บทที่2 ขอติดรถเขาไปด้วย
หลังจากที่ซูซีมู่และโจวเฉิงออกไป ก็ตรงไปที่ลานจอดรถ
แต่โล่เฟยเอ๋อ เพราะกลัวว่าพวกโล่ชิงไป๋จะตามมาได้ทัน โล่เฟยเอ๋อไม่ได้หยุดอยู่ในโรงแรม
เธอรีบวิ่งออกจากโรงรมอน่างรีบร้อน เตรียมเรียกรถแท็กซี่ที่ทางออกด้านนอกโรงแรม
ผลลัพธ์คือตอนที่เธอวิ่งไปถึงทางออก ค่อยนึกขึ้นได้ว่ากระเป็นของเธอหล่นอยู่ในห้องแต่งหน้า
ตอนนี้กลับเข้าไปเอาก็คงเป็นไปไม่ได้ เธอทำได้แค่ดูว่าจะบังเอิญเจอคนใจดี ให้ติดรถไปด้วยได้ไหม
ในคืนเริ่มฤดูหนาว อุณภูมิค่อนข้างต่ำ โล่เฟยเอ๋อทั้งตัวสวมแค่ชุดกระโปรง ยืนตัวสั่นระริกๆ มองซ้ายมองขวาที่ตรงทางออก
มองเห็นรถคันหนึ่งวิ่งออกจากโรงแรมจากไกลไกล เธอโค้งตัว แล้วยืนมือออกไปโบกรถ
โจวเฉิงขมวดคิ้ว มองผู้หญิงที่โบกรถห่างออกไปหลายสิบเมตร ชำเลืองมองซูซีมู่ที่งีบหลับจากกระจกมองหลังแล้วพูด “ประธานซู มีผู้หญิงโบกรถ”
ซูซีมู่ลืมตา ดวงตาที่ลึกราวกับน้ำวน มองไม่เห็นก้นบึ้ง
เขาเงยหน้ามองไปทางที่โจวเฉิงกำลังชี้ ตอนที่สายอันเย็นชามองเห็นคนที่ยืนตัวสั้นระริกๆ อยู่ไม่ไกล ก็ใจลอยขึ้นทันที…
“ประธานซู…” ตอบที่โจวเฉิงกำลังเตรียมจะเอ่ยปากถามซูซีมู่ว่าจะจอดรถหรือไม่ เขาก็มองเห็นสีหน้าของซูซีมู่ที่แต่ไหนแต่ไรมาเยือกเย็นเกือบจะไม่มีอารมณ์จากกระจกมองหลัง ที่จริงกำลัง … ใจลอยเหรอ
โจวเฉิงดูเหมือนจะหวาดกลัว แสดงอารมณ์ตะลึง งงงวยทันที
ประธานซูกำลังใจลอยเหรอ ประธานซูกำลังใจลอยจริง ๆ
นับตั้งแต่สามปีก่อนที่เขาติดตามประธานซูจนถึงตอนนี้ นี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอารมณ์ที่นอกจากเย็นชาของประธานซู
ประธานซูกำลังมองผู้หญิงที่โบกรถอยู่ด้านนอกคนนั้น สายตาของโจวเฉิงชำเลืองมองซูซีมู่แวบหนึ่ง จากนั้นค่อยค่อยผ่อนความเร็วของรถให้ช้าลง ท้ายสุดจอดรถห่างจากด้านหน้าของโล่เฟยเอ๋อเมตรหนึ่ง
รถหยุดลง ซูซีมู่ก็ได้สติกลับมา สายตาเย็นชากวาดมองไปที่โจวเฉิง
โจวเฉิงลูบจมูก กระแอ้มไอสองทีแล้วพูด “อะแฮ่มอะแฮ่ม …รถดับกะทันหัน”
ซูซีมู่เม้มปาก ไม่พูดอะไร
โล่เฟยเอ๋อนึกไม่ถึงว่าเธอจะโชคดีขนาดนี้ โบกรถคันแรก เขาก็จอดเลย
สองมือของเธอลูบแขนที่หนาวจนขนลุกขนพอง จากนั้นเดินไปที่ด้านหน้ารถเบนซ์สีดำคันนั้นที่หยุดอยู่ ยกมือขึ้นเคาะหน้าต่างฝั่งคนขับ
ต่อมา กระจกรถก็ลดลง เผยให้เห็นหน้าชายหนุ่ม
“สวัสดี คือฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหม”
ตอนที่โจวเฉิงมองเห็นโล่เฟยเอ๋อ ก็ตกใจอย่างแรงจริง ๆ
คู่หมั่นของประธานซูไม่ใช่ควรจะอยู่ในโรงแรมรอเริ่มพิธีงานแต่งเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อีกทั้งยัง… กระเซอะกระเซิงยืนโบกรถอยู่ข้างถนน
เห็นผู้ชายตรงที่นั่งคนขับไม่พูด โล่เฟยเอ๋อก็ถามซ้ำอย่างเบาเบา “ได้..ไหม”
เพราะว่าหนาวมาก ปากของเธอกำลังสั้น
โจวเฉิงทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธ โล่เฟยเอ๋อ ลังเลหลายวิ แล้วพยักหน้า “ขึ้นมาสิ” ในขณะที่พูดเขาก็ยืนมือไปกดปลดล็อคประตู
“ขอบคุณ” โล่เฟยเอ๋อยิ้มและขอบคุณ จากนั้นถอยหลังไปสองก้าว ยืมมือเปิดประตูหลัง
“คุณอย่า..” ตอนที่โจวเฉิงเห็นการกระทำของโล่เฟยเอ๋อ อยากจะห้ามเธอ แต่กลับไม่ทันซะแล้ว
ประตูเบาะหลังเปิดออก สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาของโล่เฟยเอ๋อคือรองเท้าหนังสีดำที่ทำด้วยงานฝีมือของผู้เชียวชาญ
ที่นั่งเบาะหลังยังมีคนนั่งอยู่ โล่เฟยเอ๋อแอบด่าตัวเองที่บุ่มบ่าม จากนั้นก้มหน้าขอโทษอีกฝ่าย “ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่า…ฮัดเช้ย…”
พูดไม่ทันจบ โล่เฟยเอ๋อก็จามออกมาแรงๆที่หนึ่ง ถ้าไม่ไช่เพราะเธอเอามือปิดปากได้เร็ว เกรงว่าเธอจะพ่นน้ำลายไม่น้อยลงบนร่างกายของอีกฝ่าย
เดิมทีซูซีมู่ก็ไม่พอใจเล็กน้อยที่โจวเฉิงตัดสินใจเอาเองยอมให้ผู้หญิงคนนี้ขึ้นรถ กลับคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้อยากจะพยายามนั่งที่เบาะหลัง กระทั่งเกือบจะจามใส่ตัวของเขา
ในตาของเขาฉายแววตาเย็นชา เขาค่อยค่อยหันหน้าหนี เตรียมจะปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ไม่ให้ขึ้นรถ ตอนที่เขามองเห็นด้านหน้ามีหัวที่มีขนดกสั่นดิกๆ เขาก็พูดอะไรไม่ออก
เขาเม้มปาก สายตามองไปที่ตัวเธออย่างลังเล ตอนที่เห็นบาดแผลบนแขนและบนขาของโล่เฟยเอ๋อ คิ้วอันสวยงามของเขาก็ขมวดเล็กน้อย
“คุณชาย ขอโทษด้วย…” โล่เฟยเอ๋อไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเป็นเวลานาน ลังเลสักครู่ ก็ขอโทษอีกที
ซูซีมู่ พูด ‘อึม’ คำหนึ่ง ถือว่าตอบรับ
ได้ยินซูซีมู่ตอบกลับอย่างเย็นชาขนาดนี้ โล่เฟยเอ๋อพูดแขวะในใจ จะโกรธอะไร ไม่ใช่เกือบจะจามใส่ตัวคุณเหรอ แน่นอนว่าเธอไม่มีทางพูดความคิดของเธออกมา ที่จริงตอนนี้เธอยังต้องของติดรถของเขา
และโจวเฉิงเห็นฉากนี้ ก้นบึ้งของหัวใจก็รู้สึกกลัวในภายหลัง เมื่อกี้เขาเกือบคิดว่าประธานซูจะต่อว่าโล่เฟยเอ๋อ จากนั้นทิ้งเธอไว้ข้างถนน
ยังดี ประธานซู ยินยอม โจวเฉิงแอบโล่งอก จากนั้นพูดกับโล่เฟยเอ๋อ “คือ.. คุณหนู คุณนั่งข้างคนขับสิ”
ชีวิตน้อย ๆ ของผมคิดเพื่อเธอ เธออยู่ห่างประธานซูปะ
“โอ้…ได้” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า ยังคงก้มหน้าปิดประตูรถ จากนั้นอ้อมหน้ารถ ถึงอีกฝั่งเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ แล้วนั่งในรถ
อุณหภูมิในรถสูง โล่เฟยเอ๋อที่หนาวจนตัวแข็งรู้สึกสบาย เกือบอยากจะครวญครางออกมา
เมื่อกี้โล่เฟยเอ๋อยืนอยู่นอกรถ โจวเฉิงเพียงแค่คิดว่าเธอลำบากเล็กน้อย ตอนนี้เธออยู่ในรถ เขาเพิ่งตื่นตกใจเธอไม่เพียงลำบาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า
ชุดกระโปรงบนตัวเธอฉีกขาด บนแขนและขามีบาดแผลไม่น้อย บางรอยแผลยังลึกมาก…
คุณหนูโล่คนนี้ทำไมถึงทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไปได้
ราวกับรู้สึกสังเกตุเห็นสายตาของโจวเฉิง,โล่เฟยเอ๋อก็หันมามอง ยิ้มจางๆ “ขอบคุณ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” โจวเฉิงชำเลืองมองซูซีมู่ที่กระจกมองหลังอย่างเคอะเขิน ถ้าไม่ใช่เพราะประธานซูยอมรับโดยปริยาย ถึงเขาจะยินยอม ก็ไม่มีประโยชน์
โจวเฉิงเก็บสายตากลับมา ทั้งสตาร์ทรถทั้งถาม “โล่……” เพิ่งพูดคำว่า‘โล่’ออกมาได้คำหนึ่ง โจวเฉิงพบว่าไม่ถูก รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “คุณหนู คุณจะไปที่ไหน”
ไปไหน วางกุญแจกับกระเป๋าอยู่ในโรงแรม ที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ตอนนี้ก็กลับไม่ได้ สำหรับบ้านตระกูลโล่ แน่นอนว่ากลับไปไม่ได้
นึกถึงบ้านตระกูลโล่ ,โล่เฟยเอ๋อก็คิดถึงอารมณ์เย็นชาของบิดาที่ต้องการให้เธอแต่งงาน สายตาของเธอมืดลง สักพักถึงพูดออกมา “ถ้าเป็นไปได้ คุณช่วยไปส่งฉันที่ชุมชนปี้ไหในเขตตะวันออกได้ไหม แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ทางผ่านพวกคุณ ก็ปล่อยฉันลงข้างทางก็ได้” พูดเสร็จ สายตาของโล่เฟยเอ๋อก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่างกระจกรถ
“พวกเรา…” โจวเฉิงเตรียมกำลังจะตอบโล่เฟยเอ๋อ ก็ถูกเสียงริงโทนโทรศัพท์เสียงหวานขัดจังหวะ
หลังจากสิบกว่าวินาที เสียงที่เยือกเย็นก็ดังขึ้น “มีเรื่องเหรอ”
น้ำเสียงแม้ว่าจะเยือกเย็น แต่กลับน่าฟังจริงจริง
นึกไม่ถึงว่าน้ำเสียงของคนด้านหลังที่หยิ่งยโส จะไพเราะขนาดนี้ โล่เฟยเอ๋ออดไม่ได้ที่แปลกใจ ค่อยค่อยใช้สายตาที่เดิมทีมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง หันมามองกระจกมองหลัง
สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตา คือใบหน้าอันหล่อเหลาที่ละเอียดลออ จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง มีชีวิตชีวาหล่อเหลาจนทำให้คนตกตะลึง
แสงไฟในรถส่องบนตัวเขา วาดเขาทั้งตัวเหมือนภาพเสก็ตช์ที่เลือนลาง ทำให้เขาดูเหมือนเทวดาที่ตกลงมาสู่โลกมนุษย์ แต่กลับไม่แปะเปื้อนโลกมนุษย์
เทวดาที่ตกลงมาสู่โลกมนุษย์ แต่กลับไม่แปะเปื้อนโลกมนุษย์เหรอ ทำไมเธอถึงประเมินค่าผู้ชายที่โคตรหยิ่งยโสคนนี้ สูงขนาดนี้ รุ่นพี่กู้ถึงเป็นผู้ชายที่มีค่าสูงที่สุดในใจของเธอ
ฮึ เธอจะต้องหาข้อบกพร่องบางอย่างบนตัวเขา สายตาของโล่เฟยเอ๋อก็มองไปที่กระจกมองหลังอีกครั้ง
หน้าตาสมบูรณ์แบบ…
แต่งกายธรรมดาแต่กลับมีรสนิยม
แม้แต่ผิวพรรณก็ดีมาก…