บทที่ 274 โล่ชิงไป๋เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต
บริษัทโล่ซื่อไม่กี่วันมานี้ถูกโจมตีอย่างหาที่มาไม่ได้ โครงการประมูลก็ถูกแย่งไป หุ้นส่วนพากันถอนทุน ทำให้บริษัทโล่ซื่อหุ้นร่วงลงเรื่อย ๆ และทำให้ทั้งบริษัทโล่ซื่อปั่นป่วนกันไปหมด ดังนั้น การเตรียมการทั้งหมดของเห้อจิ้นเหยาในบริษัทโล่ซื่อจึงถูกเปิดเผย
ผู้ถือหุ้นที่สนับสนุนเห้อจิ้นเหยามีมากกว่าครึ่ง เห้อจิ้นเหยามีหุ้นในครอบครองมากกว่าโล่ชิงไป๋ แผนกที่สำคัญทั้งหมดของบริษัทโล่ซื่อล้วนเป็นคนของเห้อจิ้นเหยา
พูดได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทโล่ซื่อถูกโจมตีอย่างหาที่มาไม่ได้ครั้งนี้ เห้อจิ้นเหยาสามารถครอบครองทั้งหมดของบริษัทโล่ซื่อได้โดยที่โล่ชิงไป๋ไม่รู้อะไรเลย
“คุณ…..คุณทำไมถึงทำแบบนี้?” ถ้าไม่ใช่เพราะตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวนั่น โล่ชิงไป๋แทบไม่อยากจะเชื่อ ผู้หญิงที่เขารักมาหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะหักหลังเขา
ในเมื่อโล่ชิงไป๋รู้เรื่องที่ตนเองทำทั้งหมดแล้ว เห้อจิ้นเหยาก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีกต่อไป เธอจ้องโล่ชิงไป๋อย่างเฉยชาแล้วถามอย่างเยาะหยัน “โล่ชิงไป๋ คุณคิดว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้ล่ะ”
มองภรรยาที่โอนอ่อนผ่อนตามตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เปลี่ยนเป็นเฉยชาไม่แยแส โลชิงไป๋มีสีหน้าตกใจ “เห้อจิ้นเหยา ทำไมคุณถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เดิมคุณไม่ใช่แบบนี้”
“ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนี้? นั่งไม่ใช่เพราะพวกคุณบังคับหรอกเหรอ?” สายตาเห้อจิ้นเหยาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “เพราะฉันเห้อจิ้นเหยามันต่ำต้อย เลยเป็นได้แค่เมียเก็บของคุณ ยืนอยู่ในมุมมืดกับลูกสาว แต่ไป๋หนิงสองแม่ลูกนั่นอยู่กับคุณได้อย่างชอบธรรม พวกมันถือสิทธิ์อะไร? ถือสิทธิ์อะไร? ฉัยเลยฆ่าไป๋หนิงซะ แล้วเอาของที่เป็นของมันทั้งหมดมา…..”
โล่ชิงไป๋สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “การตายของไป๋หนิง เป็น เป็นคุณทำเหรอ?”
“ใช่ ฉันติดสินบนคนใช้บ้านโล่ ใส่บางอย่างเพิ่มลงในอาหารของมันทุกวัน ภายหลัง มันก็ตาย มันตายแล้ว ตำแหน่งคุณนายบ้านโล่ก็เป็นของฉันแล้ว…..” เห้อจิ้นเหยาสีหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
โล่ชิงไป๋ได้ยินที่เห้อจิ้นเหยาพูด ก็แทบยืนไม่อยู่
ผู้หญิงไร้เดียงสาที่ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานคนนั้น ไม่เพียงแต่ต้องทนทุกข์กับความรังเกียจของเขามาหลายปี แต่ยังถูกผู้หญิงที่เขารักฆ่าตายด้วย
“คุณฆ่าเธอทำไม? เธอบริสุทธิ์”
เห็นโล่ชิงไป๋เจ็บปวด แววตาเห้อจิ้นเหยาก็ยิ่งบ้าคลั่ง “เดิมทีพวกมันแม่ลูกแย่งเอาของพวเราแม่ลูกไป ฉันเอากลับคืนมามีอะไรผิด? เสียดายที่โล่เฟยเอ๋อดวงดีกว่าไป๋หนิง รอดไปครั้งแล้วครั้งเล่า”
“คุณ…..” ได้ยินว่าเห้อจิ้นเหยาถึงกับลงมือกับโล่เฟยเอ๋อมาแล้ว โล่ชิงไป๋ในที่สุดก็ทนรับไม่ไหว ร่างทั้งร่างล้มลงไปด้านหลัง
“ชิงไป๋……” เห็นโล่ชิงไป๋ล้มลง เห้อจิ้นเหยาก็ตื่นตระหนก รีบวิ่งไปหาโล่ชิงไป๋ไปด้วย ตะโกนเสียงดังไปด้วย “รีบเรียกรถพยาบาลที…..”
โล่ชิงไป๋ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แม้จะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เพราะโรคอัมพฤกษ์-อัมพาต เลยยังไม่ได้สติ
มองโล่ชิงไป๋ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เห้อจิ้นเหยาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ความรักที่เธอมีต่อโล่ชิงไป๋ถูกทำลายลงด้วยความเคียดแค้นพวกนั้น
แต่ทว่า เธอกลับคิดว่าโล่ชิงไป๋เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต เป็นอีกโอกาสหนึ่ง โอกาสที่จะทำให้โล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่กลายเป็นศัตรูกันในที่สุด
เห้อจิ้นเหยาค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็ต่อสายหาหมายเลขหนึ่ง “รีบช่วยฉันปลอมแปลงหลักฐาน…..”
โล่เฟยเอ๋อและซูซีมู่ถึงสนามบินที่เมืองA ตอนสิบเอ็ดโมงพอดี ทั้งสองคนไปทานอาหารกลางวันร้านที่โจวเฉิงจองไว้ให้
เพราะที่บริษัทมีประชุมที่ซูซีมู่ต้องเป็นประธาน หลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ซูซีมู่จึงพาโล่เฟยเอ๋อไปที่บริษัทด้วย
เข้ามาในห้องทำงานแล้ว ซูซีมู่เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานทันที เปิดลิ้นชักหยิบแท็บแล็ตออกมาแล้วส่งให้โล่เฟยอ๋อ
“แท็บแล็ตดาวน์โหลดละครที่คุณชอบดูไว้ไม่น้อย ถ้าง่วง คุณก็เข้าไปนอนพักในห้อง”
“อืม ฉันรู้แล้ว” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า
ซูซีมู่อืมรับหนึ่งคำ หมุนตัวเดินกลับไปได้สองก้าว ทันใดนั้นก็นึกอะไรออกจึงหยุดฝีเท้า แล้วพูดกับโล่เฟยเอ๋อ “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร ก็โทรหาผม”
“ฉันรู้แล้ว คุณรีบไปประชุมเถอะ เขารอคุณอยู่” โล่เฟยเอ๋อแทบจะกลอกตามองบนแล้ว ซูซีมู่จู้จี้ป็นแม่ยายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วความเย็นชาของเขาล่ะ?
ความเย็นชาของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ ถูกกันออกอัตโนมัติตั้งนานแล้ว
เมื่อโล่เฟยเอ๋อเร่งเขาแล้ว ซูซีมู่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานไป
มองตามซูซีมู่เดินออกไปแล้ว โล่เฟยเอ๋อจึงเข้าห้องพักผ่อนไป
มองไปรอบ ๆ แล้วถอดรองเท้า นั่งลงบนเตียงของซูซีมู่เปิดแท็บแล็ตเพื่อดูละคร
แต่เธอดูอยู่ได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ซูซีมู่กลับมาหลังจากประชุม เห็นโล่เฟยเอ๋อนอนหลับสบายอยู่บนเตียงของเขา แท็บแล็ตในมือยังฉายละครอยู่
เขาหัวเราะ เดินเข้าไปหยิบแท็บแล็ตในมือโล่เฟยเอ๋อขึ้นมาปิด แล้ววางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง
จากนั้นหยิบผ้าห่มด้านข้าง ห่มให้โล่เฟยเอ๋อ
หลังเสร็จหมดแล้ว ซูซีมู่จึงลุกออกจากห้องพักไป
แต่เขาไม่ได้ออกไปนาน เขากลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับเอกสารกองหนึ่ง
ซูซีมู่ยังไม่ทันดูเอกสารในมือเสร็จ โล่เฟยเอ๋อก็ตื่นแล้ว
“หืม…..” โล่เฟยเอ๋อลืมตาขึ้น ปรับสายตาให้ชินกับแสงแล้วลุกขึ้น
ซูซีมู่รวบเอกสารในมือไว้ด้วยกัน “ตื่นแล้วเหรอ?”
โล่เฟยเอ๋อานรับ แล้วขยี้ตาพร้อมถาม “คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“บ่ายสามประชุมเสร็จก็กลับเลย” ซูซีมู่ตอบ
“อ่อ” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า จากนั้นก็เลิกผ้าห่มออกลุกจากเตียงพลางถามอย่างไม่จริงจังนัก “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
ซูซีมู่มองนาฬิกาบนข้อมือ ตอบ “จะหกโมงครึ่งแล้ว”
ได้ยินซูซีมู่บอกว่าใกล้จะหกโมงครึ่งแล้ว โล่เฟยเอ๋อขมวดคิ้วทันที “รอฉันตั้งนานแล้ว ทำไมคุณไม่ปลุกฉัน?”
“จัดการเอกสารอยู่พอดี” ซูซีมู่จัดเอกสารเก็บก่อนจะลุกขึ้น “คุณหิวไหม? ผมให้โจวเฉิงสั่งอาหารเย็น”
โล่เฟยเอ๋อชะงักไป ถาม “พวกเราไม่กลับไปทานมื้อเย็นที่วิลล่าเหรอ?”
ซูซีมู่ไม่ได้ตอบคำถามของโล่เฟยเอ๋อ เพียงแต่ถามกลับ “คุณอยากกลับไปกินที่วิลล่า?”
“อืม กลับไปทานที่นั่นเถอะ” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า
โล่เฟยเอ๋ออยากกลับไปทาน ซูซีมู่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
เก็บของแล้วก็พาโล่เฟยเอ๋อออกไปจากห้องทำงาน
สุดท้ายพึ่งจะเดินออกจากห้องทำงาน ก็เจอกับโจวเฉิงที่มาพร้อมกับหอบกองเอกสารมาด้วย
เห็นซูซีมู่จับมือโล่เฟยเอ๋อพร้อมจะออกไป โจวเฉิงก็เกือบจะร้องไห้ “ประธานซู ตอนนี้ท่านกลับไปกับคุณนายไม่ได้แล้ว! ท่านช่วงนี้สะสมเอกสารค้างไว้เยอะ…..”
โจวเฉิงยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกซูซีมู่ขัดจังหวะเตือนด้วยสายตา
แม้ซูซีมู่จะขัดคำพูดของโจวเฉิงแล้ว แต่โล่เฟยเอ๋อก็ยังคงฟังเข้าใจ ซูซีมู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนเธอที่อ่าวโป๋ไห่ สะสมเอกสารค้างไว้เยอะยังไม่ได้จัดการ
“ขอโทษนะ เป็นเพราะฉันทำให้คุณเสียงานมากขนาดนี้” โล่เฟยเอ๋อก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
ซูซีมู่จ้องโจวเฉิงอย่างมาดร้าย จากนั้นรวบเธอเข้ามาในอกเพื่อปลอบ “ไม่มีอะไรหรอก โจวเฉิงพูดเกินจริง เอกสารผมจัดการไปเกือบหมดแล้ว”
“จริงเหรอ?” โล่เฟยเอ๋อไม่ค่อยเชื่อ
“จริงสิ จัดการไปเมื่อกี้ตอนคุณหลับ” ซูซีมู่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
คิดถึงเมื่อตอนกำลังตื่น ซูซีมู่กำลังดูเอกสารอยู่พอดี โล่เฟยเอ๋อก็เชื่อแล้ว “งั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
“อืม กลับเถอะ” ซูซีมู่พยักหน้าพาโล่เฟยเอ๋อออกจากบริษัทไป
โจวเฉิงที่ถูกลืม หอบกองเอกสารยืนอยู่บนโถงทางเดินคนเดียว ด้วยใจพังทลาย
เขาพูดเกินจริงที่ไหน? ประธานซูจัดการเอกสารที่สะสมค้างไว้ตลอดสัปดาห์เสร็จแค่หนึ่งส่วนสิบเองเถอะ.