บทที่ 15 ไปกินข้าวที่หยู้ผินเซียง
วันนี้ซูซีมู่ ยุ่งมาก ในตอนเช้าก็ประชุมผ่านวีดีโอหลายครั้ง
ในช่วงบ่ายก็ต้องไปต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ หลังจากนั้นก็มีการประชุมกัน
ตอนที่เขาออกมาจากห้องประชุมก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่งแล้ว เขานวดขมับที่ปวด ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามีนัดทานข้าวเย็นกับ โล่เฟยเอ๋อ
โจวเฉิงกำลังถือเอกสาร ระหว่างทางเดินตามซูซีมู่กลับห้องทำงานก็ถามขึ้นว่า “ประธานซูครับ อาหารเย็นคุณอยากทานอะไรครับ? ผมจะได้ไปสั่ง…”
โจวเฉิงยังพูดไม่ทันจบ ซูซีมู่ก็ขัดจังหวะโดยตรงว่า “อาหารเย็น? ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
โจวเฉิงดูโทรศัพท์จากในประเป๋าเสื้อแล้วตอบว่า “สองทุ่มสามสิบนาทีครับ”
ได้ยิน โจวเฉิงบอกว่าสองทุ่มสามสิบนาที เสียงฝีเท้าของซูซีมู่ก็หยุดลง “ให้ตายเถอะ! ทำไมนานไม่เตือนฉันให้เร็วกว่านี้”
โจวเฉิงถูกดุอย่างยากที่จะเข้าใจ ประธานซูต้องการให้เตือนเรื่องอะไร?
ซูซีมู่ไม่มีเวลาอธิบายกับโจวเฉิง แค่พูดว่า “เอากุญแจรถมาให้ฉัน”
โจวเฉิงตะลึงไปสองสามวิ ก็หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้กับซูซีมู่
ซูซีมู่รับกุญแจรถมา แล้วก็หันหลังเดินตรงไปที่ลิฟต์
โจวเฉิงตอบโต้ และไล่ตามไป “ประธานซู รอให้ผู้ตัดการแผนกต่างๆมารายงานคุณ…”
ซูซีมู่ขณะที่เดินเข้าไปในลิฟต์ ก็ตอบว่า ‘ยกเลิก’
ในสายตาที่มีแต่งานของประธานซูต้องการยกเลิกการประชุม? ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วเหรอ…เอ่อ….. ไม่มีดวงอาทิตย์ โจวเฉิงมองดูยามพลบค่ำนอกหน้าต่าง ลูบจมูก แล้วก็รีบไปประกาศบอกคนอื่นว่าไม่ต้องมารายงานที่ห้องทำงานของประธานซูแล้ว
หลังจากซูซีมู่ออกมาจากลิฟต์ ก็คิดขึ้นได้ว่ามันจะดีกว่าถ้าโทรหาโล่เฟยเอ๋อก่อน
มือแตะกระเป๋าเสื้อ ก็พบว่าเขาลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องทำงาน
ไม่อยากจะเสียเวลาที่จะกลับไปเอาโทรศัพท์ที่ห้องทำงาน ก็สาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถ
ซูซีมู่ขับรถเร็วมาก จากบริษัทซูซื่อมุ่งหน้าสู่โรงแรมเมืองAระยะเวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมง แต่เขาใช้เวลาขับเพียงแค่ยี่สิบห้านาทีเท่านั้น
เขาคาดไม่ถึงว่าเขาจะรีบเดินไปที่ห้องส่วนตัวของ โล่เฟยเอ๋อ ก็ได้ยินพนักงานบริการกำลังไล่ โล่เฟยเอ๋อพอดี
แม้แต่พนักงานบริการเล็กๆยังกล้าไล่คนของเขา ซูซีมู่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เขาเอา โล่เฟยเอ๋อมาเป็น ‘คนของเขา’ ตอนนี้เขาแค่คิดว่าอยากจะพัง โรงแรมเมืองAให้ยับเยิน
“ฉันจะดูว่าใครที่กล้าไล่คนของฉัน?”
โล่เฟยเอ๋อหันหัวมอง ก็เจอเข้ากับหน้าที่โกรธของซูซีมู่
เขาที่สงบและเฉยเมยอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ทั่วตัวเผยให้เห็นบรรยากาศที่เย็นยะเยือก การแสดงออกที่มืดมนนั้นสามารถอธิบายได้ถึงความน่ากลัว
“คุณ…. มาแล้ว?” โล่เฟยเอ๋อดูเหมือนจะกลัว เสียงก็เลยสั่นเล็กน้อย
ซูซีมู่กดมุมปาก ทำให้ความโกรธหายไป แล้วก็กลับไปเย็นชาเหมือนปกติ “ขอโทษ ผมมาช้าไป”
โล่เฟยเอ๋อตกใจตะลึงก่อน หลังจากนั้นก็ส่ายหัวพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
ซูซีมู่ ‘อือ’ มาหนึ่งคำ หลังจากนั้นก็พูดอย่างดุๆกับพนักงานบริการว่า “ไปเรียกผู้จัดการมา”
พนักงานบริการตกใจน้ำเสียงของ ซูซีมู่ จนก้าวถอยหลัง หลังจากนั้นก็พูดเสียงสั่นๆว่า “ผู้จัดการ… ของเราไม่อยู่ค่ะ”
“ผู้จัดการไม่อยู่ ก็ไปตามเจ้านายมา” ซูซีมู่ไม่หยุดทำแค่นั้น
อย่างไรก็ตาม โล่เฟยเอ๋อไม่อยากทำให้เขาเดือดร้อน เธอก็เลยดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ กระซิบว่า “พวกเราไปกับเถอะค่ะ”
ซูซีมู่ก้มหัว เห็นดวงตาที่เปียกน้ำของโล่เฟยเอ๋อเล็กน้อย
เขสกัดกรามอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็ตอบกลับ ‘ครับ’ คำเดียว
”โอ๋อ” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า หลังจากนั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้อง
ตอนที่ ซูซีมู่เดินออกจากห้องตามหลังโล่เฟยเอ๋อ ยังจ้องที่พนักงานบริการอย่างโกรธเคือง
พนักงานบริการตัวหด ไม่กล้าพูดอะไร
ซูซีมู่ส่งเสียงฮึดฮัด หลังจากนั้นก็ยกเท้าก้าวตามโล่เฟยเอ๋อไป
หลังจากออกมาจาก โรงแรมเมืองA ซูซีมู่ก็พาโล่เฟยเอ๋อไปที่ หยู้ผินเซียงโดยตรง
หยู้ผินเซียงเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่แพงที่สุดของเมืองA โล่เฟยเอ๋อต้องรับบทเป็นคุณหนูของบริษัทโล่ซื่อ ปกติก็ได้มาที่นี่บ่อยๆ ตั้งแต่หลังจากจบมหาวิทยาลัย เธอไม่พึ่งเงินบ้าน ก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย
สองสามเดือนที่ไม่ได้มา หยู้ผินเซียงก็ผ่านการปรับปรุงใหม่
แต่ก่อนเคยคิดว่าที่นี่มันงดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ แต่ตอนนี้มันหรูหรามากกว่าเดิมแล้ว
ซูซีมู่พาโล่เฟยเอ๋อเข้าห้องส่วนตัวด้วยความคุ้นเคย
หลังจากพนักงานบริการรินน้ำชาให้พวกเขาแล้ว ก็ส่งเมนูมาให้ตามลำดับ
แต่เดิมอาหารเย็นเป็นตอนหนึ่งทุ่ม แต่ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว แน่นอนว่า โล่เฟยเอ๋อนั้นหิวแล้ว
เธอพลิกดูเมนู เมื่อตอนที่เห็นราคาในเมนู มือที่เธอพลิกดูเมนูก็หยุดลง
หยู้ผินเซียงราคาแพงแน่นอนว่าเธอรู้ แต่ในความทรงจำของเธอ ไม่ได้แพงขนาดนี้นะ?
เธอย่นมุมปาก คิดว่าจะเลี้ยงข้าวเย็น ซูซีมู่ไหม หรือว่าจะกลับไปกินมาม่าที่ห้องก็ได้
เห็น โล่เฟยเอ๋อไม่ขยับ สายตาของ ซูซีมู่ก็หันไปหาเธอ “มีอะไรหรือเปล่า?”
“คือ…” โล่เฟยเอ๋อไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไง ในเวลานี้ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
โล่เฟยเอ๋อเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม หันไปทาง ซูซีมู่แล้วพูดว่า “คุณซู คุณสั่งอาหารเลยค่ะ ฉันขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อน” แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ด้านหน้าหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศส แล้วรับโทรศัพท์
คนที่โทรมาเป็น หซิวหชูเฉียว ถามเธอว่าดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับ
เดิมทีมันก็ง่ายที่จะตอบไม่กี่ประโยค แต่ โล่เฟยเอ๋อที่เอ้อระเหยคุยกับ หซิวหชูเฉียว ไปสักพักหนึ่ง พึ่งจะวางสายโทรศัพท์
หลังจากกลับไปที่โต๊ะอาหาร โล่เฟยเอ๋อก็วางโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าพร้อมกับถามไปด้วยว่า “สั่งอาหารเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?”
“สั่งไปสี่อย่างซุปหนึ่ง” ซูซีมู่หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะ แล้วดื่ม ถาม โล่เฟยเอ๋อว่า “คุณดูว่าคุณอยากจะกินอะไรเพิ่มเติม”
ฟังคำพูดของ ซูซีมู่ โล่เฟยเอ๋อก็โบกมือโดยไม่คิด “ฉัน… ไม่ต้องค่ะ”
ซูซีมู่เหลือบมองมาที่เธอ หลังจากนั้นก็สั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง แล้วก็พับปิดเมนู
โล่เฟยเอ๋อสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลออกมาจากกระเป๋าเงิน และพนักงานบริการก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เก็บเมนูแล้วเดินไป
หยู้ผินเซียงเสิร์ฟอาหารรวดเร็ว ไม่ถึงสิบนาที อาหารก็มาอยู่บนโต๊ะแล้ว
ซูซีมู่ดูเหมือนว่าความอยากอาหารไม่ค่อยดี ทุกจานแค่ชิม แล้วก็วางตะเกียบลง
โล่เฟยเอ๋อไม่มีทางที่จะหดหู่ใจ ครั้งนี้เธอตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเขาเป็นพิเศษ จะมาเสียดายเงินแบบนี้ไม่ได้
ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไร ก็เริ่มเปิดท้องกิน
ที่ หยู้ผินเซียงราคาสูง ก็มีเหตุผลที่สูง ฝีมือของพ่อครัวนั้นไม่มีคำบรรยาย
โล่เฟยเอ๋อกินจนเรียกได้ว่าไม่ห่วงสวย เรียกได้ว่าจุใจ
ซูซีมู่ดื่มชาไปดูโล่เฟยเอ๋อกินข้าวไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อาหารเย็นกินหมดแล้ว ก็ควรจะคิดเงินได้แล้ว
เงินสดในกระเป๋าพร้อมการ์ด น่าจะพอแหละ! โล่เฟยเอ๋อถอนหายใจ
หลังจากนั้นก็หาข้ออ้างไปเข้าห้องน้ำ วางแผนจะไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินด้วยตัวเอง ไม่ให้ ซูซีมู่เห็นความลำบากของเธอ
สายตาของ ซูซีมู่เหลือบมองกระเป๋าที่อยู่ในมือของเธอ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจาก โล่เฟยเอ๋อ ออกจากห้อง เขาก็ตามเธอไป
ออกจากห้องมา เห็นได้ว่า โล่เฟยเอ๋อไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ แต่เดินไปที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้แทน
เขาขมวดคิ้ว แล้วเดินตามไป