บทที่466 หน้าแตกกลางงาน (2)
พูดเสร็จ เหซิงโม่ก็จูงซือจิ้งสวนหาที่นั่งลงไป เป็นการโปรยความหวานอย่างแท้จริง
เจ้าของเรื่องก็ออกมาปฏิเสธข่าวลือแล้ว แถมยังโชว์ความหวานต่อหน้าทุกคน ใครยังกล้านินทาเรื่องนี้อีก เพราะคาดเดาผิดพลาดไปเลยหน้าแตกอย่างรุนแรง ดังนั้นผู้คนทั้งหมดก็แอบตำหนิคนที่ปล่อยข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซือเหม่ยหยวนจัดทรงผมอย่างอับอายเล็กน้อย ถึงจะดีกันแล้วยังไง ขอโทษแล้วยังไง เพราะยังไงตอนนี้ใจตาแก่เอียงไปทางเธออยู่ดี
เธอนั่งข้างพ่อซืออย่างมีแผนเจ้าเล่ห์ ตอนที่ทุกคนเข้ามาทักทายเธอก็จะเข้ามาแทรก แต่ว่าไม่มีไม่ชอบทำความรู้จักกับคนสวยหรอก ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็คุยถูกคอกับซือเหม่ยหยวนทั้งนั้น
โจวเฉิงมาช้าไปหน่อย เขาเดินไปตรงหน้าพ่อซือกล่าวทักทายอย่างสั้นๆ ก็เตรียมเดินออกไป
ใครจะคิดว่าพ่อซือจะเรียกโจวเฉิงไว้กะทันหัน พูด”ผู้ช่วยโจว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เหม่ยหยวนบ้านพวกผมรับช่วงต่อกับโปรเจกต์ใหญ่ขนาดนี้ เธอยังด้อยประสบการณ์ คุณก็ให้อภัยเยอะๆ หน่อยนะครับ”
ฮ้า เธอรับช่วงต่อเหรอ นอกจากชื่อเธอคือคนที่รับผิดชอบแล้วนั้นก็แทบไม่เคยปรากฏตัวในทุกขั้นตอน กลับเป็นผู้ช่วยตัวเล็กๆ ของเธอที่ก้มหน้ายืมอยู่ข้างกายเธอที่วิ่งทำงานไปมาอย่างแสนลำบาก
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ โจวเฉิงก็เข้าใจทุกอย่างทันที ว่าซือเหม่ยหยวนคนนี้ต้องการรับคุณงามความดีทั้งหมดต่อหน้าพ่อซือ
หากเวลานี้โจวเฉิงเผลอพูดหลุดปาก งั้นพ่อซือต้องสงสัยตัวเองอย่างแน่นอน ในใจซือเหม่ยหยวนกำลังแอบดีใจ ไม่รอโจวเฉิงพูดจบเธอก็รีบแย่งพูดก่อนทันที “คุณพ่อพูดถูกแล้วค่ะ มีเรื่องมากมายที่หนูทำครั้งแรกยังไม่มีประสบการณ์อะไรจริงๆ ค่ะ เพราะได้รับการประคองช่วยเหลือจากผู้ช่วยโจวทั้งนั้น ต่อไปหนูจะตั้งใจเรียนรู้จากผู้ช่วยโจวค่ะ”
เมื่อฟังจบ พ่อซือพูดพลางพยักหน้าอย่างพอใจ “ต่อไปคงต้องรบกวนคุณเยอะๆ ด้วยนะครับ”
พูดมาถึงขึ้นนี้แล้ว ถ้าโจวเฉิงพูดอะไรอีกก็คงสร้างความพอใจแล้วใช่ไหม แต่ว่าเขาเชื่อมั่น ว่าที่ซือเหม่ยหยวนทำแบบนี้ต้องมีสักวันที่ความจริงปรากฏแล้วผลร้ายนั้นต้องย้อนกลับมาหาตัวเองแน่ๆ
เมื่อเห็นว่างานใกล้จะเริ่มแล้ว ทำไมซูซีมู่ยังปรากฏตัวอีก เห็นได้ชัดว่าซือเหม่ยหยวนร้อนใจเล็กน้อย
เธอแอบเข้ามาใกล้โจวเฉิงแล้วถาม”นี่ ทำไมประธานซูจะมาเมื่อไหร่”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ประธานซูเป็นคนรับผิดชอบครับ คุณซือถามถึงประธานซูทำไมครับ”โจวเฉิงพูดอย่างเย็นชา
อันที่จริงโจวเฉิงมีชื่อเสียงเรื่องนิสัยดีมาตลอด คนไหนสามารถทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ซือเหม่ยหยวนรู้สึกว่าคำพูดของโจวเฉิงมันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้ ทันใดนั้นเธอก็ไม่พอใจขึ้นมาจึงขมวดคิ้วพูด”ดิฉันเป็นห่วงเป็นใยว่าพาร์ทเนอร์จะมาเมื่อไหร่ มันผิดตรงไหนคะ แถมนี่คือการร่วมงานกันระหว่างบริษัทซือซื่อกับบริษัทซูซื่อ ตามความเป็นจริงเขาที่เป็นท่านประธานบริษัทก็ควรมาถึงงานแล้วนะคะ”
“รอไปก่อนเถอะครับ”โจวเฉิงตอบ
พูดตามจริงซูซีมู่จะมาเมื่อไหร่ไม่ใช่เรื่องที่โจวเฉิงสามารถควบคุมได้
มองท่าทีของโจวเฉิงแล้ว ซือเหม่ยหยวนก็รีบเดินออกไปอย่างไม่พอใจ
แล้วยังพูดอย่างเพ้อฝัน “รอไปก่อนเถอะ หลังจากที่ฉันกับซูซีมู่ได้อยู่ด้วยกันคนแรกที่จะไล่ออกก็คือแก”
ซูซีมู่นั้นช่างคาดการณ์ได้เก่งจริงๆ กิจกรรมเพิ่งเริ่มเขาก็ปรากฏตัวพอดี
เมื่อใดที่เขาปรากฏตัวก็ย่อมเป็นคนที่สะดุดตาที่สุดในฝูงชน สายตาทุกคนต่างมองมา
มีฟองสีชมพูในแววตาของสาวๆ เหล่านั้นตั้งนานแล้ว จึงซุบซิบกันตลอด
“อุ๊ย นี่คือประธานซูเหรอ โอ้มายก๊อด ที่ร่ำลือกันว่าเขาหล่อมาก นี่…..หล่อมากเกินไปแล้วจริงๆ ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันตายแล้ว หล่อกว่าดาราอีก ถ้าสามารถเป็น……”
“เฮ้ยๆๆ พวกเธออย่าเพ้อฝันมโนไปเอง ท่านประธานซูคนเขาแต่งงานแล้วน่ะ”
“แต่งงานแล้ว โอ้มายก๊อด ผู้หญิงคนไหนโชคดีขนาดนี้ ท่านประธานแห่งบริษัทซูซื่อ ยิ่งไปกว่านั้นคือยังหล่อล้นฟ้าอีก”
“……”
การซุบซิบต่างๆ นานา ทั้งหมดนี้ถูกซือเหม่ยหยวนได้ยินหมดแล้ว
การไม่ยอมรับไม่ตายใจทั้งหมดในใจเธอ คิดอยากให้ซูซีมู่กับโล่เฟยเอ๋อหย่ากันให้ไวขึ้น ตำแหน่งคุณนายประธานซูก็จะเป็นของเธอผู้เดียว
เธอคิดว่าจะแสดงออกมาอย่างดีในงานนี้ต้องสร้างความประทับใจให้กับซูซีมู่ให้ได้ พร้อมทั้งขอเบอร์โทรมาให้ได้
เมื่อเห็นซูซีมู่มาแล้ว ไม่ว่ายังไงพ่อซือก็ยังต้องยอมเสียหน้าไปทักทายเขาก่อน
ซูซีมู่พยักหน้าพร้อมทั้งพูดว่ามีโจวเฉิงเป็นผู้รับผิดชอบในการร่วมงานกันในครั้งนี้ ดังนั้นคนที่ควรของขอบคุณจริงๆ ก็ควรเป็นเขา
ทุกคนทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันไปสักพัก กิจกรรมจึงเริ่มทันที
พิธีกรบนเวทีกล่าวอย่างเป็นทางการ จากนั้นผู้ร่วมงานทั้งสองฝ่ายก็กล่าวเกี่ยวกับมุมมองและแนวคิดการพัฒนาของตัวเอง
ผู้สื่อข่าวมาในงานไม่น้อย ถ้าเวลานี้ก็เกิดเรื่องน่าอับอายก็จะขายหน้าบริษัท
กิจกรรมเช่นนี้โจวเฉิงเข้าร่วมไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จึงคุ้นเคยทำได้อย่างคล่องแคล่วตั้งนานแล้ว กลับเป็นทางด้านซือเหม่ยหยวนที่ไม่เคยโผล่หน้ามาก่อนที่น่าอันตราย
โจวเฉิงขึ้นไปพูดก่อน อธิบายมุมมองของเขาชัดเจนและสมเหตุสมผล สำหรับการพัฒนาในอนาคตและข้อดีของทั้งสอง บริษัทก็พูดออกมาทั้งหมด
ต่อมาเสียงปรบมือจากข้างล่างเวทีก็ดังขึ้น
ลงมาจากเวทีปุ๊บ ลู่ยู่ก็เริ่มพูดแซวทันที “โจวเฉิงไม่เลวนี่ มีความเป็นท่านประธานขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“แกก็ไม่ดูว่าตอนนี้โจวเฉิงอยู่ในระดับไหนแล้ว”เหซิงโม่พูดอย่างเห็นด้วย
พวกเขาทั้งสองคนชื่นชมเช่นนี้ กลับชมจนโจวเฉิงลุกลี้ลุกลน ซูซีมู่ยังอยู่ตรงนี้ พูดว่าตัวเองมีความเป็นท่านประธานนั้นไม่ใช่เป็นการขุดหลุมให้ตัวเองเหรอ
“ทำได้ไม่เลว”ซูซีมู่พูดชื่นชมเบาๆ
โอ้มายก๊อด ซูซีมู่ชมตัวเองเหรอ เมื่อก่อนไม่ว่าตัวเองจะทำดีแค่ไหน ซูซีมู่ก็แค่พยักหน้าไม่ได้แสดงสิ่งอื่นใดออกมา อยากจะได้คำชมจากซูซีมู่สักคำนั้นมันยากมาก
“ขอบคุณครับประธานซู ผมจะพยายามครับ”โจวเฉิงพูดอย่างซาบซึ้ง
ในแง่ความเป็นจริง ซูซีมู่ไม่เพียงแค่เห็นโจวเฉิงเป็นผู้ช่วยเท่านั้น แต่เขายังเห็นโจวเฉิงเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ซูซีมู่ที่แสดงออกไม่เก่งก็ไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์นี้ได้
โจวเฉิงพูดเสร็จก็ถึงคิวซือเหม่ยหยวนแล้วไม่ใช่เหรอ ทุกคนต่างมองไปที่เธอ
เห็นเพียงเธอเอาบทพูดสองแผ่น ก็ขึ้นไปแล้ว
“แม่ง บอกว่าเป็นแนวคิดยังจำเป็นต้องทำแบบนี้อีก……”
“ก็ใช่นะสิ ครั้งแรกที่เห็นการดำเนินงานเช่นนี้……”
“……”
ทันใดนั้นข้างล่างเวทีถอนหายใจอย่างไม่พอใจกันถ้วนหน้า
ซือเหม่ยหยวนคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้จึงพูดแก้ตัวว่า “ดิฉันทราบว่าในใจทุกคนในตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ฉันทำอันนี้ ดังนั้นจึงตื่นเต้นมากจึงอยากเตรียมการเอาไว้ก่อน จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดเมื่อถึงเวลาแล้วมันจะดูไม่ดีได้”
การอธิบายเช่นนี้มันช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ในด้านหนึ่งมันก็ช่วยขจัดความสงสัยของคนภายนอกที่มีต่อความสามารถของตัวเอง อีกด้านก็ทำให้คนรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่พยายามและชอบเรียนรู้มากๆ
เป็นไปตามที่คิด หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วใบหน้าของพ่อซือก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจเล็กน้อย
“เชอะ แสดงละครเก่งจริงๆ “ซือจิ้งสวนใบหน้าเย็นชา แอบพูดนินทา
เหซิงโม่ที่อยู่ข้างกายซือจิ้งสวนได้ยินอย่างชัดเจน จึงถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย”ทำไมเหรอ”
“คุณต้องเชื่อฉัน ว่าการเตรียมการที่กล่าวมานี้แท้จริงแล้วมีคนเขียนเสร็จเอาไว้ให้ เธอแค่อ่านออกมาเท่านั้น”ขณะที่พูด สายตาของซือจิ้งสวนก็จ้องมองไปยังผู้ช่วยตัวน้อยที่หลบอยู่ในมุม