บทที่ 158 สุดท้ายก็ตัดใจไม่ลง
โล่เฟยเอ๋อนั่งรถแท็กซี่มาที่ร้านอาหารที่นัดกับเรือนหลิงไว้ ส่วนเรือนหลิงก็มารออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
โล่เฟยเอ๋อกล่าวขอโทษ: “ขอโทษนะ ฉันมาช้าแล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันก็มาเช้าไป” เรือนหลิงยิ้มแล้วส่งเมนูในมือให้โล่เฟยเอ๋อ
โล่เฟยเอ๋อรับเมนูมา แต่ในหัวกลับคิดเรื่องเค้กที่สงเฟยเหวินถือมาก้อนนั้น
พอตอนนี้มาคิด ๆ ดูสัญลักษณ์ของเค้กกล่องนั้น ดูเหมือนจะเป็นร้านเค้กเฉพาะที่อยู่ถนนตึกอวิ๋นเหซียง
ทำไมสงเฟยเหวินถึงซื้อเค้กจากตึกอวิ๋นเหซียง เธอรู้ว่าตอนเองชอบคิดเค้กได้อย่างไร? หรือจะเป็นซูซีมู่ที่สั่งเธอ?
เมื่อนึกถึงทีรามิสุที่ซูซีมู่ซื้อให้เธอแล้วเธอพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ โล่เฟยเอ๋อก็ไม่มีอยากอาหารกลางวันในทันที เธอปิดเมนูในมือแล้วพูดว่า “จริงๆแล้วฉันไม่ได้หิวขนาดนั้น เธอดูเถอะ”
เรือนหลิงก็ไม่เกรงใจ พลิกเปิดเมนูแล้วสั่ง
หลังจากพนักงานเสิร์ฟออกไป เรือนหลิงก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่เสื้อผ้าของโล่เฟยเอ๋อและพูดว่า “เฟยเอ๋อ เสื้อผ้าชุดนี้ของเธอดูดีจริง ๆ ซื้อที่ไหนหรอ? แบรนด์อะไร?”
“เสื้อผ้า?” โล่เฟยเอ๋อก้มมองเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่ มันเป็นเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในห้องแต่งตัวของวิลล่าที่เธอเปลี่ยนเมื่อวาน เธอพลิกดูเสื้อผ้าและไม่พบแบรนด์ของเสื้อผ้าที่อยู่บนนั้น “นั่น…ฉันไม่ รู้ว่าเป็นแบรนด์อะไร”
“เธอไม่รู้จักแบรนด์เสื้อผ้าของเธอหรอ?” เรือนหลิงถามด้วยความประหลาดใจ
โล่เฟยเอ๋ออึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นก็พูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า: “คือว่า…ฉันสวมชุดคนอื่นน่ะ”
พอได้ยินโล่เฟยเอ๋อบอกว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่เป็นของคนอื่น เรือนหลิงก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “อย่างนี้นี่เอง”
โล่เฟยเอ๋อพูด ‘อืม’ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ใช่แล้ว เธอตามหาฉันมีเรื่องอะไรหรอ?”
เรือนหลิงหยุดชั่วครู่และตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ฉันไม่ได้ทานอาหารกับเธอนาน เลยอยากนัดเธอ”
“อ๋อ” โล่เฟยเอ๋อไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วพยักหน้า
เรือนหลิงหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาเติมชา แล้วถามออกมาทันทีว่า “ใช่แล้วรูปออกแบบพวกนั้นเธอวาดเสร็จรึยัง?”
โล่เฟยเอ๋อถอนหายใจและกล่าวว่า: “ฉันวาดภาพเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง อาจจะวาดเสร็จก่อนวันหยุดประจำปี”
หลังจากเงียบไปสองสามวินาทีเรืองหลิงก็ถามว่า “เฟยเอ๋อ เธอส่งรูปออกแบบทั้งหมดของเธอให้กับนักออกแบบหยุนแล้วหรอ” โล่เฟยเอ๋อตอบแบบไม่คิด “แน่นอนสิ การตกแต่งนั้นเป็นนักออกแบบหยุนมอบหมายให้ฉันทำ”
“เฟยเอ๋อ เธอรู้ไหมว่าทำไมนักออกแบบหยุนถึงให้เธอวาดรูปออกแบบมากมายขนาดนั้น?” น้ำเสียงของเรือนหลิงค่อนข้างแปลก
โล่เฟยเอ๋อไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเรือนหลิวแล้วพูดว่า: “นักออกแบบหยุนขอให้ฉันวาดรูปออกแบบ เพื่อแนะนำแนวทางให้ฉัน ฉันก้าวหน้าอย่างมากภายใต้คำแนะนำของเธอ”
“เฟยเอ๋อ…เธอคิดอย่างนั้นหรือ?” เสียงของเรือนหลิงลังเลเล็กน้อย
โล่เฟยเอ๋อพยักหน้าและกล่าวว่า: “จริงสิ ฉันรู้สึกขอบคุณนักออกแบบหยุนมากที่เธอให้โอกาสฉัน”
เรือนหลิงที่ได้ยินโล่เฟยเอ๋อพูดแบบนี้ ในที่สุดก็กลืนคำพูดที่อยู่บนริมฝีปากของเธอแล้วหลุบสายตาลงและพูดว่า “เธอคิดอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“อืม” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า
ในเวลานั้น พนักงานก็นำอาหารของพวกเธอมาพอดี ทั้งสองจึงไม่ได้พูดกันต่อ ต่างคนต่างทานข้าว
หลังจากทานเสร็จ โล่เฟยเอ๋อกับเรือนหลิงก็ออกจากร้านอาหารด้วยกัน
“เธอจะกลับเลย?”
โล่เฟยเอ๋อส่ายหน้า “ไม่ ฉันจะไปห้องเช่าของฉันสักหน่อย”
วันนี้ที่เธอตอบรับเรือนหลิงแล้วมาทานข้าวด้วยกัน ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือเธอต้องไปเก็บของที่พักที่นั่นสักหน่อย
“เธอไม่อยู่ที่นั่นแล้วไม่หรอ? ยังจะไปที่นั่นอีกทำไม?” เรือนหลิงถามอย่างแปลกใจ
โล่เฟยเอ๋อตอบ “ฉันยังไม่ได้ไปเก็บสิ่งของตอนฉันอยู่ที่นั่น”
“อยากให้ฉันช่วยไหม?” เรือนหลิงเลิกคิ้ว
หลังจากนั้นโล่เฟยเอ๋อกับเรือนหลิงก็เรียกแท็กซี่ไปตึกเก่านั้นที่เธอเคยอาศัยอยู่
เรือนหลิงเดินตามโล่เฟยเอ๋อเข้าไปที่ประตูก็พูดว่า: “บอกตามตรงนะเฟยเอ๋อ ที่ที่เธอเช่านี้เก่าเกินไปแล้ว ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเธอถึงเช่าที่นี่”
โล่เฟยเอ๋อกล่าวอย่างมีเหตุผลว่า “ไม่มีทางเลือก ตอนนั้นฉันไม่มีเงิน เพิ่งลาออกจากงานและยังต้องย้ายบ้านอีก”
เรือนหลิงพยักหน้าพร้อมกับ ‘อ๋อ’ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้เลยถาม “เฟยเอ๋อ เธอทำงานที่ไหนมาก่อนหรอ ทำเกี่ยวกับเครื่องประดับหรือเปล่า?”
“อือ” โล่เฟยเอ๋อไม่ได้บอกเรือนหลิงว่าเมื่อก่อนเธอทำงานอยู่บริษัทดี้ก้วน เพราะเธอไม่อยากอธิบายกับเรือนหลิงว่า ทำไมถึงลาออกจากบริษัทเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมือง A
เรือนหลิงฟังออกว่าโล่เฟยเอ๋อ ไม่อยากพูดถึงงานเก่าจึงไม่ได้ถามต่อ
เกือบหนึ่งเดือนที่ไม่ได้อยู่บ้านในบ้านไม่มีอะไรให้กิน โล่เฟยเอ๋อหยิบน้ำหนึ่งขวดจากในตู้เย็นส่งให้เรือนหลิง
“มีแค่น้ำให้ดื่ม เธอรับไปสิ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่รังเกียจ” เรือนหลิงยิ้มแล้วเปิดฝาขวดยกดื่มสองอึก
“ไม่รังเกียจก็ดี เธอนั่งก่อนสิ เดี๋ยวฉันไปเก็บของสักหน่อย” โล่เฟยเอ๋อยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“ฉันช่วยเธอ”
เดิมทีของที่โล่เฟยเอ๋อเอามาก็มีไม่มากนัก อีกทั้งยังมีของหลายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องนำไปที่วิลล่าของซูซีมู่ ดังนั้นสุดท้ายแล้วของที่เก็บจึงมีแต่กระเป๋าเดินทาง
เรือนหลิงจ้องไปที่กระเป๋าเดินทางที่ใส่ของไม่เต็มตรงหน้าแล้วถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “มีแค่นี้ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว?”
“มีแค่นี้ ไม่มีแล้ว” โล่เฟยเอ๋อตอบอย่างมั่นใจ
เรือนหลิงส่ายหัวแล้วพูด: “ลองหาดูอีกหน่อยเถอะ จะได้ไม่มีอะไรตกหล่น…”
ผ่านไปประมาณห้านาที เรือนหลิงก็ชูสมุดภาพขึ้นมาแล้วถาม “สมุดภาพนี้เธอไม่เอาแล้ว?”
สมุดภาพ? โล่เฟยเอ๋อหันมาตามเสียง พอเห็นสมุดภาพในมือของเรือนหลิง เธอก็มีสีหน้าที่นิ่งอึ้งไป
พอเห็นเฟยเอ๋อไม่พูดอะไร เรือนหลิงก็นึกว่าเธอไม่เอาแล้ว เลยจะนำสมุดภาพไปทิ้งในถังขยะ
พอเห็นเรือนหลิง จะนำสมุดภาพไปทิ้งในถังขยะ หัวสมองก็สั่งร่างกายของโล่เฟยเอ๋อให้ก้าวไปอย่างรวดเร็ว พอวิ่งมาก็หยิบสมุดภาพออกมาจากถังขยะ แล้วค่อย ๆใช้กระดาษทิชชูเช็ดอย่างระมัดระวัง
พอเห็นโล่เฟยเอ๋อเอาใจใส่สมุดภาพขนาดนี้ เรือนหลิงก็ลูบจมูกอย่างรู้สึกผิด “เฟยเอ๋อ ขอโทษนะ ฉันก็นึกว่าเธอไม่เอาสมุดภาพนี้แล้ว”
โล่เฟยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เรือนหลิงแล้วบอก: “ไม่เป็นไรฉันก็ไม่ได้บอกเธอว่าฉันจะเอาสมุดภาพเล่มนี้”
พอเห็นโล่เฟยเอ๋อไม่โกรธ เรือนหลิงก็วางใจ เธอยิ้มแล้วถาม “ของสิ่งนี้สำคัญกับเธอมากสินะ”
เดิมทีเธอก็คิดว่ามันไม่สำคัญไม่ แม้แต่จะคิดถึงสมุดภาพเล่มนี้มานานแล้ว แต่พอเห็นเรือนหลิงจะเอาสมุดภาพไปทิ้งในถังขยะ โล่เฟยเอ๋อก็รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วเธอก็ตัดใจไม่ลง
“ใช่แล้ว มันสำคัญมาก” โล่เฟยเอ๋อพูดแล้วใช้ผ้าห่อสมุดภาพอย่างระมัดระวัง จากนั้นนำไปใส่ในชั้นล่างสุดของกระเป๋าเดินทาง
“ของสำคัญขนาดนี้ เกือบโดนฉันโยนทิ้งแล้ว เธอรีบดูซิว่าไม่มีของอะไรตกหล่นแล้วนะ”
เรือนหลิงกลัวว่าตนเองจะทำผิดอีก เลยลากให้โล่เฟยเอ๋อลองหาดูอีกรอบ สุดท้ายพอแน่ใจแล้วว่าไม่ลืมอะไร ถึงจะเลิกรา
เพราะเก็บของเสร็จแล้ว โล่เฟยเอ๋อ ก็ยกกระเป๋าเดินทางออกจากที่พักที่เธอพักมาเดือนกว่านี้ไป