ตอนที่ 330 คุณแม่ไป๋ป่วย
ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นลู่เหยาก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “ผมตรวจสอบเสร็จไปแล้วบางส่วน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ เวลาที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นไกลเล็กน้อย และค่อนข้างลำบากมากทีเดียว ไว้รอให้ทางผมตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วพวกเราค่อยนัดมาคุยกันดีกว่าครับ”
เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ตกลงค่ะ รบกวนรุ่นพี่ด้วยนะคะ”
“เรามันคนกันเอง ทำไมต้องพูดสุภาพขนาดนั้นด้วยล่ะ” น้ำเสียงของลู่เหยาในตอนนี้นั้นไม่ดูจริงจังและเคร่งเครียดเหมือนเช่นเดิม เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาว่า “เสว่เอ๋อร์ ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดอย่างเรียบๆ ว่า “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันกลับมาทำงานที่บริษัทได้แล้วค่ะ”
ในตอนนี้นั้น ถ้าหากว่ามีใครมาถามเธอด้วยคำถามเดียวกันในลักษณะนี้ เธอก็คงจะตอบกลับไปอย่างไร้ความรู้สึก ด้วยคำตอบแบบเดียวกัน
หลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง ทันใดนั้น ลู่เหยาก็เอ่ยปากพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างลึกซึ้งอ่อนไหวว่า “ผมมีประโยคหนึ่งที่อยากจะพูดกับคุณ คนเราต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะระบายความรู้สึกออกมาบ้างนะ เข้าใจไหม”
แทนที่จะเก็บเอาอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดขังไว้อยู่ภายในจิตใจ มันคงจะดีกว่าถ้าคุณสามารถหาโอกาสให้ตัวเองได้ระบายและปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นไปได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ว่าเธอในตอนนี้นั้น เธอจะระบายความรู้สึกนี้ออกไปได้อย่างไรกันล่ะ
รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของหญิงสาว ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากพูดอย่างแผ่วเบาออกไปว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ รุ่นพี่ ขอบคุณมากนะคะ”
เสียงที่หนักแน่นและจริงจังของลู่เหยาดังขึ้นมาจากปลายสายว่า “ถ้าเกิดคุณอยากให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนคุณเมื่อไรล่ะก็ ผมพร้อมเสมอนะ”
ภายในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันที เธอตกปากรับคำ จากนั้นก็กดวางสายโทรศัพท์ไป
เธอมองไปที่หน้าจอของโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นมาและดับลงไป ความรู้สึกทุกข์ใจที่เคยติดอยู่ภายในใจของเธอนั้นได้มลายหายไปอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกองงานที่วางอยู่บนโต๊ะและยังคงทำไม่เสร็จนั้น เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับเปิดฝาข้าวกล่อง และลงมือรับประทาน
ไม่ว่าเธอจะเศร้าโศกเสียใจมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะระบายออกไปได้หรือไม่ สิ่งที่เธอต้องให้ความสำคัญในตอนนี้ก็คือการจัดการกับภาระงานที่กองอยู่ในมือของเธอนั้นให้เสร็จสิ้นลุล่วงไปด้วยดี
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลาเข้างานในช่วงบ่าย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังต้องส่งใบเสนอราคาสำหรับความร่วมมือไปให้ทางบริษัทซิ่งหงด้วย เธอควานหาสิ่งของในกระเป๋า แต่กลับหาแฟลชไดร์ฟที่เคยอยู่ในนั้นไม่เจอ!
ไฟล์เอกสารสำคัญในครั้งนี้ เธอยังไม่ได้สำรองข้อมูลเอาไว้บนคอมพิวเตอร์ของเธอเลย เธอเลือกที่จะใส่มันลงไปในแฟลชไดร์ฟ เพื่อให้เผยลี่เชินสามารถตรวจสอบมันได้อย่างสะดวกในทันที แต่ใครจะไปคาดคิดว่า แฟลชไดร์ฟหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!
ทันใดนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกกังวลขึ้นมาในทันที และวันนี้ก็เป็นวันครบกำหนดที่ต้องส่งไฟล์เอกสารนั้นผ่านทางอีเมลให้กับทางบริษัทซิ่งหงแล้วด้วย ถ้าเกิดว่าเธอไม่ส่งไปล่ะก็ จะต้องทำให้แผนการร่วมมือของทั้งสองฝ่ายล่าช้าอย่างแน่นอน ซึ่งผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมานั้น เธอรับผิดชอบไม่ไหวแน่นอน
สมองของเธอนั้นรีบนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเช้าและบ่ายของวันนี้ทันที จากห้องประธานบริษัท เธอพกแฟลชไดร์ฟติดตัวออกไปที่บริเวณโรงอาหารของพนักงานด้วย จากนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะวางแฟลชไดร์ฟอันนั้นเอาไว้บนโต๊ะอาหาร!
หลังจากที่นึกออกแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบลุกขึ้นยืน และรีบวิ่งไปที่โรงอาหารพนักงานในทันที
เมื่อเห็นพนักงานร้านขายเครื่องดื่มเข้า ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบเอ่ยปากถามออกไปในทันทีว่า “สวัสดีค่ะ พอดีวันนี้ตอนที่มาทานมื้อกลางวัน ฉันทำแฟลชไดร์ฟหล่นที่นี่ค่ะ ไม่ทราบว่าพวกคุณเห็นแฟลชไดร์ฟอันนั้นบ้างหรือเปล่าคะ”
พนักงานร้านขายเครื่องดื่มยกมื้อขึ้น และชี้ไปที่ตู้กระจกของหายที่ตั้งอยู่ข้างๆ “คุณลองไปหาตรงนั้นดูนะ ปกติแล้ว ถ้ามีใครทำอะไรหายที่นี่ล่ะก็ ของพวกนั้นก็มักจะอยู่ตรงนั้นทั้งหมด”
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากขอบคุณออกไป และรีบเดินไปยังตู้กระจกนั้นในทันที จากนั้น เธอก็กวาดสายตามองหนึ่งรอบ และก็พบว่าแฟลชไดร์ฟอันนั้นถูกวางเอาไว้อยู่ที่บริเวณชั้นกลางของตู้กระจก
เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ จากนั้น เธอก็เปิดตู้กระจก และหยิบแฟลชไดร์ฟอันนั้นออกมาทันที
แฟลชไดร์ฟอันนั้นเป็นของเธออย่างแน่นอน และเธอก็คุ้นตาร่องรอยที่อยู่บนแฟลชไดร์ฟอันนั้นได้เป็นอย่างดีทีเดียว
หลังจากที่หยิบแฟลชไดร์ฟอันนั้นกลับมาแล้ว ความกังวลที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจก็ถูกยกออกไปในทันที ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับมาที่ห้องของประธานบริษัท และเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบข้อมูล จากนั้น เธอก็ติดต่อไปหาเผยลี่เชินทันที
“ฉันจะส่งรายละเอียดเอกสารความร่วมมือกับทางบริษัทซิ่งหงไปให้นะคะ คุณช่วยตรวจสอบดูสักครู่ว่ามีปัญหาตรงไหนหรือเปล่า”
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียง “ตื่อดึ๊ง” ก็ดังขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้รับข้อความจากเผยลี่เชินตอบกลับมาว่า “หลังจากที่คุณตรวจสอบเสร็จแล้ว ก็ส่งไปให้บริษัทซิ่งหงได้เลย ไว้ผมจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมจะกลับไปหาคุณ”
“ตกลงค่ะ”
หลังจากที่เธอตอบข้อความกลับไปอย่างสั้นๆ เรียบร้อยแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ส่งไฟล์เอกสารที่อยู่ในแฟลชไดร์ฟนั้นไปให้ทางบริษัทซิ่งหงในทันที เอกสารที่ต้องส่งในวันนี้ เธอได้ตรวจสอบดูมันหลายรอบแล้ว ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นได้แน่นอน
หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ลงมือทำงานอื่นที่อยู่ในมือต่อทันที
ขณะที่เวลาผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของไป๋เสว่เอ๋อร์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นมาในทันที เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์เหลือบไปมอง เธอก็เห็นว่าเป็นสายจากคุณแม่ไป๋ของเธอ
เธอกดรับสายโทรศัพท์ “ว่าไงคะ แม่ มีอะไรเหรอคะ”
แต่ทว่าปลายสายที่โต้ตอบกลับมานั้นกลับไม่ใช่เสียงของคุณแม่ไป๋ มันกลับเป็นเสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง “สาวน้อย นี่ลุงเฝิงนะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ดูเศร้าหมองขึ้นมาทันที เพราะคนที่โทรมาหาเธอนั้นคือเฝิงเจิ้นปางนั่นเอง
เดิมทีนั้น เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจในตัวเฝิงเจิ้นปาง ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสองคนได้พบกันนั้นก็ดูเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าไรนัก และยิ่งตอนนี้คุณพ่อของเธอก็เสียชีวิตไปแล้วด้วย ยิ่งทำให้เธอไม่อาจที่จะเปิดใจยอมรับเขาได้เลยแม้แต่น้อย และเธอก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจกับการมีอยู่ของตัวเขามากขึ้นไปอีกด้วย “แม่ล่ะคะ คุณโทรศัพท์มาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
เมื่อเฝิงเจิ้นปางได้ยินดังนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของไป๋เสว่เอ๋อร์ เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีที่ดูไม่เกรงกลัวอะไรของเขาเมื่อครั้งก่อนที่ทั้งสองคนได้มาพบกันนั้น เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ท่าทีของเขานั้นแย่กว่าเดิมเสียอีก
“ลุงโทรมาหาหนู ก็เพราะแม่ของหนูป่วยน่ะ”
“อะไรนะคะ!” ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามกลับไปด้วยความตกใจ ทันใดนั้น เธอก็ถือโทรศัพท์เอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว “แม่ของฉันเป็นยังไงบ้างคะ”
คุณพ่อของเธอเพิ่งจะเสียชีวิตไป และตอนนี้คุณแม่จู่ๆ ก็มาล้มป่วยอีก ทันทีที่เธอได้รู้ข่าวนี้เข้า มันคือข่าวร้ายขนาดใหญ่ยักษ์สำหรับเธออย่างไม่ต้องสงสัย
เฝิงเจิ้นปางที่อยู่ปลายสายพูดต่อไปอีกว่า “ช่วงนี้คุณแม่ของหนูไข้ขึ้นติดต่อกันนาน 2-3 วันแล้ว สาเหตุอาจจะมาจากความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นก็ได้ หนูกลับมาดูแลคุณแม่ท่านหน่อย ตอนนี้คุณแม่กลับไปพักที่บ้าน และไม่ยอมไปโรงพยาบาลด้วย ลุงเลยต้องเรียกหมอประจำครอบครัวมาดูอาการคุณแม่แทนน่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ขมวดขึ้นในทันที หัวใจของเธอนั้นเจ็บปวดราวกับถูกอะไรบางอย่างบีบรัดเอาไว้แน่น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ฉันทราบแล้วค่ะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบเก็บของทั้งหมดของเธอในทันที จากนั้น เธอก็เหลือบไปดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
ตอนนี้ยังคงเป็นเวลาเข้างานอยู่ ถ้าเกิดว่าเธอโดดงานล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้งานจำนวนมากต้องล่าช้าไปแน่นอน แต่ว่าในเมื่อคุณแม่ไป๋กำลังป่วยแบบนี้ เธอเองก็ไม่อาจที่จะนั่งเฉยๆ อยู่ที่นี่ได้
หลังจากที่ชั่งน้ำหนักไปมาแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หยิบกระเป๋าของเธอ และรีบเดินออกไปจากห้องทำงานทันที จากนั้น เธอก็เดินตรงไปยังบริเวณที่นั่งของผู้ช่วยฝึกหัด และพูดกับเสี่ยวจางเบาๆ ว่า “พอดีพี่มีเรื่องด่วนต้องออกไปจัดการเดี๋ยวนี้ เธอช่วยจัดการงานของทางบริษัท แล้วก็ช่วยรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในห้องทำงานของพี่ให้ด้วยจะได้ไหม”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ดูรีบร้อนอย่างมาก เสี่ยวจางก็พยักหน้าตกปากรับคำอย่างไม่ต้องคิดซ้ำในทันที “ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เองค่ะ”
“ขอบคุณมากนะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบเอ่ยปากขอบคุณออกไป และรีบวิ่งตรงไปที่ลิฟต์อย่างรีบร้อนในทันที
เสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ เสี่ยวจางคอยสังเกตการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ ขณะที่เธอกำลังมองไป๋เสว๋เอ๋อร์รีบวิ่งออกไป สายตาของเธอก็เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเธอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงอาหารวันนี้ ทันใดนั้น เธอก็นึกวิธีการบางอย่างได้ขึ้นมาทันที
เธอถือแก้วชา และแกล้งทำเป็นว่าจะเดินไปยังห้องน้ำชา เมื่อเธอไปถึงยังบริเวณห้องน้ำชาแล้ว เธอก็รีบส่งข้อความหาสวี่เยว่หรูทันที “พี่เยว่หรู มาที่ห้องน้ำชาเร็วค่ะ หนูมีเรื่องบางอย่างจะบอกพี่! มันเกี่ยวข้องกับไป๋เสว่เอ๋อร์!”
ไม่ถึงสามนาที สวี่เยว่หรูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูของห้องน้ำชา เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปภายในห้องทันที เธอลดเสียงลงและถามออกไปว่า “มีเรื่องอะไรทำไมด่วนขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับไป๋เสว่เอ๋อร์”
เสี่ยวหลิวพูดออกไปอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “พี่เยว่หรู หนูจะบอกอะไรให้ เมื่อกี้ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบวิ่งมาหาพวกหนู แล้วก็มาวานให้เสี่ยวจางช่วยรับโทรศัพท์ในห้องทำงานของเธอด้วย เธอบอกว่ามีธุระด่วน จากนั้นก็วิ่งออกไปเลยค่ะ พี่คิดดูสิว่าเธอเพิ่งจะกลับมาทำงานได้ไม่นาน เป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้วนะที่เธอแอบโดดงานออกไปอย่างไม่เกรงกลัวอะไรขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สนใจกฎและข้อบังคับของทางบริษัทเลยแม้แต่น้อยค่ะ!