บทที่ 336 ความอิจฉาริษยาของซูยุ่น
พอกินข้าวไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ซูซีมู่ก็โทรมาหาโล่เฟยเอ๋อ
โล่เฟยเอ๋อจึงเอ่ยขอตัวกับคนอื่นๆ จากนั้นลุกขึ้นแล้วออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอก
“เฟยเอ๋อ เธอออกไปไหนแล้ว?”
โล่เฟยเอ๋ออึ้งไปสักพักจากนั้นถาม “นายกลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม เพิ่งกลับ” ซูซีมู่ตอบ
ในตอนที่โล่เฟยเอ๋อกำลังจะถามซูซีมู่ว่าทำไมถึงกลับมาเช้าขนาดนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนรับใช้พูดขึ้นว่า ‘คุณชาย อาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะรอคุณนายน้อยก่อนไหมคะ?’
เธอรู้ได้ทันทีเลยว่า ที่ซูซีมู่กลับมาเร็วเป็นพิเศษก็เพื่อมาทานข้าวเป็นเพื่อนเธอ แต่ปรากฏว่าเธอดันไม่อยู่บ้านอีก
“ฉัน…พอดีเหซิงถิงโทรหาฉัน บอกว่าซูยุ่นกลับมาที่เมืองAแล้วและชวนกินข้าว ฉันก็เลยออกมา”
ซูซีมู่ตอบ ‘อืม’เบาๆ จากนั้นถาม “เธอกินข้าวแล้วยัง?”
“กำลังกิน” โล่เฟยเอ๋อตอบเสร็จก็นึกอะไรขึ้นได้แล้วถาม “ถ้านายกินข้าวเสร็จแล้ว จะออกมาหาฉันไหม?”
ซูซีมู่เงียบไปสักพักแล้วตอบกลับไปว่า: “เธอไม่ได้ออกไปช้อปปิ้งกับพวกเหซิงถิงนานแล้ว ถ้าเธอจะกลับเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกฉัน ฉันจะไปรับเธอ”
“ได้…” โล่เฟยเอ๋อตอบกลับสั้นๆ หนึ่งคำ แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนที่เธอไปช้อปปิ้งกับเหซิงถิงและซูยุ่น เธอซื้อแค่ชุดเดียวแล้วยังใช้บัตรที่ซูซีมู่ให้เธอใบนั้นอีก แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้พกบัตรนั่นมา… “ฉันคงไม่ไปกับพวกเธอหรอก”
ทางด้านของซูซีมู่ก็รู้สึกแปลกใจ ทั้งๆ ที่โล่เฟยเอ๋อพูดแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงเปลี่ยนใจกะทันหันล่ะ?
“มีอะไรเหรอ?”
โล่เฟยเอ๋อไม่มีทางบอกสาเหตุกับซูซีมู่อย่างแน่นอน จึงตอบอย่างคลุมเครือ: “เปล่า นายกินข้าวเสร็จแล้วค่อยมารับฉันเถอะ”
ซูซีมู่ไม่ได้ตอบรับเธอและบอกแค่ว่า: “เธอรอฉันแป๊บหนึ่ง”
โล่เฟยเอ๋อไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงได้แต่ตอบ ‘อ้อ’อย่างเชื่อฟัง
ผ่านไปไม่ถึงสองนาที โทรศัพท์มือถือของโล่เฟยเอ๋อก็สั่นขึ้นมา เป็นข้อความของบัตรธนาคารที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอของเธอ
แม้แต่ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของบัตรธนาคาร รวมถึงจำนวนเงินที่โอนเข้ามาแทบจะไม่ทำให้โล่เฟยเอ๋อตกใจเลย
เสียงของซูซีมู่ที่อยู่ปลายก็ดังขึ้นว่า “เงินเข้ารึยัง?”
โล่เฟยเอ๋อถึงเพิ่งจะเข้าใจที่ซูซีมู่บอกให้เธอรอเดี๋ยว ก็เพื่อจะโอนเงินให้เธอ
ความสุขล้นปรี่ที่เขาพูดกัน ก็คือความรู้สึกในตอนนี้ของเธอ
แน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะถามซูซีมู่ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ได้พกเงิน
“นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้พกเงิน?”
ซูซีมู่ตอบ “ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังหาสมุดทะเบียนบ้าน ฉันเห็นบัตรที่ฉันเคยให้เธอใบนั้นอยู่ในลิ้นชัก”
เธอควรบอกเขาว่าอย่างไรดี? ความจำดีจังเลย?
“ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่เห็นจะต้องโอนเงินมาเยอะขนาดนี้เลยนี่นา?”
“ไม่เยอะ” สำหรับซูซีมู่แล้ว เขาสามารถมอบโลกทั้งใบให้กับโล่เฟยเอ๋อ แล้วนับประสาอะไรกับเงินแค่แปดหลัก
แล้วโล่เฟยเอ๋อยังจะพูดอะไรได้อีก? ทำได้แต่ยอมรับมันอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นเธอก็นัดเวลากับซูซีมู่ว่าจะให้เขามารับเธอตอนไหน พอนัดเสร็จก็วางสายและกลับเข้าไปยังห้องอาหารส่วนตัว
โล่เฟยเอ๋อเพิ่งจะกลับมายังที่นั่ง ซูยุ่นก็ถามว่า “พี่สะใภ้โทรหาพี่ซีมู่เหรอคะ?”
“ใช่แล้ว” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า
ซูยุ่นดวงตาเป็นประกายจากนั้นก็ถามอย่างอิจฉาว่า: “ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับพี่ซีมู่ดีจริงๆ เลยนะคะ”
โล่เฟยเอ๋อยิ้มมุมปากแล้วถาม “จริงเหรอ?”
“จริงสิคะ พี่สะใภ้ไม่รู้หรอกว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องในปีนั้น…”พอพูดถึงตรงนี้ ซูยุ่นก็ชะงักไปและหยุดพูดกะทันหัน
โล่เฟยเอ๋อรู้ได้ในทันทีเลยว่า ‘ตั้งแต่เกิดเรื่องในปีนั้น’ ที่ซูยุ่นพูดนั้นหมายถึงเรื่องแม่ของซูซีมู่
เธอหลุบตาลงก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วถามว่า “เรื่องในปีนั้นอะไรเหรอ?”
พอได้ยินโล่เฟยเอ๋อพูด ซูยุ่นก็เริ่มหน้าซีดแล้ว “ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ”
โล่เฟยเอ๋อมองซูยุ่นที่มีปฏิกิริยาแบบนี้ก็ยิ่งมั่นใจได้ในทันทีเลยว่าเธอเดาไม่ผิดแน่
เกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ในตอนนั้น เธอเคยแต่ได้ยินจากโจวเฉิงกับส้ายหลินน่าเล่าให้ฟัง ยิ่งโจวเฉิงเคยบอกว่าตระกูลซูปิดบังความจริงกับบุคคลภายนอก
แม้แต่ส้ายหลินน่าก็ยังบอกว่าสถานการณ์ดูคลุมเครือ โล่เฟยเอ๋อมั่นใจว่าซูยุ่นจะต้องรู้รายละเอียดแน่นอนและถ้าเธอสามารถถามจากซูยุ่นได้ เธอก็จะยิ่งเกลี้ยกล่อมซูซีมู่ได้สำเร็จมากขึ้น…
พอคิดได้แบบนี้แล้ว โล่เฟยเอ๋อก็ไม่อยากพลาดโอกาส เพราะอีกสักพักซูซีมู่ก็จะมารับเธอกลับ แถมเธอยังไม่รู้ด้วยว่าซูยุ่นจะอยู่เมืองAต่อหรือเปล่า
สุดท้ายโล่เฟยเอ๋อก็วางตะเกียบในมือลงแล้วพูดกับซูยุ่นว่า: “ซูยุ่น ฉันมีเรื่องจะถามเธอ ช่วยออกมาหน่อยได้ไหม?”
จู่ๆ โล่เฟยเอ๋อก็พูดแบบนี้เลยทำให้เหซิงโม่กับเหซิงถิงที่อยู่ด้านข้างหันมามอง
ซูยุ่นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “อ้อ ได้”
พอออกจากห้องอาหารแล้ว โล่เฟยเอ๋อก็ไม่ได้รีบร้อนถามซูยุ่นและเรียบเรียงคำพูดในใจก่อน
แต่กลับเป็นซูยุ่นที่ทนรอไม่ไหว “พี่สะใภ้ พี่มีเรื่องอะไรอยากจะถามฉันเหรอคะ?”
“ซูยุ่น คือ…ฉันอยากถามว่า เรื่องในปีนั้นที่เธอเพิ่งพูดถึงนี่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเกิดอายุสิบขวบของซูซีมู่หรือเปล่า?”
ซูยุ่นนิ่งชะงักไปชั่วขณะ “พี่สะใภ้รู้เรื่องนั้นแล้ว?”
“ฉันรู้ เพียงแต่รู้ไม่มาก” โล่เฟยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามซูยุ่น “เธอพอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังได้ไหม?” ซูยุ่นมองโล่เฟยเอ๋อด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก “พี่สะใภ้ เรื่องนี้…”
“ซูยุ่น ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันส่งผลกระทบต่อพี่ของเธอมาก แต่ว่าตอนนี้ ฉันจำเป็นต้องรู้” โล่เฟยเอ๋อเงียบไปสักพักก่อนจะมองหน้าซูยุ่นแล้วถาม “ดังนั้นฉันเลยหวังว่าเธอจะเล่าให้ฉันฟัง”
หลังจากที่ซูยุ่นเงียบไปพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า: “พี่สะใภ้คะ ขอเวลาให้ฉันคิดหน่อย”
“ได้ ฉันจะรอเธอ” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้า…
หลังจากนั้นอีกสิบกว่านาทีโล่เฟยเอ๋อกับซูยุ่นก็กลับเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวพร้อมกัน
พอทานอาหารกลางวันกันได้พอประมาณแล้ว เหซิงถิงก็เสนอขึ้นมาว่าให้ไปเดินช้อปปิ้งกันต่อ
“ฉันเห็นด้วย” ซูยุ่นมองไปทางเหซิงโม่แล้วถามว่า “พี่เหซิงโม่จะไปด้วยกันไหมคะ?”
เหซิงโม่ที่กำลังสวมเสื้อโค้ตอยู่ พอได้ยินซูยุ่นถาม เขาก็เลิกคิ้วขึ้น “พวกเธอไปกันหมดทุกคนเลยเหรอ?”
ซูยุ่นยังไม่ทันจะได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงเหซิงถิงถามโล่เฟยเอ๋อ “เฟยเอ๋อ เธอจะไปไหม?”
“ฉันมีของที่จะต้องซื้อพอดี ก็ไปด้วยกันเถอะ” โล่เฟยเอ๋อพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
“อย่างนั้นฉันไปให้พวกเธอใช้แรงงานฟรีก็แล้วกัน” เหซิงโม่ยิ้มกริ่มแล้วตอบ
ซูยุ่นมองเหซิงโม่แวบหนึ่งแล้วมองโล่เฟยเอ๋ออีกแวบหนึ่ง จากนั้นเม้มปาก ไม่พูดอะไร
การมาเดินห้างในครั้งนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกับวันนั้นเมื่อตอนต้นปี
ครั้งนั้นเหซิงถิงกับซูยุ่นเดินเลือกซื้อของด้วยกันแล้วทิ้งโล่เฟยเอ๋อกับเหซิงโม่ไว้ข้างหลัง
แต่ว่าครั้งนี้ ซูยุ่นตามติดอยู่ข้างเหซิงโม่ตลอด เหซิงถิงจึงทำได้เพียงลากโล่เฟยเอ๋อไปเดินด้วยกัน
เป็นแบบนี้อยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ จู่ๆ เหซิงโม่ก็พูดขึ้นมาว่า “ซูยุ่น เธอไปเดินช้อปปิ้งกับพวกถิงถิงเถอะ ไม่ต้องสนฉันหรอก”
ซูยุ่นไม่คิดเลยว่าเหซิงโม่จะพูดประโยคนี้กับเธอ ทั้งๆที่เธอตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนเขา
ทำไมเขาถึงไม่มีท่าทีแบบนี้เลยในตอนที่เดินกับพี่สะใภ้?
ดวงตาของซูยุ่นปรากฏร่องรอยของความอิจฉาริษยา สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา “อย่างนั้นฉันจะไปเรียกพี่สะใภ้มาก็แล้วกัน”
เหซิงโม่ยังไม่ทันจะรู้สึกตัวว่าที่ซูยุ่นพูดมันหมายความว่าอย่างไร ซูยุ่นก็รีบเดินจากไปแล้ว