บทที่ 379 รักร้อนแรงที่ถูกขัดจังหวะโดยโทรศัพท์
โล่เฟยเอ๋อเงียบไปหลายวินาที หลังจากเรียบเรียงคำพูดแล้ว จึงค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้นว่า
“การพบกันของฉันกับเขาเป็นพรหมลิขิตมาก วันนั้นเดิมทีเป็นวันแต่งงานของฉันกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเราทั้งคู่จะหนีการแต่งงานออกมาจากโรงแรม แต่ที่ยิ่งบังเอิญไปกว่านั้นก็คือ พวกเราสองคนกลับเจอกันที่นอกโรงแรม ฉันเพิ่งหนีการแต่งงาน ไม่พกมือถือไม่พกกระเป๋าเงิน ฉันโบกรถอยู่ปากทางอย่างน่าอาย พอดีที่โบกรถของเขาได้ เขาไม่ชอบคลุกคลีกับคนแปลกหน้า แต่เขากลับให้ฉันขึ้นรถไป”
ซูซีมู่ได้ยินที่โล่เฟยเอ๋อพูดประโยคนี้ สีหน้าก็หยุดนิ่งทันที จ้องไปยังโล่เฟยเอ๋อที่อยู่บนเวที ไม่เคลื่อนสายตาไปไหน
เย่รู่ไป๋ที่อยู่ข้างๆ กระซิบที่ข้างหูซูซีมู่ ถามขึ้นเสียงเบาว่า “ประธานซู คุณผู้หญิงพูดถึงคุณใช่หรือเปล่า”
ซูซีมู่ไม่ชอบใจที่เย่รู่ไป๋มารบกวนเขา มองเขาด้วยสายตาเตือนๆ จากนั้นก็เลื่อนสายตากลับไปยังร่างของโล่เฟยเอ๋อ
เย่รู่ไป๋คิดว่าตัวเองถามคำถามผิดไป ที่โล่เฟยเอ๋อพูดถึงไม่ใช่ซูซีมู่ จึงได้ลูบจมูกอย่างเขินๆ ไม่พูดอะไรอีก
โล่เฟยเอ๋อหลับตาลง ราวกับกำลังตกตะกอนความทรงจำ “ตอนที่เห็นเขาครั้งแรก ก็คงราวกับความรักแรกพบ ฉันคอยแต่จะแอบมองเขาอยู่ตลอดทั้งทาง มองยังไงก็ไม่พอ มองมาตลอดทาง จนถึงจุดหมาย ยังรู้สึกว่าทำไมมันเร็วจัง” พูดถึงตรงนี้ โล่เฟยเอ๋อลืมตาขึ้น “ฉะนั้นฉันจึงได้วาดรูปนี้ขึ้นมา สร้อยคอของผู้ชายจะเป็นลูกศร สร้อยคอของผู้หญิงจะเป็นรูปหัวใจดวงหนึ่ง เมื่อเอามารวมกัน จะเป็นลูกศรปักใจ แสดงถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขา”
“น่าอิจฉาผู้ชายคนนั้นได้รับความรักลึกซึ้งจากคุณโล่ไป” พนักงานหยุดไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ที่จริงฉันรู้สึกสงสัยมาก หลังจากนั้นคุณโล่กับคุณผู้ชายท่านนั้นได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัยเหมือนกัน”
“สงสัย……” ด้านล่างเวทีก็ตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
“หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นสามีฉันค่ะ” โล่เฟยเอ๋อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เสียงของโล่เฟยเอ๋อสิ้นสุดลง ด้านล่างเวทีก็มีเสียงประหลาดใจดังขึ้น
พนักงานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา “ว้าว……ช่างน่าอิจฉาจริงๆ เลยนะคะ ไม่ทราบว่าสามีของคุณโล่อยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าคะ”
เย่รู่ไป๋ที่อยู่ด้านล่างเวทีรีบหันไปพูดกับซูซีมู่ด้วยสีหน้าราวกับได้รับบาดเจ็บว่า “ประธานซู คนที่คุณโล่พูดถึงคือคุณนี่นา”
ประธานซูช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว ที่คุณโล่พูดถึงคือเขา แต่เมื่อกี้เขากลับใช้สายตาเย็นชาแบบนั้นมองผม ทำเอาหัวใจผมอีกนิดก็ทนรับไม่ไหวแล้ว ฮือฮือ……
“ถ้าไม่อย่างนั้น นายคิดว่าเป็นใคร” สายตาเย็นชาของซูซีมู่กวาดไปยังเย่รู่ไป๋
“เป็นคุณ เป็นคุณ……” เย่รู่ไป๋พูดคำว่า ‘เป็นคุณ’ ติดๆ กันสองครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ประธานซู พนักงานเขาถามว่าคุณอยู่หรือเปล่า คุณไม่ขึ้นไปเหรอครับ”
ซูซีมู่ใช้สายตาที่สื่อถึงคำว่า ‘ปัญญาอ่อน’ มองไปยังเย่รู่ไป๋ จากนั้นก็มองไปยังร่างของโล่เฟยเอ๋อที่อยู่บนเวที
เหมือนว่าในใจมีญาณวิเศษ พอดีกับที่สายตาของโล่เฟยเอ๋อมองมา ทั้งสองสบตากัน
โล่เฟยเอ๋ออึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มสวย เอ่ยตอบว่า “ที่แรกฉันได้ตกลงกับเขาไว้แล้ว ว่าไม่ให้เขามา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมา”
“สามีของคุณโล่มาแล้วเหรอคะ อยู่ไหนคะ” พนักงานถามขึ้นด้วยใบหน้าตื่นเต้น
โล่เฟยเอ๋อไม่ตอบคำถามของเธอ เธอมองซูซีมู่ที่อยู่ข้างล่างเวทีอย่างตาไม่กะพริบ จากนั้นก็เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ครั้งแรกที่เจอกันคุณเห็นฉันในสถานการณ์คับขันลำบาก ครั้งที่สอง คุณช่วยฉันคลี่คลายปัญหา ครั้งที่สามพวกเราพบกันโดยบังเอิญที่บริษัท ครั้งที่สี่ ……จากนั้นเราก็รู้จักกันมากขึ้น จนเป็นเพื่อน ที่จริงฉันชอบคุณมาตลอด แต่ไม่กล้าบอกกับคุณ ไม่อยากให้ระหว่างเราแม้แต่เพื่อนก็เป็นไม่ได้”
ได้ยินคำสารภาพรักของโล่เฟยเอ๋อ ซูซีมู่ก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งลึกๆ ในใจ ลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง ก้าวไปยังส่วนของผู้เข้าร่วมงาน อ้อมไปยังทางขึ้นเวที
ปัดป้องการขัดขวางของพนักงาน เดินตรงไป ก้าวขึ้นบนเวที
ขอบตาของโล่เฟยเอ๋อแดงเล็กน้อย มองซูซีมู่ที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที กล่าวต่อไปว่า “ระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นมากมาย ผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก ถึงได้อยู่ด้วยกัน ฉันเพียงต้องการบอกกับคุณว่า ฉันรักคุณ รักมากๆ”
“ผมก็รักคุณ……” ซูซีมู่พูดจบประโยค จากนั้นก็ก้มหน้าลง ประทับริมฝีปากหนักๆ ลงที่ริมฝีปากของโล่เฟยเอ๋อ
เขาจูบอย่างเอาแต่ใจ ดุดัน ราวกับว่าต้องการเรียกคืนทั้งหมด ก่อนหน้านี้ที่เคยพลาดไป
บนเวที ทำเอาคนทั้งงานตกอยู่ในความเงียบ
สุดท้ายเย่รู่ไป๋ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ขออวยพรให้ประธานซูและคุณผู้หญิงมีความสุขตลอดไป”
จากนั้นในงานแข่งขันก็มีเสียงประสานขึ้นว่า “ขอให้มีความสุข……”
ได้ยินเสียง โล่เฟยเอ๋อจึงได้สติคืนมา จากนั้นก็ยื่นมือไปผลักซูซีมู่ เป็นการเตือนเขากลายๆ ว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ
“ขอบคุณทุกคน” ซูซีมู่หันมาขอบคุณทุกคน จากนั้นก็อุ้มโล่เฟยเอ๋อเดินลงไปจากเวที ……
ซูซีมู่อุ้มโล่เฟยเอ๋อตลอดทางจนขึ้นรถ จากนั้นก็พาเธอกลับโรงแรม
หลังจากเข้าห้อง เขาอดรนทนรอไม่ไหวที่จะจูบโล่เฟยเอ๋อ
เขาบังคับจูบให้เธอเปิดปาก พลางดูดกลืนลิ้นของเธอ พลางก็อุ้มเธอไปยังห้องนอน
เสื้อแจ็คเก็ต กระเป๋าเงิน กุญแจรถ เสื้อเชิ้ต รองเท้า……กระจัดกระจายจากหน้าประตูจนถึงห้องนอน
สุดท้ายซูซีมู่ก็วางโล่เฟยเอ๋อลงบนเตียง จากนั้นก็เริ่มทำการรุกรานยึดพื้นที่บนร่างของโล่เฟยเอ๋อ
ในเวลานี้เอง ที่ห้องมีเสียงมือถือดังขึ้น
“ซูซีมู่ ……โทรศัพท์……” เสียงของโล่เฟยเอ๋อต่ำแต่อ่อนโยน แฝงด้วยรสชาติของความเย้ายวน
สายตาของซูซีมู่ยิ่งทวีความเคร่งขรึม เขาบอกด้วยเสียงแหบพร่าว่า ‘ไม่ต้องสนใจ’ ก้มลงไปยังลำคอระหงของโล่เฟยเอ๋อแล้วกัดเบาๆ
ก็ไม่รู้ว่าคนโทรมีธุระสำคัญอะไร หลังโทรศัพท์ตัดสายไปเอง ก็โทรเข้ามาอีก ราวกับว่าถ้าซูซีมู่ไม่รับ ก็จะไม่ยอมปล่อย
“ซูซีมู่……รับโทรศัพท์ก่อน……” โล่เฟยเอ๋อดันซูซีมู่เบาๆ
“น่าตายจริง……” ซูซีมู่สบถคำหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นจากตัวโล่เฟยเอ๋อลงจากเตียง หลังจากที่ดึงผ้าห่มคลุมร่างโล่เฟยเอ๋อแล้ว เขาเก็บเสื้อแจ็คเก็ตบนพื้นขึ้นมา ล้วงเอามือถือออกมาจากข้างใน
เห็นบนมือถือโชว์เบอร์ของไป๋หวนหยู่ เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กดปุ่มรับสาย กำลังเตรียมจะด่าคน แต่ปรากฏว่าคำพูดของไป๋หวนหยู่ ราวกับสายฟ้าฟาด ทำเอาความปรารถนาอันร้อนแรงของเขาหายไปจนหมดสิ้น
“ประธานซู ไม่ทราบว่าร่างกายของเฟยเอ๋อตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”
น่าตายนัก ทำไมเขาจึงลืมไปได้ ซูซีมู่ด่าตัวเองในใจ จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “อืม ดีขึ้นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็สามารถพาครอบครัวไปพบเธอได้แล้วใช่ไหม” ไป๋หวนหยู่ถามอย่างตื่นเต้นดีใจ ซูซีมู่นิ่งเงียบไปหลายวินาที จึงพูดขึ้นว่า “ผมจะพูดกับเธอก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากประธานซูด้วยแล้วกัน” ไป๋หวนหยู่ตอบกลับอย่างซาบซึ้ง
ซูซีมู่ ‘อืม’ หนึ่งเสียง แล้วก็วางสาย จากนั้นก็สีหน้าเคร่งขรึมคิดว่าควรพูดเรื่องของตระกูลไป๋กับโล่เฟยเอ๋ออย่างไรดี
โล่เฟยเอ๋อเห็นซูซีมู่วางสายแล้ว สีหน้าไม่สู้ดีนัก คิดว่าเขาคงไม่ชอบใจที่ถูกขัดจังหวะ เธอเลิกผ้าห่มออก ลุกขึ้นลงจากเตียง กอดซูซีมู่จากทางด้านหลัง
“อย่าโมโหไปเลย เรามาต่อกันตอนนี้เลยดีไหม”