เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 328 โง่งมเหมือนหมู
เยี่ยเม่ยถอนใจ
เอ่ยต่อว่า “ปีนั้นเป็นเพราะข้า เสด็จพ่อถึงไม่ฟังคำทักท้วงของไป๋หลี่ซือซิว สุดท้ายทำให้ราชสำนักจงเจิ้งล่มสลาย มาวันนี้เขาจะยินยอมช่วยข้าหรือ”
ในสายตาไป๋หลี่ซือซิว เยี่ยเม่ยสมควรเป็นชนชั้นโง่งมอย่างถึงที่สุด ให้เขามาช่วยเยี่ยเม่ย เขาไม่น่ายินยอม
ซือหม่าหรุ่ยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวล เจ้าดู! หลังจากข้าส่งจดหมายให้โอวหยางเทาและเซียวเซ่อหยาง พวกเขาบอกเรื่องนี้กับไป๋หลี่ซือซิว นี่คือจดหมายที่เขาตอบกลับมา!”
เยี่ยเม่ยเปิดจดหมายอ่านดู
นางอ่านไปก็กระตุกมุมปากขึ้น…
“ซิวทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ปีนั้นองค์หญิงโง่งมเหมือนหมู ทำให้ซิวมิอาจทนได้ เชื่อว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ องค์หญิงได้รับบทเรียนแล้ว คงไม่โง่งมเหมือนเดิมอีก ซิวยินยอมเชื่อองค์หญิงสักครั้ง หวังว่าองค์หญิงจะไม่ทำให้ซิวผิดหวังอีก”
เยี่ยเม่ยหน้าคล้ำง้ำงออยู่นาน “เจ้ามั่นใจว่าคนผู้นี้ปลอมตัวเป็นจงซาน รับตำแหน่งขุนนางใหญ่หลายปีจริงๆ หรือ ทำไมข้าสงสัยว่าเขาปลอมตัวไปเป็นฮ่องเต้เสียมากกว่า…”
พูดจาไม่เกรงใจเลยสักน้อย
ซือหม่าหรุ่ยอยากหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก “เขาก็เป็นอย่างนี้! ต้องบอกว่าสติปัญญาของไป๋หลี่ซือซิว ในปีนั้นเทียบเคียงเป่ยเฉินอี้ได้ คนทั่วหล้าต่างคิดว่าเป็นคนที่เก่งกาจเท่ากับเป่ยเฉินอี้ เพียงแต่ภายหลังทุกคนต่างคิดว่าเขาตายแล้ว ถึงค่อยๆ ลืมคนผู้นี้ไป เยี่ยเม่ย เมื่อมีเขาคอยช่วยเหลือ เจ้าก็สบายขึ้นมาก!”
“อือ!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
นางรู้สึกเบาใจได้ไม่น้อย ราชสำนักเป่ยเฉินมีเสินเซ่อเทียนผู้หนึ่ง เซี่ยโหวเฉินผู้หนึ่ง ซ้ำยังมีเป่ยเฉินอี้อีกผู้หนึ่ง รวมถึงแม่ทัพใหญ่อีกนับไม่ถ้วน
เมื่อมีไป๋หลี่ซือซิวคอยช่วยเหลือต่อกรกับเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายก็นับว่าเบาแรงลงไปด้วย
ซือหม่าหรุ่ยเล่าต่อว่า “หลายปีนี้ไป๋หลี่ซือซิว ใช้ฐานะของจงซานรวบรวมยอดฝีมือจำนวนไม่น้อย เชื่อว่าต่อไปจะช่วยเหลือพวกเราได้มาก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในจดหมายเขา อืม…”
ก็จริงที่คำพูดเหล่านั้นไม่เกรงใจเท่าไหร่ ด้วยนิสัยของเยี่ยเม่ย นางกลัวเยี่ยเม่ยโกรธจนคิดตรงไปจัดการไป๋หลี่ซือซิวที่เมืองหลวงด้วยซ้ำ
เยี่ยเม่ยรู้ว่าซือหม่าหรุ่ยคิดอะไร นางมองอีกฝ่าย “ข้าหาได้โกรธเขา อันที่จริงคำพูดของไป๋หลี่ซือซิว ไม่มีอะไรผิด!”
ปีนั้นนางโง่งมราวกับหมู คำพูดนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
นางมองโต๊ะหนังสือจงรั่วปิงทีหนึ่ง เดินไปหยิบพู่กันเขียนประโยคหนึ่งออกมา “ขอบคุณท่านเสนาบดีที่ไม่ทอดทิ้ง เยี่ยเม่ยซาบซึ้งเป็นอย่างมาก”
เสนาบดีคือฐานะของไป๋หลี่ซือซิวในราชสำนักจงเจิ้ง
คำว่าเยี่ยเม่ยสองคำนี้ ทั้งเป็นการบอกไป๋หลี่ซือซิวว่า ภายหน้านางจะใช้ชีวิตในฐานะเยี่ยเม่ย ใช้ฐานะเยี่ยเม่ยแก้แค้น
เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของไป๋หลี่ซือซิว ต้องเข้าใจความหมายของตนแน่
หลังจากเขียนจบแล้ว นางก็มอบให้ซือหม่าหรุ่ย “ช่วยส่งให้เขาด้วย!”
“ได้!”
……
วังหลวง
ไป๋หลี่ซือซิว ไม่สิ จงซาน คุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร ฮ่องเต้สีหน้าเย็นชาถามจงซานว่า “จงซาน เจ้าเข้ามารับราชการกี่ปีแล้ว”
จงซานมองฮ่องเต้อย่างระวัง “ฝ่าบาท สี่ปีแล้ว!”
“เพิ่งจะสี่ปี…” ฮ่องเต้ถอนหายใจ อดใจไม่ตรัสว่า “ข้ามักคิดว่า เจ้าอยู่ข้างกายข้ามานานหลายปีแล้ว!”
จงซานรีบตีหน้าเศร้าเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เพราะว่าพระองค์อยู่กับกระหม่อมถึงคิดว่าวันหนึ่งผ่านไปยาวนานเหมือนปีหนึ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นพระองค์อย่าประหารกระหม่อมเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องดำริให้ดี นี่ถือเป็นข้อดี ข้อดีนั้นก็เช่น เช่น…จริงด้วย หนึ่งวันเหมือนหนึ่งปี นั้นก็หมายถึงพระงอค์รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตมากขึ้นหลายปี มีชีวิตยืนยาวกว่าคนทั่วไป!”
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์บึ้งตึง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ความหมายของข้าคือ ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนสหายเก่าแล้วต่างหาก!”
ฮ่องเต้แสดงออกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตของพระองค์ที่คิดว่าจงซานมีวิธีคิดแตกต่างจากคนทั่วไปไม่น้อย แต่คนผู้นี้ดันฉลาดหลักแหลม ช่วยงานพระองค์ไม่น้อย ดังนั้นฮ่องเต้ถึงกลัดกลุ้มมาก
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”จงซานยามนี้ระบายลมหายใจออกมา “อย่างนั้นฝ่าบาทตามตัวกระหม่อมเพื่อเรื่องอันใด”
ฮ่องเต้ไอแห้งคำหนึ่ง ตรัสอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “หลายวันนี้ ข้าไม่ให้เฉยชาใส่เจ้า เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ!”
ครั้งก่อนที่จงซานยืนยันจะถอนหมั้น ยามอยู่ในท้องพระโรงฮ่องเต้จึงไม่มองเขา แต่ว่าจงซานหาได้ใส่ใจไม่ อะไรที่สมควรทำเขาก็ทำอยู่ทุกวัน ฮ่องเต้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ พระองค์สมควรวางใจหรือกังวลใจดี
“ฝ่าบาท พระองค์เย็นชาต่อกระหม่อม กระหม่อมยินดียิ่งนัก! ทางหนึ่งกระหม่อมสามารถรับเงินเบี้ยหวัดตำแหน่งต้าซือคง อีกทางหนึ่งกระหม่อมก็มิต้องทำงาน กระหม่อมมีความใฝ่ฝันที่จะกินอยู่ไปวันๆ เพื่อรอความตายเช่นนี้ กระหม่อมพอใจเหลือเกิน จะเก็บไปใส่ใจเพื่ออะไร” จงซานเอ่ยอย่างจริงจัง
ยามนี้ฮ่องเต้รู้สึกว่าพระพัตร์เขียวคล้ำ มองท่าทางจริงจังของจงซาน ในชั่วขณะนี้พลันไม่รู้จะตรัสอะไรดี
หลังจากสูดลมหายใจ ก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ใส่ใจ นั่นก็ดีที่สุด แต่ข้าหวังว่า ภายหน้าเจ้าจะช่วยเหลือองค์ชายใหญ่!”
ดังนั้นจงซานเข้าใจแล้ว นี่คือสาเหตุที่ฮ่องเต้เรียกตัวเขาเข้ามา
เขาปรับสีหน้าเป็นปกติ โขกหัวให้ฮ่องเต้ทีหนึ่ง “กระหม่อมฉันเข้าใจแล้ว กระหม่อมขอตอบตามตรง ถึงจะถอนหมั้นแล้ว ระหว่างกระหม่อมกับองค์ชายใหญ่หาได้มีผลประโยชน์ผูกพันกัน แต่ว่ากระหม่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ดังนั้นเมื่อฝ่าบาทหวังให้กระหม่อมช่วยเหลือองค์ชายใหญ่ กระหม่อมย่อมพยายามอย่างเต็มที่ แต่ฝ่าบาทต้องเข้าพระทัยว่า การถอนหมั้นครั้งนี้ทำองค์ชายใหญ่ไม่พอใจกระหม่อม หากวันหนึ่งที่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นชีวิตของกระหม่อม…”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นจงซานตรงไปตรงมาเช่นนี้ ในใจก็ตื้นตัน ตรัสทันทีว่า “ขุนนางรักวางใจ ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ช่วยราชกิจ ข้าจะพระราชทานราชโองการเหล็ก สามารถรักษาชีวิตของครอบครัวเจ้าไว้ได้ ย่อมไม่มีทางผิดต่อความภักดีของเจ้า!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท! ยินดีทำงานเพื่อพระองค์จนร่างกายแหลกเหลว ไม่มีวันหยุดเด็ดขาด” ซงจานรีบประจบออกไป
ฮ่องเต้ถอนพระทัย “เช่นนั้นเรื่องงานแต่งของจงรั่วปิง…”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมไม่มีทางให้นางแต่งงานกับศัตรูของฝ่าบาทแน่นอน!” จงซานกล่าวตามตรง
ยามนี้ฮ่องเต้คลายพระทัยลงแล้ว “อย่างนั้นก็ดี! ขุนนางรักเจ้ากลับไปเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” จงซานรีบลุกขึ้น ล่าถอยออกไป
หลังจากเขาออกไป
หัวหน้าขันทีเอ่ยว่า “ใต้เท้าจงซานผู้นี้ ได้รับความความสำคัญจากฝ่าบาทถือเป็นบุญวาสนาของเขา!”
ฮ่องเต้ปรายพระเนตรมองหัวหน้าขันที ตรัสเสียงเย็นเยียบ “จงซานหาใช่คนธรรมดา เขามีสติปัญญาสูงล้ำ แต่กลับไม่ชอบใช้ออกมา ทั้งไม่แย่งชิงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่งกับพวกเป่ยเฉินอี้และเซี่ยโหวเฉิน เอะอะก็ทำเป็นเหมือนหูหนวก แท้จริงแล้วความสามารถเขาไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย เมื่อเขาภักดีต่อข้า ข้าก็วางใจ!”
“แต่ว่าฝ่าบาท เหตุใดใต้เท้าจงถึงไม่ยอมแสดงฝีมือออกมา มีปัญหาอะไรหรือไม่” หัวหน้าขันทีอดใจไม่ไหวถามออกมา
ฮ่องเต้ตอบ “ข้าเองก็เคยสงสัยมาก่อน! แต่ภายหลังข้าคิดได้แล้ว เจ้าดูเขากลัวตายเสียขนาดนี้ ที่ไม่เสนอหน้าออกมาเพราะกลัวจะโดดเด่นเกินไป เรื่องนี้แปลกตรงไหน”
“อ้อ…ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้ว!”
……
“ใต้เท้า! จดหมายจากเยี่ยเม่ย!” บ่าวผู้หนึ่งยื่นจดหมายให้จงซาน
จงซานอ่านจบแล้วก็ยิ้มยกมุมปาก “ครั้งนี้นางกลับไม่ทำให้ข้าผิดหวัง !”