บทที่ 402 ซูยุ่นถูกบังคับให้อยู่ที่เมืองA
ซูยุ่นหลับไปแล้ว โจวเฉิงนอนอยู่ข้างๆ เห็นเธอหลับสนิท ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
ชายหนุ่มยื่นมือมาดึงผ้าห่มที่คลุมศีรษะมิดออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวแดงระเรื่อ เนื่องจากถูกผ้าคลุมแน่นจนเกินไป
สายตาของโจวเฉิงที่จ้องมองไปยังซูยุ่น เต็มไปด้วยความรักใคร่
เพียงแต่เขากล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ยามที่เธอไม่รู้ก็เท่านั้น
เพราะเขากลัว กลัวว่าหากเธอรู้ โอกาสที่เขาจะได้อยู่ข้างกายเธอจะไม่มีอีกต่อไป
เมื่อเขารู้ว่าตัวเองกำลังก่อเกิดความรู้สึกบางอย่างกับเธอ เขาก็รีบซ่อนมันไว้ทันที
เพราะเขารู้ดีว่าพวกเขาสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางเป็นไปได้
อีกทั้งเขาก็รู้ว่าในใจของซูยุ่นมีใครคนหนึ่งอยู่
เธอเสียใจ ร้องไห้เพราะเขาคนนั้น
แต่ไม่คิดว่าซูยุ่นจะถ่อมาขอเขาแต่งงานถึงประเทศMเพราะประเพณีของตระกูลซู
วินาทีที่ได้ยินว่าเธอจะแต่งงานกับเขา เขาทั้งตกใจทั้งดีใจสุดๆ
แต่หลังจากดีใจได้ไม่นาน เธอก็บอกเขาว่าเธอแค่อยากวิ่งหนีประเพณีของครอบครัว ถึงได้อยากให้เขามาแต่งงานหลอกๆ เขาจึงปฏิเสธเพราะความโกรธ
แต่ก็คิดไม่ถึงอีกว่าซูยุ่นจะวิ่งโร่ออกไปข้างถนน แล้วขอให้ใครก็ได้มาแต่งงานด้วย
เขาจะยอมได้ยังไง? เขาไม่มีทางยอม
ถึงได้ตกลงจะแต่งงานกับเธอ แม้ว่าจะเพราะประเพณีของตระกูลซู หรือจะเป็นการแต่งงานแบบหลอกๆ หรือไม่ก็ตาม
ต่อให้มันจะเป็นแค่ฝัน แต่เขาก็ยินดีจะมัวเมาอยู่ในความฝันตลอดกาล
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้เขาคือสามี ส่วนเธอคือภรรยาของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขาเป็นเจ้าของเธอ เขาเป็นสามีของเธอ
โจวเฉิงยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของซูยุ่นแผ่วเบาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาขยับมือด้วยความระมัดระวัง ราวกับกำลังถนอมของล้ำค่าอันเป็นที่รัก
หญิงสาวเหมือนจะรู้สึกได้ถึงการสัมผัสของเขา ซูยุ่นร้อง’ อือ’ ขณะกำลังหลับ จากนั้นยื่นหน้าเข้าไปถูไถกับมือหนา
โจวเฉิงกะพริบตาด้วยความรู้สึกเอ็นดู จากนั้นจึงก้มลงประทับริมฝีปากเย็นลงบนคิ้วของเธออย่างช้าๆ
ริมฝีปากของเขาสัมผัสลงไม่กี่วินาที แต่กลับฝังความรู้สึกทั้งหมดของเขาลงไป
เมื่อถอนจูบออกจากคิ้วสวย เขาจึงกระซิบลงข้างใบหูของเธอ ‘ฝันดีครับ’
ซูยุ่นกำลังฝันหวาน ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่มุมปากบางยกยิ้มนิดๆ …
เมื่อซูยุ่นตื่นขึ้นมา โจวเฉิงก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว
มองตำแหน่งข้างๆ ที่ว่างเปล่า ความรู้สึกโล่งอกกับความรู้สึกผิดหวังก็ผุดขึ้นในใจ
เธอส่ายหน้า สลัดความคิดนั้นออก เลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจึงออกจากห้องนอน
เมื่อเดินมาถึงประตูห้องรับแขก ก็เห็นโจวเฉิงกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟา
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เหมือนกับทุกทีที่เธอเห็น เวลานี้ชายหนุ่มกำลังจดจ่อและตั้งใจ ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและพลัง
และคงเป็นเพราะเธอไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้ ซูยุ่นจึงเหม่อมองไปชั่วขณะ
จนกระทั่งเสียงของโจวเฉิงลอยเข้ามา เธอถึงดึงสติกลับมา “ตื่นแล้วหรอครับ?”
ซูยุ่นส่งเสียง ‘อ้ะ’ แล้วพยักหน้า “เพิ่งตื่น”
โจวเฉิงปิดเอกสารในมือ แล้วลุกขึ้นเอ่ยถาม “หิวไหมครับ? ตอนเช้าจะทานอะไร?”
“ไม่ ฉันไม่กินมื้อเช้า” ซูยุ่นส่ายหน้า
โจวเฉิงจ้อง เขาอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายตอบเพียงแค่ ‘ครับ’ จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าห้องอาหารรินน้ำให้เธอแก้วนึง
ซูยุ่นรับแก้วมา แต่ไม่ได้ดื่ม เธอว่า “อีกเดี๋ยวฉันจะกลับเมืองหลวง”
มือใหญ่ที่อยู่ข้างตัวโจวเฉิงกำแน่น แต่เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย “คุณท่านว่ายังไงบ้างครับ?”
ได้ยินที่โจวเฉิงพูด ซูยุ่นถึงนึกขึ้นได้ ระหว่างที่บ้านใหม่ของโจวเฉิงยังตกแต่งไม่เสร็จ คุณท่านให้พวกเขาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลซู
“เดี๋ยวฉันจะไปหาคุณปู่ ฉันทิ้งงานที่เมืองหลวงไม่ได้ คุณปู่รับปากว่าจะไม่บังคับฉัน”
โจวเฉิงตอบ “ผมจะไปกับคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปเองได้” ว่าจบ ซูยุ่นก็ยกแก้วน้ำในมือดื่มคำนึง แล้ววางลงบนโต๊ะ เธอยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
โจวเฉิงมองเธอเดินออกไป ก่อนจะลากสายตามาจบที่แก้วน้ำซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก น่าจะเป็นรอยลิปสติกบนแก้วมากกว่า
เขามองรอยลิปสติกนั่นนานหลายวินาที ก่อนจะลุกขึ้นหยิบแก้วแล้วเดินไป…
ซูยุ่นรู้ดีว่าเวลานี้คุณปู่กำลังอยู่ในเรือนดอกไม้ ดังนั้นเธอจึงเดินไปที่นั่น
ขณะกำลังเดินอยู่ เธอไม่เห็นคุณปู่ แต่เห็นโล่เฟยเอ๋อ
“พี่สะใภ้” ซูยุ่นเอ่ยทักทาย
โล่เฟยเอ๋อพูดเสียงใส “ซูยุ่นมาแล้ว เมื่อกี้ฉันไปหาเธอที่คฤหาสน์ แต่โจวเฉิงบอกว่าเธอยังไม่ตื่น”
ซูยุ่นหน้าแดงเล็กน้อย แล้วว่า “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยนะค่ะ พี่สะใภ้มาหาฉันมีอะไรหรอคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แค่จะถามว่าตอนบ่ายฉันจะออกไปกับพี่เธอ เธอกับโจวเฉิงจะไปด้วยกันไหม” โล่เฟยเอ๋อตอบ
“วันนี้? ไม่ได้ค่ะ” ซูยุ่นส่ายหน้า แล้วว่า “อีกเดี๋ยวฉันต้องกลับเมืองหลวงแล้ว”
โล่เฟยเอ๋อยังไม่ทันได้พูดตอบ เสียงก้องกังวานก็ดังขึ้นมาจากอีกทาง “จะกลับเมืองหลวงทำไม?”
ซูยุ่นหันไปมอง ก็เห็นคุณท่านจ้องเธอตาเขม็ง
ซูยุ่นเปลี่ยนท่าทีเหมือนหนูเจอแมว เธอพูดเสียงเล็กๆ “คุณปู่…”
คุณท่านแค่นเสียงเหอะ แล้วถามต่อ “เรากับโจวเฉิงเพิ่งจะแต่งงาน ตอนนี้จะกลับเมืองหลวงทำไม?”
“คุณปู่คะ งานของหนูที่นั่น หนูต้องกลับ…” ยังพูดไม่ทันจบ คุณท่านก็ตัดบท
“งานที่เมืองหลวงน่ะ เราไม่ต้องห่วง”
ไม่ต้องห่วง? หมายความว่ายังไง? จู่ๆ ซูยุ่นก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก “ไม่ต้องห่วงอะไรคะ?”
“ปู่โทรไปบอกพ่อเราแล้ว ให้เขาย้ายเรามาที่เมืองA” คุณท่านตอบ
ได้ยินคุณท่านพูดแบบนั้น ซูยุ่นแทบจะกระอักเลือดออกมา
งานการของเธอ กำลังจะถูกโยกย้ายจากเมืองหลวงมาสู่เมืองA เพราะคำพูดคำเดียวของคุณปู่?
จะบอกว่า แผนเดิมระหว่างเธอกับโจวเฉิงที่จะแยกกันอยู่ กลับกลายเป็นเขาสองคนต้องมาใช้ชีวิตด้วยกัน แถมดูจากรูปการณ์ตอนนี้ เขาสองคนต้องอยู่ด้วยกันแน่
แต่ก็ยังดีที่แค่อยู่ด้วยกัน อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
แต่ซูยุ่นยังไม่รู้ว่า เธอกับโจวเฉิงไม่ใช่แค่อยู่ด้วยกัน อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
เพราะโล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่ตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่วิลล่าหลันถิงพร้อมพวกเขา แล้วเวลานั้นเกรงว่าเธอกับโจวเฉิงจะต้องอยู่ห้องเดียวกัน
เหอะๆ …ซูยุ่นในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น เพราะงั้นก็ให้เธอสบายใจไปก่อนแล้วกัน
ซูยุ่นเบ้ปาก แล้วพูด “คุณปู่คะ แบบนี้มันไม่ค่อยดี…”
“ใครบอกไม่ดี ให้มันมาหาปู่” คุณท่านโบกมือใหญ่ปัดรำคาญ
คุณท่านเป็นถึงระดับไหน? ใครมันจะกล้ามาหา!
ซูยุ่นที่น่าสงสารกลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆ สลายความคิดสุดท้ายในหัวทิ้งอย่างว่าง่าย
ล้อเล่นหรือไง ขืนเธอยังดึงดันจะกลับเมืองหลวง มีหวังโดนคุณปู่สงสัยแน่ แล้วถ้าคุณปู่จับได้ว่าเธอกับโจวเฉิงแต่งงานกันหลอกๆ ตอนนั้นเธอคงไม่รอดเป็นแน่…