เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 336 แนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นมู่หรงปี้ฉือ
เสนาบดีไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างมหันต์ กลับไม่ได้แสดงออกมาในเวลานี้
อย่างไรก็ตามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือใคร
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนที่ปากเอาแต่พูดหลักการผิดเพี้ยน หากคิดโต้เถียงเอาความกับเขาไม่มีทางเอาชนะได้ ดีไม่ดีพานจะกลายเป็นว่าตระกูลเขามีใจคิดก่อกบฏ สมคบคิดกับซือถูเฟิงมีโทษมหันต์
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในท้องพระโรงต่อให้เขาบอกว่าลาเป็นม้า ก็ไม่มีใครกล้าโต้เถียง
ดังนั้นถึงแม้เสนาบดีจะสูญเสียบุตรที่รักที่สุดไปด้วยเหตุนี้ ถึงจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแต่ก็ไม่กล้าพูดมาก อีกทั้งยังต้องขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณในท้องพระโรงอีกด้วย
เพียงแต่หัวใจเขาเคียดแค้นเยี่ยเม่ยเข้ากระดูก
ส่วนจิ่วหุนและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสองคน แม้เขาจะหวาดกลัว แต่ก็ยังผูกใจเจ็บแค้น ต้องมีสักวันหนึ่งที่พวกมันต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม
……
ยามที่มู่หรงเหยาฉือได้ฟังว่าเยี่ยเม่ยไม่รักษาแม้แต่ความเกรงใจขั้นพื้นฐาน ไม่คิดมาพบนางเลยสักนิด
ก็ชะงักไปเล็กน้อย ถามเซียวเยว่ชิง “นางเอ่ยเช่นนี้จริงหรือ เวลาพบข้าเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี”
“คือ…” เซียวเยว่ชิงตอบตามจริง “ท่านหญิงเหยาฉือ นิสัยของแม่นางเยี่ยเม่ยแปลกประหลาด แต่ไรมาใครก็ไม่อยู่ในสายตานาง ครั้งก่อนที่อี้อ๋องเสด็จมาชายแดนในฐานะผู้ตรวจการ แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ออกไปต้อนรับ!”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” มู่หรงเหยาฉือยิ้มอ่อนๆ ดวงตาปรากฏแววเย้ยหยันหลายส่วน
ดีมาก
นี่เป็นจุดที่ใช้โจมตีได้ไม่เลวเลย
ขอเพียงนางเขียนจดหมายถึงฝ่าบาท บอกว่าเยี่ยเม่ยไม่เห็นใครอยู่ในสายตา รู้ทั้งรู้ว่านางนั่งรถม้าพระราชทานมาถึงก็ไม่ออกมาต้อนรับ ไม่มีใจเคารพต่ออี้อ๋อง ไม่เกรงใจผู้ตรวจการที่ฝ่าบาทส่งมา
ฮ่องเต้ย่อมระแวงสงสัยเยี่ยเม่ยอย่างแน่นอน
ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนชอบคนที่ไม่เคารพพระองค์ ทันทีที่ฮ่องเต้เกิดความระแวง เยี่ยเม่ยก็ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจัดปอยผมตัวเอง อารมณ์ดีขึ้นมา
จากนั้นคำพูดถัดไปของเซียวเยว่ชิงกลับทำให้มู่หรงเหยาฉือสีหน้าเปลี่ยนไป
เซียวเยว่ชิงไม่มีทางรู้ว่ามู่หรงเหยาฉือกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแต่เพื่อกันไม่ให้มู่หรงเหยาฉือเข้าใจเยี่ยเม่ยผิด หลงคิดว่าเยี่ยเม่ยจงใจไม่ไว้หน้า ดังนั้นจึงเอ่ยคำพูดเหล่านี้เพื่อให้มู่หรงเหยาฉือเข้าใจว่าแม่นางเยี่ยเม่ยหาได้เลือกปฏิบัติ แต่เป็นเช่นนี้กับทุกคน
เห็นมู่หรงเหยาฉือตอบกลับมาเพียงประโยคเดียวว่าเช่นนั้นหรือ ใบหน้ายังไร้โทสะใดๆ เซียวเยว่ชิงค่อยวางใจ เขายิ้มเอ่ยต่อว่า “ถูกต้อง ดังนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยหาได้มีอคติกับท่าน ยังมีอีกอย่างแม่นางเยี่ยเม่ยกับจวินซ่างคล้ายเป็นสหายเก่ากัน ยามนี้จวินซ่างกำลังเลี้ยงข้าวแม่นางเยี่ยเม่ย นี่คือสาเหตุที่นางไม่อาจมาได้”
เซียวเยว่ชิงกำลังพยายามช่วยเยี่ยเม่ยพูดอย่างเต็มที่ หวังว่ามู่หรงเหยาฉือจะไม่เกิดอคติกับเยี่ยเม่ย
ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเม่ยก็เป็นสตรีที่พวกเขาเหล่าทหารเลื่อมใส มู่หรงเหยาฉือก็เป็นคนรักในฝันของบุรุษจำนวนไม่น้อย คนทั้งสองเป็นเหมือนเทพธิดา เซียวเยว่ชิงไม่อยากให้พวกเขามีปมขัดแย้งกันเลยสักน้อย
ยามนี้มู่หรงเหยาฉือหน้าเปลี่ยนสี “ความหมายของเจ้า นางมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับจวินซ่างหรือ”
“ถูกแล้ว!” เซียวเยว่ชิงตอบกลับทันควัน
มู่หรงเหยาฉือคลี่ยิ้มน้อยๆ มือกลับกำหมัดแน่น คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีผู้นี้จะได้รับความไว้วางใจจากจวินซ่าง หลายปีที่ผ่านมานางขอเข้าพบจวินซ่างมิใช่แค่หนเดียว แม้กระทั่งเงายังไม่อาจได้พบ ยามปกติคิดสนทนาด้วย เสินเซ่อเทียนยังไม่ใส่ใจตนเลยสักนิด
นางต้องการเข้าใกล้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงไปหาเสินเซ่อเทียน คิดไม่ถึงว่าแต่ละครั้งเหมือนเจอตอ สุดท้ายก็ได้แต่ถอยทัพ
แต่… เสินเซ่อเทียนถึงกับมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเยี่ยเม่ย
ไม่เพียงหมายความว่าคนที่นางมู่หรงเหยาฉือคิดคบหาด้วย ไม่เหลือบแลนางสักนิด แต่กลับชื่นชอบเยี่ยเม่ย หมายความว่าเยี่ยเม่ยได้รับความวางใจจากเสินเซ่อเทียน นางคิดบอกต่อหน้าฮ่องเต้ว่าเยี่ยเม่ยมีใจกบฏ ก็ไม่อาจทำให้ฝ่าบาทเชื่อถือได้แล้ว
นั่นเพราะว่าเมื่อเทียบกับนาง ฮ่องเต้ยินยอมเชื่อเสินเซ่อเทียนมากกว่าอย่างแน่นอน
เห็นมู่หรงเหยาฉือรักษารอยยิ้มไว้ ทว่าไม่พูดจา เซียวเยว่ชิงถามว่า “ท่านหญิง ท่านยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่”
มู่หรงเหยาฉือมองเขาทีหนึ่ง คลี่ยิ้มแสดงออกถึงความเป็นกุลสตรีตัวอย่าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่แปลกใจที่จวินซ่างให้ความสำคัญกับนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายิ่งอยากรู้จักแม่นางเยี่ยเม่ยมากขึ้น เพื่อคลี่คลายความเลื่อมใสที่มีต่อนาง!”
เซียวเยว่ชิงฟังแล้ว พลันยิ้มออกมาได้ “อย่างนั้น เชื่อว่าหลังจากท่านได้พบแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน! นางคู่ควรได้รับขนานนามว่าวีรสตรีแห่งยุค ก็กล่าวไม่เกินไปเลย!”
“อย่างนั้นท่านแม่ทัพเชิญกลับไปทำธุระของท่านเถิด เหยาฉือขอตัวกลับไปพักผ่อนแล้ว” มู่หรงเหยาฉือเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังเกรงใจเป็นอย่างมาก
เซียวเยว่ชิงรีบพยักหน้า “เชิญท่านหญิง!”
มู่หรงเหยาฉือก้าวเท้าเดินจากไป
หลูเซียงฮั่วอดใจไม่ไหว เอ่ยกับเซียวเยว่ชิงคำหนึ่ง “ท่านหญิงเหยาฉือ สมกับคำเล่าลือเป็นแบบอย่างของสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง จิตใจกว้างขวางมีมารยาทนัก”
“นั่นสิ!” เซียวเยว่ชิงพยักหน้าตอบ “เดิมทีนางมีศักดิ์เป็นท่านหญิงสูงส่ง ซ้ำยังโดยสารรถม้าพระราชทาน ต้องการพบแม่นางเยี่ยเม่ย แต่แม่นางเยี่ยเม่ยกลับไม่พบนาง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นสมควรโมโหเดือดดาล ทว่านางไม่เกิดโทสะสักนิด ยังชื่นชมแม่นางเยี่ยเม่ยอีกด้วย สมกับคำเล่าลือจริงๆ เป็นสตรีเพียบพร้อมยิ่งนัก!”
บุรุษสองคนพูดคุยไปก็ยิ้มไป
บทสนทนานี้กลับถูกซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนได้ยินเข้าอย่างแจ่มแจ้ง
ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยน ถามว่า “เจ้าว่ามู่หรงเหยาฉือผู้นี้ เป็นคนใจกว้างอย่างที่ตัวนางแสดงออก จริงหรือ”
ซินเยว่เยี่ยนกลอกตามองฟ้า ชี้ไปที่แผ่นหลังของเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่ว “อาหรุ่ย ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้ ในโลกนี้มีแต่สตรีเท่านั้นที่แยกแยะออกว่าสตรีเสแสร้ง พวกบุรุษเถรตรงมองออกแต่สิ่งที่แสดงออกมา มู่หรงเหยาฉือผู้นั้นเสแสร้งถึงขั้นนี้แล้ว มีแต่แนวคิดเถรตรงของบุรุษถึงได้รู้สึกว่านางเป็นสตรีอ่อนโยนใจกว้าง ส่วนข้า ฮี่ฮี่…”
ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะแล้ว “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ นางไม่ใช่คนดีอะไรสินะ”
“ไม่ใช่ คนดีคนเลวข้าไม่ขอวิจารณ์ เพียงแต่นางเสแสร้งได้ถึงขั้นนี้ ข้าแนะนำให้นางเปลี่ยนชื่อเป็น มู่หรงปี้ฉือจะดีกว่า” คำว่าปี้ฉือนี้ถ่ายทอดมาจากแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง มาจากคำพูดของยอดหญิงที่ชื่อว่าซูจิ่นผิงหรือว่าหนานกงจิ่น
หลายปีที่ผ่านมาคำนี้แพร่หลายเป็นอย่างมาก ดังนั้นซินเยว่เยี่ยนก็รู้ความหมายชัดเจน
เมื่อเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนปรายตามองซือหม่าหรุ่ย “หรือเจ้าคิดว่าเป็นคนดี อ่อนโยนใจกว้างจริงๆ”
ซือหม่าหรุ่ยยักไหล่ “อย่าดูแคลนข้าถึงขั้นนี้เชียว สำหรับเรื่องนี้ ความคิดของข้ากับเจ้าเรียกได้ว่ามีความเห็นเหมือนกันเลยทีเดียว! ข้าแค่เป็นห่วง นางจะนำความวุ่นวายมาสู่เยี่ยเม่ยหรือไม่”
“ใครกล้าสร้างความวุ่นวายให้น้องสะใภ้ในอนาคตของข้ากัน ข้าจะงัดเคล็ดวิชาสิบแปดกระบวนท่าที่ใช้คลุกคลีอยู่ในยุทธจักรมานานหลายปีตีให้ตายซะ! ให้นางคอยดูไปเถอะ!” ซินเยว่เยี่ยนเลิกคิ้ว
ซือหม่าหรุ่ยหุบยิ้ม
ในเวลานี้พวกนางเห็นเงาร่างสายหนึ่งขี่ม้ากลับมาไกลๆ ซือหม่าหรุ่ยหรี่ตาลง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมาแล้ว?”