เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 360 ข้าก่อเรื่องแล้ว / ตอนที่ 361 นางไม่ต้องการเขาก่อนต่างหาก
ตอนที่ 360 ข้าก่อเรื่องแล้ว
กูเยว่อู๋เหินอธิบายด้วยเสียงนิ่ง “นั่นเพราะเจ้าไม่ใช่สตรีประเภทที่ถูกผู้ชายทรยศแล้วจะประชด จงใจสนิทสนมกับชายอื่น ดังนั้นเจ้าไม่มีทางดีใจ แต่เจ้ายิ่งรู้สึกเจ็บปวดเพราะความเหินห่างของระหว่างเจ้าสองคน”
กูเยว่อู๋เหินมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเม่ยหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง
“ก็อาจจะใช่ !”
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ถึงนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคิดกลับมาหากันอีก เกรงว่าคงเป็นฝันหลอกลวงแล้วกระมัง อย่างนี้ก็ดี!
ในยามนี้ไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว หวังแต่ว่าจงรั่วปิงกลับมาเร็วหน่อย
นางคิดไปก็หมุนกายเดินกลับห้อง กล่าวกับกูเยว่อู๋เหิน “ข้าไปพักผ่อนก่อนแล้ว ท่านก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
กูเยว่อู๋เหินพยักหน้า จากไปทันที
คนทั้งสองไม่มีใครเอ่ยถึงจูบเมื่อครู่ ทว่าความรู้สึกที่ริมฝีปากยังไม่จางหาย
ฝ่ายเยี่ยเม่ยเมื่อกลับถึงห้องแล้ว
ซินเยว่เยี่ยนนำข่าวดีมาบอกนาง “จงรั่วปิงกลับมาแล้ว!”
เยี่ยเม่ยดวงตาทอประกายโดยพลัน โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
……
เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ เขาก็ทุบรั้วเรือนอย่างแรง
การกระทำนี้เขาหาได้ใช้กำลังภายใน เลือดไหลซึมออกจากมือในไม่ช้า
อวี้เหว่ยเดินมาจากประตู เห็นภาพนี้ก็ตะลึงนิ่ง รีบเข้าไปถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านทำอะไรกัน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่สนใจคนสนิท
ตีหน้าเย็นช้ากลับห้องตน เขาปิดประตูห้องลง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ใครรบกวน
สีหน้าอวี้เหว่ยเปลี่ยนแปลงไป
ดูท่าคงเกิดเรื่องแล้ว แต่ว่าเกิดเรื่องอะไร เตี้ยนเซี่ยถึงได้อารมณ์เสียเพียงนี้กัน
อวี้เหว่ยโมโหอยู่ในใจ ไม่ต้องสงสัยก็รู้เลยว่าเกี่ยวพันกับเยี่ยเม่ยแน่นอน!
เขาพรูลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ได้แต่รู้สึกว่านี่มันช่างเป็นเวรกรรมแท้ๆ
เพิ่งจะดีใจเพราะจับพิรุธซือหม่าหรุ่ยได้ไม่ทันไร ก็เกิดเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว
……
จงรั่วปิงกลับมาด้วยความฉงน หลังจากส่งของให้เยี่ยเม่ยแล้ว นางเดินออกจากห้องเยี่ยเม่ยไปด้วยอาการพูดไม่ออก
นางไม่เข้าใจเลย เยี่ยเม่ยทำเรื่องใหญ่โตเพราะเจ้าของเล่นชิ้นนี้ไปเพื่ออะไร
หากมิใช่เพราะเห็นสีหน้าเยี่ยเม่ยแสดงออกอย่างโล่งอก นางยังสงสัยว่าอีกฝ่ายหยอกเล่นหรือเปล่า
หลังจากเยี่ยเม่ยเก็บของเรียบร้อย
ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้าห้องเยี่ยเม่ยมาด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งทำเงินหล่นไปห้าพวง เมื่อเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากว่า “เยี่ยเม่ย ข้าก่อเรื่องแล้ว!”
เยี่ยเม่ยตะลึงไปเล็กน้อย มองซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ
ในความคิดของนาง ซือหม่าหรุ่ยล้วนนิ่งสงบ จะไปก่อเรื่องอะไรได้
ซือหม่าหรุ่ยเหงื่อตก เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างตนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้เยี่ยเม่ยฟัง “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ เจ้าตีข้าก็ได้…”
เยี่ยเม่ยเงียบไป
มองซือหม่าหรุ่ย ตอบว่า “ไม่เป็นไร”
หลังจากนางตอบด้วยเสียงนิ่ง นางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับกูเยว่อู๋เหินในวันนี้ภายใต้สายตาจับจ้องของซือหม่าหรุ่ย
เมื่อหมอเทวดาฟังจบก็อึ้งไป
สุดท้ายเยี่ยเม่ยสรุปว่า “ดังนั้น ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับพิรุธได้ แต่เมื่อเขาเห็นข้าจูบกับกูเยว่อู๋เหิน เขาน่าจะไม่ระแวงสงสัยอะไรอีกแล้ว”
“งั้น…” ซือหม่าหรุ่ยถอนใจ “อย่างนั้นก็ดี แต่ว่าเขามีคำพูดที่ฝากข้ามาบอกเจ้าด้วย เขาบอกว่าระหว่างเขากับมู่หรงเหยาฉือไม่มีอะไรกันทั้งนั้น นอกจากเจ้าแล้ว เขาไม่ต้องการใครอีก”
เมื่อนางถ่ายทอดคำพูดออกมา เยี่ยเม่ยพลันนิ่งไป
ตอนที่ 361 นางไม่ต้องการเขาก่อนต่างหาก
ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่าอารมณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในยามนี้ย่ำแย่มาก !”
ถูกแล้ว ไม่ว่าใครพบเรื่องพรรค์นี้ จะไม่อารมณ์เสียได้หรือ
ไม่ง่ายเลยกว่าจะจับข้อสังเกตได้ว่าคนในดวงใจมีความลำบากใจ ผลลัพธ์เล่า ยังไม่ทันดีใจ ไฟแห่งความหวังในหัวใจก็ดับมอดลงภายในเสี้ยววินาทีแล้ว
เป็นใครก็ต้องร้าวรานใจทั้งนั้น
“รอผ่านไปได้สักพัก บางทีก็อาจดีขึ้นเอง” เยี่ยเม่ยตอบกลับมาด้วยเสียงเย็นชา
จะดีขึ้นหรือเปล่า
บาดแผลในใจเขา จะฟื้นตัวได้หรือเปล่านะ
อันที่จริงเยี่ยเม่ยก็ไม่รู้ ยิ่งไม่กล้ารับรอง ได้เพียงฝากความหวังไว้กับกาลเวลา
ซือหม่าหรุ่ยพลันถามเยี่ยเม่ย “เขาบอกว่าไม่มีอะไรกับมู่หรงเหยาฉือ เจ้าเชื่อหรือไม่”
“เชื่อหรือไม่เชื่อแล้วเป็นอย่างไร”
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย “ความจริงข้าเชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ เขาจะทำอะไรได้ อีกอย่างข้าก็ไม่มีคุณสมบัติไปถามเขา แค่ตอนได้ยินข้ารู้สึกปวดใจเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง”
นางไม่มีหน้าไปตำหนิการกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนานแล้ว ต่อให้เห็นเขาดีกับสตรีอื่นกับตา ก็ไม่อาจทำอะไรได้
เพราะนางเป็นฝ่ายไม่ต้องการเขาก่อน
ซือหม่าหรุ่ยพลันนิ่งไป บางทีวันนี้นางไม่ควรต่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอนที่อวี้เหว่ยเอ่ยนั้น ถึงจะฟังดูแย่ไปบ้าง แต่หากคำนึงถึงเหตุผล ฝั่งอวี้เหว่ยก็นับว่ามีมากกว่า
“ต่อไป พวกเราจะทำยังไง” ซือหม่าหรุ่ยถาม
เยี่ยเม่ยนวดหว่างคิ้ว
“รอฟังข่าวเถอะ รอข่าวจากจิวมั่วเหอ เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียก่อน บางทีหลังจากนี้อีกสองสามวัน ข่าวที่ข้าต้องการน่าจะส่งมาถึง!”
……
ต้ามั่ว
จิวมั่วเหอที่บาดเจ็บนำศพของราชาต้ามั่วกลับสู่ต้ามั่ว
และในขณะเดียวกัน
ทางราชสำนักของต้ามั่วเกิดเรื่อง ได้ยินว่ามีตระกูลหนึ่งก่อกบฏกะทันหัน สังหารองค์ชายทั้งหลายของราชาต้ามั่ว รวมถึงองค์รัชทายาท
หลังจิวมั่วเหอฟังข่าวนี้ก็เดือดดาลสุดทนไหว นำทัพกลับราชสำนักกำจัดเหล่ากบฏจนย่อยยับ
เมื่อไม่เหลือคนของราชวงศ์สืบทอดตำแหน่งราชา เหล่าพี่น้องของราชาต้ามั่วเห็นขุมกำลังของจิวมั่วเหอก็เข้าใจ ไม่กล้าก้าวออกมารนหาที่ตาย การสืบทอดตำแหน่งราชาอาจต้องตายสถานเดียว
พวกเขาไม่มีใครเป็นคนโง่ ทิ้งวันเวลาอันแสนสุขเพื่อหาเรื่องตายแน่
ด้วยเหตุนี้เพื่อหลบหลีกจากเภทภัย เหล่าญาติพี่น้องของราชาต้ามั่วกลับเป็นคนกลุ่มแรกที่ออกมาสนับสนุนจิวมั่วเหอสืบทอดตำแหน่งราชาแห่งต้ามั่ว
โดยบอกว่าจิวมั่วเหอมีความชอบ แก้แค้นให้องค์รัชทายาทและเหล่าองค์ชาย ทั้งยังเคยทำคุณประโยชน์ให้แก่ต้ามั่ว และเป็นแม่ทัพคนสำคัญก่อนราชาต้ามั่วจะสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งราชานี้นอกจากเขาก็ไม่มีใครเหมาะสมอีก
ไม่ช้า
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาฝั่งจิวมั่วเหอก็ออกมาให้การสนับสนุนเขาขึ้นเป็นองค์ราชา
ยังมีเสียงคัดค้านจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้ต่างก็จงรักภักดีต่อราชาต้ามั่ว เรียกขานเป็นพี่น้องกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ พวกเขาล้วนไม่อาจยอมรับขุนนางกบฏอย่างจิวมั่วเหอขึ้นครองบัลลังก์
ทว่าในเวลานี้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ที่คนทั้งหลายคิดว่าถูกประหารไปแล้วพลันปรากฏกาย ทั้งยังยกเอาที่การกระทำเลอะเลือนทั้งหลายของราชาต้ามั่วกล่าวให้กับคนที่คัดค้านทั้งหลายฟัง รวมถึงประกาศความสามารถของ จิวมั่วเหออีกด้วย
เพื่อให้คนทั้งคิดถึงสถานการณ์ใหญ่และคำนึงถึงอนาคตของต้ามั่ว
คนจำนวนไม่น้อยเห็นเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ที่เคยเป็นศัตรูกับจิวมั่วเหอ สุดท้ายกลับยอมสวามิภักดิ์ต่อจิวมั่วเหอทำให้จิตใจหวั่นไหว หลังจากครุ่นคิดใคร่ครวญในที่สุดก็ย้ายไปอยู่ฝั่งจิวมั่วเหอ
ยังมีพวกไม่ฉลาดบางคน ไม่เชื่อฟังคำโน้มน้าว รวมถึงพวกที่ไม่รู้กาลเทศะต่างพาก็ตกตายอย่างเงียบๆ ในจวนของตน
ฝ่ายบิดาของจิวมั่วเหอในยามนี้ กลับบุกมาที่ห้องของเขาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดดุร้าย ถลึงตาตวาดก้อง “เจ้าลูกอกตัญญู ต่อให้ขึ้นเป็นราชา ก็ต้องให้ข้าเป็นก่อนเจ้า!”
จิวมั่วเหอมองบิดาด้วยสายตาไม่ร้อนไม่หนาว “เชื่อว่าท่านพ่อน่าจะดูออก ไม่ว่าใครบนโลกที่ขวางเส้นทางการขึ้นเป็นราชาของข้าล้วนต้องตายสถานเดียว ไม่ว่าจะเป็นราชาต้ามั่ว องค์รัชทายาท ยังมีพวกขุนนางไม่รู้จักกาลเทศะพวกนั้น ดังนั้นท่านพ่อคิดไปรวมกลุ่มกับพวกเขา หรือว่าจะขึ้นเป็นไท่หวางซ่าง[1]อย่างสงบ ท่านลองคิดดูให้ดี”
เขามีบิดาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่บิดาเขาหาได้มีเขาเป็นบุตรชายคนเดียว เขาไม่อาจรอจนบิดาฝังร่างลงสุสานแล้วค่อยขึ้นครองราชย์ เขาไม่มีความอดทนถึงขั้นนั้น
บิดาของจิวมั่วเหอฟังคำนี้ตกใจเสียจนแข้งขาอ่อนยวบ นับจากนี้ไม่กล้าเอ่ยเรื่องบังลังก์กับบุตรชายอีก
ผ่านไปสิบวัน
ต้ามั่วจัดราชพิธีไว้ทุกข์ ทั้งยังจัดพิธีสถาปนาองค์ราชา
จิวมั่วเหอขึ้นเป็นราชาต้ามั่วโดยไร้คนขัดขวาง
……
ส่วนในเวลานี้เยี่ยเม่ยได้รับราชโองการแต่งตั้งให้นางเป็นแม่ทัพใหญ่ จัดงานฉลองที่ชายแดนเป็นเวลาหลายวัน นอกจากมู่หรงเหยาฉือแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ยินดีกับนาง
แม้กระทั่งคนที่หลังจากมายังชายแดนแล้วหายตัวไปตามหาอาหารอร่อยกินจนไม่เคยเห็นแม้แต่เงาอย่าง เสินเซ่อเทียน ในเวลานี้ยังปรากฏตัวอย่างหาได้ยาก ตั้งตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงฉลองให้เยี่ยเม่ยคืนหนึ่ง
เยี่ยเม่ยไม่อาจปฏิเสธเรื่องงานเลี้ยง
จากชื่อเสียงของเสินเซ่อเทียน เมื่อเขาช่วยนางจัดงานเลี้ยงมีแต่ทำให้ชื่อเสียงขจรขจาย ทำให้นางยิ่งได้รับความไว้วางใจจากราชสำนัก เป็นผลดีต่อแผนการของนาง เยี่ยเม่ยจึงมิได้ขัดข้อง
ในงานเลี้ยง
คนทั้งหลายดื่มสุราปราศรัยกันอย่างครึกครื้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งกรอกสุราแก้กลุ้มอยู่ห่างออกไป สายตาตวัดกวาดไปมา ส่วนกูเยว่อู๋เหินนั่งอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย คนทั้งสองนั่งอยู่ชิดกัน
เป่ยเฉินอี้ที่ไม่ได้สอดมือยุ่งกับเรื่องราวในชายแดนมานานกลับปรากฏกายขึ้นมาในเวลานี้
หลังจากเข้ามาเขาก็คารวะสุราเยี่ยเม่ย เอ่ยกระซิบข้างหูนางว่า “แม่ทัพใหญ่เยี่ยเม่ย ช่างยิ่งใหญ่นัก แต่เจ้าคิดว่าเจ้ามีเวลาดีใจอีกสักกี่วัน”
คำพูดของเขาทำเอาเยี่ยเม่ยแววตาตื่นตระหนก
สองสามวันที่ผ่านมานางไม่เคยคลายความตื่นตัวเลย นั่นเพราะรู้ว่าเป่ยเฉินอี้ที่เป็นดั่งอสรพิษพร้อมจะล้มกระดานลงมือเอาชีวิตนางได้ทุกเมื่อ
“ทำไม อี้อ๋องทนไม่ไหวแล้วหรือ” เยี่ยเม่ยมองเขา มุมปากยกยิ้มเย็นชา
เป่ยเฉินอี้ไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของนางก็คือเข้าสู่ราชสำนัก ดังนั้นในสาตาของเป่ยเฉินอี้ ชัยชนะของนางคือการสงบศึกกับต้ามั่ว ทั้งนางยังได้รับผลประโยชน์จากการศึกนี้ด้วย
จิวมั่วเหอกลายเป็นราชาไปแล้ว คาดว่าข่าวการขอจำนนน่าจะมาอีกไม่นาน หลังจากเจรจาสงบศึกเสร็จสิ้น เกรงว่าจะเป็นเวลาที่เป่ยเฉินอี้เตรียมสอดมือเข้ามาแล้ว!
เป่ยเฉินอี้กระดกยิ้มมุมปาก สีหน้ายากหยั่งจ้องมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “อย่างนั้นเจ้าเตรียมรับมือแล้วหรือยัง แม่ทัพใหญ่ หรือว่าเจ้ายังเดาไม่ออกว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
“อย่างนั้นอี้อ๋องเดาออกอีกแล้วหรือว่า ข้าเตรียมจะเปลี่ยนจากความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้อย่างไร”
[1] บิดาของกษัตริย์