ตอนที่ 328 สะกิดแผลสดแล้วเทเกลือลงไป
สำหรับผู้คนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างเจ็บปวดนั้น พิธีฌาปณกิจศพนั้นถือเป็นพิธีสุดท้ายของชีวิตที่สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่เคียงข้างกายของหญิงสาว กลับกลายเป็นเถ้ากระดูกสีเทาดินกองหนึ่งนั้น อารมณ์ความรู้สึกในตอนนั้นช่างหดหู่และเต็มไปด้วยความจริงที่เธอจำต้องยอมรับ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่เธอได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้แล้ว ในที่สุด เธอก็ยอมรับความเป็นจริงทั้งหมด
หลังจากได้พักใจอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 2-3 วัน เธอก็ได้ไปฝังศพคุณพ่อของเธอด้วยตัวเอง และไว้อาลัยให้กับคุณพ่อของเธอเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้นั้นกินเวลาไปเกือบครึ่งเดือน ไป๋เสว่เอ๋อร์น้ำหนักลดลงไปกว่า 5 กิโลกรัม ร่างกายที่แต่เดิมก็ผอมบางอยู่แล้วนั้น กลับอ่อนแอและบอบบางยิ่งกว่าเดิม คางของเธอนั้นดูแหลมขึ้นมาก จนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลย
เมื่อได้เห็นสภาพร่างกายของหญิงสาวในตอนนี้ที่ผอมราวกับปีกอันบอบบางของตัวจั๊กจั่น เผยลี่เชินก็รู้สึกทุกข์เป็นอย่างมาก แต่ทว่าภายในหัวใจของเขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดี คนที่ดื้อรั้นอย่างไป๋เสว่เอ๋อร์นั้น จะต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะโน้มน้าวเธอสักเท่าไร ก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้เธอจะเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน สภาพจิตใจของเธอก็ค่อยๆ ดีมากขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากที่รอให้ขั้นตอนต่างๆ ผ่านพ้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้ายที่สุด เธอก็เริ่มกินข้าวได้ แต่ก็ยังคงเงียบนิ่งและไม่พูดอะไรมากเท่าไรนัก
“คุณหนูไป๋คะ วันนี้ป้าทำไข่ตุ๋นกุ้งที่คุณหนูชอบทานด้วยนะคะ ทั้งเรื่องโภชนาการหรือเมนูอาหารทะเลแบบนี้ ป้าเองก็เพิ่งหัดทำ คุณหนูลองชิมดูหน่อยสิคะว่ามันรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ป้าจางเปลี่ยนวิธีในการทำอาหารให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นใช้ความพยายามและความตั้งใจอย่างมาก นั่นก็เพราะเธอต้องการให้ไป๋เสว่เอ๋อร์นั้นรับประทานอาหารให้มากขึ้นเสียหน่อย ซึ่งไป๋เสว่เอ๋อร์เองนั้นก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดี
ทันทีที่เธอหยิบช้อนขึ้นมา และตักข้าวผัดเข้าไปในปากของเธอ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยิ้ม และมองไปทางป้าจาง “อร่อยมากค่ะ หนูชอบมากเลย”
เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของไป๋เสว่เอ๋อร์เป็นไปในทางที่ดีนั้น ป้าจางก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก เธอจึงรีบพูดออกไปว่า “ถ้าคุณหนูชอบก็ทานเยอะๆ นะคะ แค่คุณหนูชอบก็ดีแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อเผยลี่เชินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นว่าไป๋เสว่เอ๋อร์อารมณ์ค่อนข้างดีทีเดียว เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาด้วยเช่นกัน เขาเลิกคิ้วขึ้น และหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดออกไปว่า “กินข้าวเสร็จแล้ว ผมจะพาคุณไปช็อปปิ้งนะ ใกล้จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว ผมจะพาคุณไปซื้ออะไรสักหน่อย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เตือนเขาเบาๆ ว่า “วันนี้วันทำงานนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วงนี้ที่บริษัทไม่ค่อยยุ่งเท่าไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็วางช้อนที่ถืออยู่ในมือลงกับโต๊ะทันที สีหน้าของเธอดูจริงจังขึ้นมาครู่หนึ่ง “ทำไมฉันถึงได้ยินหวั่นหวั่นพูดว่าพอเข้าช่วงสิ้นปีแล้ว ที่บริษัทจะยุ่งเป็นพิเศษล่ะคะ”
เมื่อถูกหญิงสาวจับได้คาหนังคาเขา เผยลี่เชินก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ผมไม่อยากคุณต้องรู้สึกกังวล คุณได้อยู่บ้านก็ดีออกนะ”
หลังจากที่รอให้เขาพูดจบ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็โต้ตอบกลับไปในทันที “แต่ฉันอยากไปทำงาน”
เผยลี่เชินอึ้งไปครู่หนึ่ง “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปทำงานล่ะครับ”
“ฉันไม่มีอะไรให้ทำที่บ้านนี้ สิ่งที่ต้องทำก็ทำเสร็จไปหมดแล้ว ฉันควรกลับไปทำงานที่บริษัทได้แล้วค่ะ”
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของหญิงสาว ที่ดูแน่วแน่และไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด เผยลี่เชินก็เงียบไปครู่หนึ่ง “คุณอยากกลับไปจริงๆ เหรอ”
การที่ได้เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ต้องซึมเศร้าเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น เผยลี่เชินเองก็รู้สึกไม่ดีและเป็นทุกข์เช่นกัน กู้หลี่เหลียงแนะนำว่าให้เขาลองหาอะไรให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ทำดูบ้าง เธอจะได้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และให้เวลาเธอได้ทำใจอย่างช้าๆ
ไม่ใช่ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล แต่เป็นเพราะเผยลี่เชินเองมีวิธีการบางอย่างอยู่ในใจแล้ว ที่บริษัทนั้นมีสายตาคอยจับจ้องเยอะเกินไป แถมหลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าทุกคนก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมดแล้ว เขากลัวว่าถ้าไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินข่าวซุบซิบนินทาพวกนี้เข้า มันจะทำให้เธอต้องรู้สึกเจ็บปวด
แต่ทว่าตอนนี้ ในเมื่อเธอยืนยันอยากที่จะกลับไปที่บริษัท มันคงจะดีถ้าลองทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า “อื้อ ฉันจะอยู่บ้านไปตลอดไม่ได้หรอกค่ะ”
ทันใดนั้น สีหน้าของเผยลี่เชินก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ผมรับปากคุณได้ แต่ผมเองก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องคุณด้วย”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทีจริงจังขึ้นมา ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก “เรื่องอะไรคะ”
เผยลี่เชินยกมือขึ้นมา นิ้วที่เรียวยาวสีขาวของเขาประสานเข้าไว้ด้วยกันที่บนโต๊ะด้านหน้าของเธอ “คุณต้องกินข้าวให้หมด”
เมื่อก้มลงไปมองจานข้าวผัดที่ยังคงเหลืออยู่มากกว่าครึ่งจาน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เผยลี่เชินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลิกคิ้วขึ้น “หรือว่าป้าจางทำกับข้าวไม่อร่อย คุณอยากจะให้ผมเรียกเธอออกมาดูไหม ว่ายังไงล่ะ”
“คุณนี่มัน!” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้ดีว่าเขาแค่กำลังแกล้งเธออย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องเรียกค่ะ! ฉันจะกินให้หมดเอง!”
ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ป้าจางดูแลเธออย่างพิพีพิถัน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดจะไปบอกป้าจางว่าอาหารพวกนี้ไม่อร่อยแล้วล่ะก็ เกรงว่านั่นคงจะทำร้ายจิตใจป้าจางอย่างแน่นอน
ไป๋เสว่เอ๋อร์หยิบช้อนขึ้นมา ก้มหน้า และเริ่มตักอาหารคำโตที่อยู่ตรงหน้าของเธอใส่เข้าปากไปทีละคำๆ
ในที่สุด ใบหน้าของเผยลี่เชินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ถ้าเกิดเขาใช้วิธีนี้สามารถบังคับให้เธอกินข้าวได้นั้น บางทีอาจจะไม่ต้องใช้เวลานานมากนักกว่าที่น้ำหนักของไป๋เสว่เอ๋อร์จะกลับคืนมาเหมือนก่อนหน้านี้ได้
ขอแค่ให้เธอก้าวข้าวผ่านความเจ็บปวดพวกนี้ไปให้ได้ และส่วนที่เหลือนั้น เขาจะเป็นคนคอยอยู่เคียงข้างเธอเอง
เมื่อได้กลับไปยังบริษัทตามที่เธอร้องขอ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เธอดูจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมทีเดียว แต่ความรับผิดชอบที่เธอมีต่องานนั้นยังคงเต็มเปี่ยมเช่นเดิม
แต่จะว่าไปแล้ว การที่เธอไม่ได้มาทำงานนานถึงครึ่งเดือน และต้องกลับมาเริ่มทำงานใหม่อีกครั้งแบบนี้ อย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวอยู่บ้าง
หลังจากที่ประธานบริษัทได้มอบหมายงานจำนวนหนึ่งมาให้เธอ ประสิทธิภาพของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ช้าลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน เธอจำต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาต่อ เพื่อที่จะสามารถจัดการงานทั้งหมดนั้นให้เสร็จได้ทันเวลา
“คุณไป๋คะ เร็วๆ นี้ ทางบริษัทของเราจะมีการประชุมเจรจาเรื่องความร่วมมือสำหรับช่วงสิ้นปีกับทางบริษัทซิ่งหงค่ะ นี่เป็นผลิตภัณฑ์และใบเสนอราคาที่ทางฝ่ายการตลาดเสนอมาให้ รวมไปถึงตารางรายละเอียดของโรงงานก็อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้วด้วยค่ะ อยากให้คุณช่วยพิจารณาตรวจสอบดูก่อน แล้วค่อยส่งอีเมลไปให้ทางบริษัทคู่เจรจา พร้อมกับรายละเอียดทั้งหมดนี้ด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า และยิ้มให้กับเสี่ยวจางเล็กน้อย “เสี่ยวจาง เธอนี่เก่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ สู้ต่อไปล่ะ”
เสี่ยวจางยิ้มอย่างเขินอาย “ยังไงก็ยังสู้พี่เสว่เอ๋อร์ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรอยากให้ฉันช่วย ก็เรียกฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
“ได้จ้ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็นำเอกสารที่เสี่ยวจางส่งมาให้มาวางลงบนกองเอกสารที่รอการดำเนินการอยู่ที่ข้างตัวเธอ และลงมือจัดการภาระงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป
เมื่อผ่านไปหนึ่งวันเต็ม และเข้าสู่ช่วงเช้าของวันที่สองนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงจะทำงานเร่งด่วนที่อยู่ในมือทั้งหมดนั้นเสร็จเรียบร้อยเสียที
หลังจากที่ทำสำเนาไฟล์เอกสารลงไปในเฟลชไดรฟ์เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังจะนำส่งข้อมูลของบริษัทซิ่งหงที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วไปให้เผยลี่เชินตรวจดูอีกทีนั้น ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว เธอจะไม่พบใครสักคนอยู่ภายในห้องนั้นเลย
เมื่อเสี่ยวจางที่กำลังเดินผ่านมาเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์เข้า เธอก็รีบเข้ามากระซิบเตือนไป๋เสว่เอ๋อร์ในทันทีว่า “พี่เสว่เอ๋อร์ ท่านประธานออกไปแล้วล่ะค่ะ ท่านประธานมีนัดเลี้ยงอาหารกับลูกค้า”
เมื่อได้ยินเสี่ยวจางพูดแบบนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็นึกขึ้นมาได้ในทันที วันนี้ตารางงานของเผยลี่เชินนั้นระบุว่าเขามีนัดเลี้ยงรับรองลูกค้าจริงๆ แต่เป็นเธอต่างหากที่ลืมเสียเอง
ไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น ไว้ตอนบ่ายพี่ค่อยมาหาอีกทีแล้วกัน”
เสี่ยวจางเดินเข้ามาเธอ พลางยิ้มพลางคล้องแขนของไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับกระซิบเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น พี่เสว่เอ๋อร์ ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว พวกเราไปกินข้าวด้วยกันนะคะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดถึงเวลาขึ้นมา ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกหิวตามขึ้นมาจริงๆ เธอพยักหน้าตอบรับ “เอาสิ ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปที่โรงอาหารกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนมาถึงยังโรงอาหาร ก็เป็นเวลาทานอาหารกลางวันพอดี โรงอาหารจึงมีผู้คนเดินเข้าออกจำนวนมาก และยากที่จะหาที่ว่างเพื่อนั่งลงได้ หลังจากที่ไป๋เสว่เอ๋อร์และเสี่ยวจางรับอาหารที่สั่งไว้มาแล้วนั้น ทั้งสองคนก็เดินตั้งแต่สุดทางของอีกฝั่งไปจนถึงสุดทางของอีกฝั่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถหาที่ว่างได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้น เสี่ยวจางก็เห็นสวี่เยว่หรูและเสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง เธอก็รู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที “พี่เสว่เอ๋อร์ พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่าค่ะ!”
ทุกโต๊ะที่ตั้งอยู่ภายในโรงอาหารนั้นเป็นโต๊ะสำหรับสี่คนนั่งทั้งหมด สวี่เยว่หรูและเสี่ยวหลิวนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นเพียงสองคน ทำให้ยังคงเหลือที่ว่างอีกสองที่อย่างพอดิบพอดี
หลังจากที่มองไปรอบๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่สามารถหาโต๊ะว่างตัวอื่นได้อีก เธอจึงจำต้องเดินตามเสี่ยวจางตรงไปยังโต๊ะตัวนั้นในทันที
สวี่เยว่หรูเงยหน้าขึ้น และกวาดสายตามองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ ดวงตาของเธอนั้นปรากฏรอยยิ้มเย็นชาที่แฝงด้วยความหมายบางอย่างเอาไว้ แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากที่นั่งลงแล้ว เสี่ยวจางก็เอ่ยปากพูดคุยกับเสี่ยวหลิวอย่างเรียบง่าย ส่วนไป๋เสว่เอ๋อร์นั้นก้มหน้าก้มตาทานอาหาร โดยที่ไม่สุงสิงหรือสื่อสารกับใครทั้งนั้น
เมื่อได้เห็นท่าทีของไป๋เสว่เอ๋อร์แบบนั้น สวี่เยว่หรูก็รู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น หลังจากที่สวี่เยว่หรูทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็เหลือบตามองบนและมองไปยังเสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับพูดออกมาว่า “บางคนพอมาทำงานวันแรกนะ ก็ไม่พูดไม่จาทำหน้าเศร้าซังกะตายอยู่คนเดียว สงสัยคงตายไปพร้อมกับคนที่บ้านแล้วล่ะมั้ง”
ขณะที่สวี่เยว่หรูยังพูดไม่จบดีนั้น ท่าทางของไป๋เสว่เอ๋อร์ที่กำลังคีบอาหารอยู่นั้นก็หยุดชะงักลงในทันที เสี่ยวจางและเสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กในทันที
ทุกคนในบริษัทต่างรู้ดีว่าคุณพ่อของไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งเสียไป และตอนนี้สวี่เยว่หรูก็พูดเรื่องนั้นออกมาต่อหน้าเธอแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเธอตั้งใจที่จะสะกิดแผลสดแล้วเทเกลือลงไป เพื่อซ้ำเติมให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุดอีกครั้งไม่ใช่เหรอ