตำหนิและความไม่เข้าใจก่อนหน้าของแม่ก็ค่อยๆ จางหายไปในขณะนี้….
ไป๋เสว่เอ๋อร์กลั้นน้ำตา แต่มีเสียงสะอื้น กุมมือคุณแม่ไป๋ไว้แน่น พูดเบาๆ “แม่ ไม่ต้องพูดแล้ว หนูเข้าใจแล้ว”
คุณแม่ไป๋พยักหน้าอย่างตั้งใจ “ลูกเข้าใจก็ดีแล้ว”
ทันใดนั้นคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเบา “คุณไป๋ ไข้ของคุณแม่ของคุณยังไม่ลดลง ให้เธอพักผ่อนมากๆ แล้วเธอจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเมื่อได้ยิน ก้มหน้ามองคุณแม่ไป๋ที่อยู่บนเตียง พูดเบาๆ “แม่…แม่พักผ่อนเถอะ สองสามวันนี้หนูจะอยู่ดูแลแม่เองคะ”
คุณแม่ไป๋ส่ายหน้าเมื่อได้ยิน พูดเบาๆ “ลูกไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ คุณลุงเฝิงและคุณหมอก็อยู่ที่นี่แล้ว คอยดูแลแม่อยู่ แม่ไม่อยากให้ลูกเหนื่อย เข้าใจไหม?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าพร้อมพูดเบาๆ “งั้นแม่ก็พักผ่อนเถอะ แล้วหนูจะมาเยี่ยมใหม่”
เห็นคุณแม่ไป๋พยักหน้า หลับตา ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงวางใจลุกเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ
เฝิงเจิ้งปางเดินตามออกมา ร้องเรียกเบาๆ “เสว่เอ๋อร์ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”
การที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเฝิงเจิ้งปาง ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่คุ้นเคยสักเท่าไร เธอหายใจลึก ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “มีอะไรคะ?”
เฝิงเจิ้งปางถอนหายใจและพูดต่อ “เธอเห็นสภาพของแม่เธอแล้วนะ มันคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีใครอยู่ดูแลแม่ของเธอ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว เมื่อรู้ว่าที่ได้ฟังไม่ถูกต้อง จึงถามกลับ “ดังนั้น?”
“ฉันอยากบอกว่าฉันสามารถดูแลแม่ของเธอได้ สามารถให้บ้านที่อบอุ่นแก่แม่ของเธอได้ ให้ที่พักพิงทางใจ” เฝิงเจิ้งปางนิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “ฉันอยากแต่งงานกับแม่ของเธอ”