การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) – ตอนที่ 121
วันหลังจากที่เกลเลสต้านทานการโจมตีของกองทัพจักรวรรดิเอาไว้ได้
“นี่ท่านใช้เวทมนตร์แบบไหนหรอครับ?”
อลัวส์ถามคำถามนี้กับฉันที่กำลังมองกองทัพจักรวรรดิถอยกลับไปที่ค่ายจากกำแพงเมือง
“หมายถึงตอนไหนหล่ะ?”
“เมื่อวานครับ พูดตามตรง, ข้านึกไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะสามารถยื้อพวกเขาเอาไว้ได้จริงๆ”
“อืมม….ถ้าผู้ปกครองตัวน้อยออกมาบัญชาการในภาคสนามด้วยตัวเองไม่ว่าใครก็คงจะมีกำลังใจใช่ไหมหล่ะ”
“นั่นคือสิ่งที่ท่านบอกให้ข้าทำ ข้าคิดว่ามันก็มีส่วนช่วยอยู่แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราจะสามารถหยุดคนเป็นหมื่นได้ด้วยการทำเพียงแค่นั้น”
“เจ้าแน่ใจจริงๆหรอว่ามันเป็นเพราะเวทมนตร์ของข้า?”
“ข้าแค่อยากรู้ความจริงครับ”
ในตอนที่เขาบอกฉันแบบนั้น, ฉันก็เงียบไปพักนึง
จะให้บอกเขาไปเลยฉันเองก็ไม่ได้อึดอัดใจอะไรหรอกแต่ฉันรู้สึกว่ามันดูน่าเสียดายอย่างบอกไม่ถูก
“อืม….ถ้างั้นข้าขอถามเรื่องนึง เจ้าคิดว่าข้าใช้เวทมนตร์แบบไหนหล่ะ?”
“ถ้าข้าได้คำตอบนั้นมาด้วยตัวเองข้าก็คงไม่ถามท่านหรอก……”
“การรู้ว่าควรขอความช่วยเหลือคนอื่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญแต่การคิดก่อนที่จะทำแบบนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ลองคิดดูสิ พวกเราทำอะไรลงไปบ้างเมื่อวานนี้?”
ฉันแนะนำเขาเหมือนอาจารย์สอนลูกศิษย์
จากนั้นอลัวส์ก็เริ่มคิดอย่างว่าง่าย
ด้วยการนึกย้อนความทรงจำกลับไป, เขาก็พยายามคิดว่าเมื่อวานนี้พวกเราชนะได้ยังไง
จากนั้น, อลัวส์ก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“สองครับ…..ข้าคิดว่าชัยชนะของพวกเราเมื่อวานนี้มาจากสองปัจจัย”
“ไหนลองบอกมาซิ”
“ปัจจัยแรกก็คือศัตรูอ่อนแอกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้ ส่วนอีกปัจจัยนึงก็คือทหารของเราแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้”
“แสดงว่าเจ้าคิดว่าข้าทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอในขณะที่เสริมความแข็งแกร่งให้ทหารของพวกเรา เจ้าคิดว่าข้าใช้เวทมนตร์สองแบบนี้สินะ?”
“ครับ….นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด”
อลัวส์พูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
จนถึงตอนนี้ฉันได้พยักหน้าให้เขาแล้วเริ่มอธิบายให้อลัวส์
“คำตอบของเจ้าถือว่าถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง”
“แสดงว่าท่านใช้หนึ่งในเวทมนตร์ที่ว่ามานี้หรอครับ?”
“อา, ข้าใช้เวทมนตร์รักษาความเยือกเย็นของทหารฝั่งเราเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ตื่นตระหนกในระหว่างการต่อสู้ ต้องขอบคุณสิ่งนี้, ทุกคนจึงสามารถสังเกตศัตรูได้อย่างใจเย็น, เอาชนะพวกเขา, และทำตามคำสั่งได้อย่างมีสติ นี่คือเวทมนตร์เดียวที่ข้าใช้”
การมีจิตใจที่เยือกเย็น
แค่สิ่งนี้ก็สร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ได้อย่างมหาศาลแล้ว โดยปกติ, ถ้าไม่มีความไม่มั่นใจในตัวเองก็จะไม่สามารถทำใจให้สงบเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูได้ ซึ่งนี่จะยิ่งเป็นความจริงสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยต่อสู้มาก่อน
กองทัพมักจะฝึกทหารให้คุมสติของตัวเองให้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
มันบอกได้เลยว่าเวทย์ของฉันนั้นช่วยผลักดันให้มือใหม่กลายเป็นทหารชำนาญศึก
“แค่นั้นเองหรอครับ? แล้วทำไมศัตรูเมื่อวานถึงเป็นแบบนั้นได้หล่ะครับ…….?”
“เมื่อวานซืน, มีการโจมตีด้วยไฟขนาดยักษ์ถูกปล่อยออกมาจากประตู, และเผาทหารมือดีไปพันคนได้ เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของพวกเขา, มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าพวกเขาจะรู้สึกระแวงบริเวณใกล้กับประตู อาจจะมีกับดักที่ประตูอีกรึเปล่า, ครั้งนี้แผนของพวกเราก็จะโดนอ่านออกด้วยไหม, ความลังเลพวกนี้ทำให้พวกเขาสูญเสียความเยือกเย็นไป ทหารของกองทัพอาจจะได้รับการฝึกฝนมาแต่พวกเขาไม่ได้เป็นอมตะ เมื่อพวกเขาสูญเสียความเยือกเย็น, พวกเขาก็จะไม่ใช่ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่อะไร”
“แค่นั้นเองหรอครับ……”
“เมื่อเจ้าต่อสู้ด้วยชีวิตเรื่องพวกนี้ก็จะต่างออกไป ในการต่อสู้แบบนี้ฝ่ายป้องกันจะได้เปรียบมากกว่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าศัตรูลังเลที่จะเคลื่อนไหว, นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่สามารถคาดการได้”
“ที่ท่านจัดการหน่วยโจมตีทีเผลอก็เพราะท่านเล็งจุดนี้เอาไว้หรอครับ?”
“อา, ก็นะ เมื่อศัตรูเข้ามาโจมตีด้วยวิธีตามตำรามันก็ช่วยให้คิดมาตรการตอบโต้กับพวกเขาได้ง่ายขึ้น มันอาจจะเป็นทฤษฎีง่ายๆจากมุมมองของทหาร, แต่เรื่องแบบนี้แหล่ะที่น่ากลัว ถ้าเจ้ายึดติดกับทฤษฎีเมื่อเจ้าได้อ่านมันเจ้านั่นแหล่ะที่จะเป็นคนเอาชีวิตไปทิ้ง ผู้บัญชาการของอีกฝ่ายออกคำสั่งตามทฤษฎีพวกนี้ พวกเราก็แค่สร้างความสงสัยในใจพวกเขาเพื่อทำให้สูญเสียความเยือกเย็นและการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะเละเทะ อัศวินกับทหารของพวกเราแค่ไม่ได้พลาดช่องโหว่วที่พวกเขาเผยออกมา ทั้งหมดมันก็แค่นี้เอง”
ทั้งหมดที่พวกเราต้องการก็คือยื้อพวกเขาให้ได้เป็นเวลาหนึ่งวัน
ถ้าพวกเราทำสำเร็จ, อีกฝ่ายก็จะมองว่าพวกเราเป็นศัตรูที่จัดการได้ยาก
และเมื่อเป็นแบบนั้น, วิธีที่พวกเขาจะเอาชนะพวกเราได้ในระยะเวลาอันสั้นก็จะถูกจำกัด
“แบบนี้ก็แสดงว่าท่านเตรียมขั้นต่อไปเอาไว้แล้วสินะครับ?”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นหล่ะ?”
“ท่านชิงความเปรียบมาได้ด้วยการทำให้จิตใจของพวกเขาระส่ำระส่ายจากการปลูกฝังความกลัวลงไปในจิตใจของพวกเขาเมื่อวันก่อน เมื่อคิดตามแนวทางนี้, มันก็คงไม่แปลกอะไรถ้าท่านจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานวางแผนทำอะไรบางอย่างล่วงหน้า”
“เจ้าหัวไวดีนะ แต่ยังไร้เดียงสาเกินไปหน่อย”
“หมายความว่ายังไงหรอครับ?”
“ข้าไม่ได้พึ่งเริ่มเดินตามแผนเมื่อวาน”
มันคือวันที่พวกเราเอาชนะหน่วยโจมตีที่เผลอได้ต่างหาก
ฉันเดินตามแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว
“ท่านจัดการอะไรบางอย่างไปตั้งแต่ก่อนเมื่อวานอีกหรอครับ!?”
อลัวส์ที่มีสีหน้าประหลาดใจเอ่ยปากถามฉันแต่เขาก็เริ่มคิดถึงมันด้วยตัวเองในทันที
ฉันยิ้มให้กับนิสัยที่ซื่อๆของเขาแล้วเอามือลูบศรีษะของอลัวส์
“เมื่อวานเจ้ายุ่งอยู่เลยอาจจะไม่ได้สังเกตแต่ตัวเจ้าในตอนนี้น่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วนะ”
“ชัดเจนหรอครับ?”
“อา, ลองดูให้ดีสิ มีอะไรขาดหายไปตั้งแต่การต่อสู้เมื่อวานนี้”
เมื่อได้ฟังคำใบ้ของฉัน, อลัวส์ก็หันไปดูรอบๆตัวอย่างรวดเร็ว
มีบางอย่างหายไป ตั้งแต่เมื่อวานนี้, มีบางสิ่งที่เขาน่าจะสังเกตเห็นได้ตามปกติขาดหายไป
จากนั้นอลัวส์ก็ขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม, เหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้, จู่ๆสายตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมา
รู้ตัวแล้วสินะ
“ว่าไงหล่ะ?”
“ตั้งแต่เมื่อวานนี้….ข้าไม่เห็นคุณยอร์ดันเลย……”
ฉันยิ้มให้กับคำตอบของเขา
แล้วฉันก็เอามือซ้ายลูบศรีษะของเขา, เป็นการบอกว่าตอบได้เยี่ยมมาก
“ในเมื่อพวกเขาเจอศัตรูที่จัดการได้ยาก, พวกเขาก็จะไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดิมได้ ศัตรูจะต้องหาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อบุกเข้าใส่พวกเราด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา ซึ่งนี่แหล่ะคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา แม้กระทั่งกองทัพฝีมือดีก็สามารถเตลิดได้ถ้าพวกเราโจมตีพวกเขาโดยใช้จังหวะเวลาเช่นนี้ แต่ว่า, พวกเขาจะต้องระวังเรื่องนั้นเอาไว้อย่างแน่นอน พวกเขาน่าจะตั้งค่ายคอยสังเกตการณ์พวกเราเอาไว้แล้วด้วย ถ้าพวกเราส่งหน่วยทหารออกไป, พวกเขาก็จะรู้ตัวในทันที”
“แสดงว่า…..ท่านส่งหน่วยนึงออกไปตั้งแต่ตอนที่โจมตีทีเผลอสำเร็จแล้วอย่างงั้นหรอครับ!? หน่วยร้อยคนนั่นอะนะ!?”
“ผู้บัญชาการอัศวินโฟ้กท์เป็นคนที่เก่งจริงๆ เขาเคลื่อนไหวในแนวทางที่จะป้องกันไม่ให้ศัตรูสังเกตเห็นทหารที่หายไปจากฝั่งเรา ถึงยังไงต่อให้หนึ่งพันคนลดลงไปเหลือเก้าร้อยคน, มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักจากมุมมองของศัตรู และมันก็อาจจะเป็นเพราะพวกเราแยกพวกเขาออกมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”
“ที่ท่านทำเรื่องแบบนี้ลงไป…..ก็แสดงว่าท่านจะโจมตีทีเผลอหรอครับ?”
“อา, มันคือการโจมตีทีเผลอ….แต่ไม่ใช่แค่โจมตีทีเผลอธรรมดานะ”
ถ้าพวกเรามีหน่วยทหารหนึ่งร้อยคนอยู่นอกเมือง, ศัตรูก็อาจจะรู้ตัว
นี่คือสาเหตุที่ฉันบอกให้พวกเขาซ่อนตัว
ซึ่งจุดซ่อนตัวก็คือหมู่บ้านในระแวก
ด้วยความที่ยอร์ดันเป็นที่รู้จักของผู้คนที่อยู่รอบเกลเลสอย่างกว้างขวาง, เขาจึงมีเพื่อนที่สามารถขอความช่วยเหลือได้มากมาย
“เจ้าคิดว่าทำไมวันนี้ศัตรูของเราถึงเงียบขนาดนี้หล่ะ?”
“พวกเขาต้องเตรียมอะไรซักอย่างเพื่อบุกเข้ามาในเมืองของพวกเราใช่ไหมครับ”
“ใช่, แต่พวกเขามีข้อจำกัดอยู่ ข้อแรกก็คือเวลา ส่วนอีกข้อก็คือการแสดงออกภายนอกของพวกเขาในฐานะหน่วยลอบเร้น การแสดงออกนี้ป้องกันไม่ให้พวกเขาขอความช่วยเหลือจากศูนย์บัญชาการหรือเรียกตัวนักเวทย์ที่แข็งแกร่ง นี่คือจุดอ่อนร้ายแรงสำหรับกองทัพที่ต้องการสู้ศึกในระยะสั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้เอง, ตัวเลือกของพวกเขาในการจะคิดแผนการฉลาดๆเพื่อยึดเมืองหรือสร้างอาวุธใหม่ๆนั้นจึงมีจำกัด”
“สร้างอาวุธหรอครับ? ท่านกำลังพูดถึงอาวุธปิดล้อมหรอ?”
“พวกเขาสามารถทำเรื่องพวกนั้นได้ถ้าตัดสินใจเรียกระดมทหารของพวกเขา ต่อให้มันเป็นอาวุธปิดล้อมแบบง่ายๆ, มันก็ช่วยให้การต่อสู้ของพวกเขาง่ายขึ้นมาก ถ้าดูจากการต่อสู้เมื่อสองวันก่อน, พวกเขาต้องรู้ตัวแล้วแน่ๆว่าฝั่งเราเองก็ไม่มีนักเวทย์เหมือนกัน ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ถ้าพวกเขาตัดสินใจสร้างอาวุธปิดล้อมขนาดใหญ่มันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
อย่างไรก็ตาม, นั่นแหล่ะคือจุดบอดของพวกเขา
ในเมื่อพวกเขาอยากจะยึดเมืองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้, พวกเขาก็คงจะตัดสินใจทุ่มสุดตัวอย่างแน่นอน
“ถ้าพวกเขาอยากจะสร้างอาวุธปิดล้อมที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน, พวกเขาก็จะต้องใช้กำลังคนเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเอง, กองทัพจะต้องจ้างคนงานจากหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อให้มาช่วยในโปรเจคขอพวกเขาอย่างแน่นอน”
“อย่าบอกนะว่า….”
“หน่วยหนึ่งร้อยคนของเราได้แทรกแซงเข้าไปในค่ายศัตรูแล้ว เอาเถอะ, ถ้ามันมีแค่นั้นก็คงจะไม่ได้สร้างภัยคุกคามให้พวกเขาซักเท่าไหร่หรอก ถึงยังไง, พวกเขาก็คงจะไม่ขัดคำขอของกองทัพโดยไม่ผ่านคำแนะนำจากข้า อย่างมากที่สุด, มันก็จะจบแค่การก่อกวนเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าข้าไปที่นั่นด้วยตัวเองหล่ะ?”
“แต่ศัตรูกำลังจับตาดูพวกเราอยู่นะครับ……”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอก ข้าสามารถไปได้ทุกที่อยู่แล้ว”
“อา…..”
“จากมุมมองของศัตรู, ข้าก็ดูเหมือนกับคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ และแน่นอนข้าไม่ได้บอกว่าข้าใช้เวทมนตร์ได้ด้วย พวกเราจะทำลายสเบียงอาหารกับอาวุธปิดล้อมของพวกเขาจากนั้นมันก็จะจบลง พวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนกำลังกลับ ต่อให้พวกเขาสามารถยึดเมืองได้, พวกเขาก็คงไปไหนต่อไม่ได้และในเมื่อไม่มีอาวุธปิดล้อม, พวกเขาก็คงทำมันไม่สำเร็จอยู่ดี”
หลังจากอธิบายแผนการของฉัน, ฉันก็มองอลัวส์
แม้ว่าจะมีอายุเพียงเท่านี้, แต่เขาก็ยังเป็นผู้ปกครองดินแดน
ฉันต้องอธิบายเรื่องพวกนี้กับเขาอย่างเหมาะสม
“ข้าจะจากไปหลังจากที่จบการจู่โจมในครั้งนี้ ส่วนเจ้าก็สบายใจได้เลยเพราะพวกเขาจะกลับมาสร้างภัยคุกคามกับเจ้าไม่ได้แล้วหล่ะ แต่สิ่งที่เจ้าต้องทุ่มเทก็คือเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้”
“เข้าใจแล้วครับ….ถึงยังไงพวกเราก็หันคมดาบเข้าใส่กองทัพจักรวรรดิ”
“ตอนนี้เขายังติดงานอยู่กับขบวนผู้ส่งสารของจักรวรรดิแต่เจ้าสามารถพึ่งพาองค์ชายลีโอนาร์ดได้ หลังจากที่พวกเขาจัดการดยุคครูเกอร์ได้แล้ว, เจ้าควรรีบไปขอโทษจักรพรรดิในทันที่เจ้ายืนยันความปลอดภัยของตัวประกันได้ สถานการณ์ของเจ้าน่าจะพอมีพื้นที่ให้เจรจาอยู่และเขาก็ไม่ใช่จักรพรรดิโง่ที่จะลงโทษเจ้าของดินแดนที่ยื้อทหารระดับสูงหนึ่งหมื่นคนของกองทัพจักรวรรดิเอาไว้ได้ด้วย ข้ามั่นใจว่าบทลงโทษที่เจ้าเจอคงไม่หนักอะไรหรอก”
“เข้าใจแล้วครับ….ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน”
“ดีมาก ตอนนี้กลับลงไปกันเถอะ มันเริ่มหนาวแล้ว”
“ท่านจะไปเมื่อไหร่หรอครับ?”
“ความลับ”
ฉันพูดเช่นนั้นในขณะที่ลูบศรีษะของอลัวส์และพวกเราสองคนก็ลงไปจากกำแพงเมือง