บทที่467 หน้าแตกกลางงาน (3)
เหซิงโม่มองไปแล้ว ก็เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมาทันที แม้ซือเหม่ยหยวนจะเป็นพี่สาวของซือจิ้งสวน แต่เหซิงโม่ไม่มีความรู้สึกดีอะไรกับเธอเลย เพราะก่อนหน้านี้ซือเหม่ยหยวนยังแสดงความรู้สึกดีต่อเขาทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ
จากประสบการณ์ที่โดนผู้หญิงตามตื้อเป็นเวลาหลายปีของเหซิงโม่ ที่ซือเหม่ยหยวนทำนั้นมันที่การอ่อย
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซือจิ้งสวนจะไม่ดีมาก แต่ซือเหม่ยหยวนในฐานะคนที่พี่สาวกลับทำเรื่องเช่นนี้อีกมันทำให้คนขยะแขยงสุดๆ
ไม่พูดไม่ได้เลยว่าทักษะการพูดของซือเหม่ยหยวนนั้นก็ถึงว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว ในครึ่งแรกเธอพูดได้อย่างมีเหตุผลมีการอ้างอิงจึงมีความน่าเชื่อนับมากจริงๆ แม้แต่ภาษาที่เข้มงวดระมัดระวังก็ไม่แพ้เหซิงโม่
ผู้คนที่อยู่ข้างล่างเวทีเงียบ ยอมสยบให้กับพรสวรรค์ของเธอ
แผ่นแรกพูดจบ เมื่อพลิกไปแผ่นที่สองนั้น สีหน้าซือเหม่ยหยวนแข็งทื่อไปทันที เหมือนกับเครื่องพิมพ์หมึกหมด แม้ว่าจะดูอย่างละเอียดก็ยากจะดูออกว่าเป็นตัวหนังสืออะไร
ในสถานที่แบบนี้หากเกิดความผิดพลาดเช่นนี้มันคงน่าอายมากๆ ซือเหม่ยหยวนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ได้
“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ พูดจบแล้วเหรอ”
“น่าจะยังมั้ง ฉันเห็นว่าเธอยังมีแผนหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
“……”
เงียบไปประมาณหนึ่งนาที ข้างล่างเวทีก็เริ่มซุบซิบนินทากันขึ้นมา
เมื่อกี้พ่อซือที่มีความภาคภูมิใจอย่างมากก็มึนงงไปด้วย จึงถามผู้ช่วยตัวน้อยที่หดตัวไม่กล้าพูดอยู่อีกมุมหนึ่ง “หมิ่นหมิ่น นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ผู้ช่วยตัวน้อยชื่อว่าซ่งหมิ่นหมิ่น เป็นเด็กชนบท เพราะผลการเรียนดีเยี่ยม ดังนั้นตอนอยู่มัธยมปลายจึงได้ย้ายมาในเมือง
นี่คือโรงเรียนไฮโซที่มีค่าเทอมราคาแพงแห่งหนึ่ง คนในโรงเรียนมีคนดูถูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนิสัยของซ่งหมิ่นหมิ่นจึงอ่อนแอขี้ขลาดมาตลอด
“ดิฉันก็……ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ……”ซ่งหมิ่นหมิ่นจะรู้ได้ยังไงว่าขึ้นอะไรขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลที่สุดน่าจะเป็นสถานการณ์ที่ตัวเองต้องเผชิญ หากซือเหม่ยหยวนขายขี้หน้าขึ้นมาจริงๆ งั้นต่อไปคงไม่มีชีวิตสงบสุขแน่
อยู่บนเวทีอีกไม่กี่นาที หน้าของซือเหม่ยหยวนรักษาเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ เธอจึงโค้งคำนับทันที แล้วพูดด้วยความจริงใจ”ต้องขอโทษจริงๆ เพราะสาเหตุการตื่นเวทีของดิฉันดังนั้นจึงไม่สามารถกดมันเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้วค่ะ”
พอพูดถึงประเด็นสำคัญกลับตื่นเวที บวกกับสิ่งๆ ที่กล่าวไว้อย่างมั่นใจขนาดนั้นในก่อนที่พูด ทำไมจู่ๆ ถึงตื่นเวทีไปได้
ผู้คนที่ข้างล่างเวทีไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ในใจทุกคนมีวิจารณญาณอยู่แล้ว ซือเหม่ยหยวนลงเวทีอย่างคอตกเดินมาหาพ่อซือ พูดด้วยทั้งหน้าเต็มไปด้วยขอโทษ “ขอโทษคุณพ่อด้วยนะคะที่ทำให้คุณพ่อผิดหวัง……”
“ไม่เป็นไร ลูกทำครั้งแรกถือว่าทำได้ดีมากแล้ว”พ่อซือไม่ได้ต่อว่าซือเหม่ยหยวน ตรงกันข้ามกลับปลอบใจ
แท้จริงแล้ว หลายปีนี้ภาพลักษณ์ที่ดีของซือเหม่ยหยวนที่แสดงต่อหน้าให้พ่อซือเห็นมันถูกฝังลึกไว้อย่างมาก ไม่สั่นคลอนได้อย่างง่ายดาย
เห็นพ่อซือไม่ต่อว่า ซือเหม่ยหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นเธอก็มองซ่งหมิ่นหมิ่นด้วยสายตาดุๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เธอค่อยดูเถอะ
ซ่งหมิ่นหมิ่นกลัวจนขาอ่อนไปหมด อุบายของซือเหม่ยหยวนเธอนั้นรู้ดี ชีวิตต่อไปนี้ของเธอต้องไม่สงบสุขอย่างแน่นอน
คิดมาถึงตอนนี้ น้ำตาแห่งความกลัวของซ่งหมิ่นหมิ่นก็เกือบจะไหลออกมา เธอรู้ดีว่าถ้าเธอหลั่งน้ำตาในเวลานี้ซือเหม่ยหยวนจะกลั่นแกล้งตัวเองรุนแรงขึ้น ดังนั้นเธอจึงไปแอบหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่ แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความไม่เป็นธรรม
เห็นๆ อยู่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบเป็นตัวเองที่วางแผน คิดโปรเจกต์ ดิวงานทุกอย่างแทน ทำไมสุดท้ายแล้วคุณงามความดีและเกียรติยศทั้งหมดถึงเป็นของซือเหม่ยหยวนหมดเลย ในใจของซือเหม่ยหยวนไม่ยินยอมจริงๆ
แม้จะไม่ยินยอมแล้วยังไงล่ะ ซือเหม่ยหยวนหน้าตาสะสวยและมีอำนาจใหญ่อีก ความโกรธในใจของตัวเองจึงไม่กล้าพูดออกไป
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ซือเหม่ยหยวนก็เตรียมกลับไปทันที แม้ว่าเธอจะไม่มีอยู่อย่างไม่มีตัวตนแต่ถ้าให้ซือเหม่ยหยวนรู้ว่าเธอแอบออกไปเธอคงมีชีวิตไม่สงบสุข
คิดไม่ถึงว่าซ่งหมิ่นหมิ่นเงยหน้าแล้วจะเห็นโจวเฉิง เธอตะลีตะลาน รีบหลบสายตารุ่มร้อนของโจวเฉิง พูดอย่างเกร็งๆ เล็กน้อย”ผู้ช่วยโจวคุณอยู่ตรงนี่ได้ยังไงคะ ฉัน……ฉันไปก่อนนะคะ”
“ผู้ช่วยซ่ง คุณ…..เมื่อกี้ร้องไห้ใช่ไหมครับ”
ที่จริงแล้วตอนที่ซ่งหมิ่นหมิ่นเดินออกไปโจวเฉิงก็สังเกตเห็นแล้ว จึงตามออกมาด้วย เห็นเธอกำลังร้องไห้ ก็ทำอะไรไม่ถูกไม่รู้ควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
“เอ่อ……ฉันไม่เป็นไร……ฉันไปก่อนนะคะ”เพียงเวลาอันสั้นซ่งหมิ่นหมิ่นไม่รู้จะตอบโจวเฉิงอย่างไรจึงหาข้ออ้างเพื่อต้องการจากไป
“ผู้ช่วยซ่ง คุณยอมได้จริงๆ เหรอที่คุณงามความดีของคุณทั้งหมดจะถูกซือเหม่ยหยวนแย่งไปครองผู้เดียวไปแบบนี้”โจวเฉิงกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
คำพูดนี้มันทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจซ่งหมิ่นหมิ่นทั้งหมด เธอจะยอมได้ยังไงล่ะ
“ฉัน……”ทันใดนั้นน้ำตาของเธอก็ไหล เธอพยายามแทบเป็นแทบตายแบบนี้เพราะหวังไว้ว่าสักวันว่าคนอื่นจะสามารถยอมรับความสามารถของเธอ
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาซือเหม่ยหยวนแย่งความดีความชอบของเธอไปหมด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเธอก็ไม่มีวันได้โอกาสประสบความสำเร็จอยู่เหนือคนอื่นตลอดไป
“ฉัน……ฉันจะทำอะไรได้คะ ซือเหม่ยหยวนเป็นลูกสาวของประธานซือ มีอุบาย……มีอุบายมากมายด้วย ฉัน…..ฉันไม่มีวิธีจริงๆ …..”ซ่งหมิ่นหมิ่นพูดด้วยเสียงสั่น
ถูกแย่งความดีความชอบไปหลานต่อหลายครั้ง เป็นธรรมดาที่ในใจของเธอจะปรารถนาอย่างยิ่งที่อยากให้คนอื่นสังเกตเห็นเธอ ยอมรับความสามารถของเธอ
เพราะถ้าดูจากรูปลักษณ์รวมทั้งชาติกำเนิดแล้ว คนไร้คุณธรรมที่หวังแต่ผลประโยชน์พวกนี้ไม่เคยมองเธออย่างเป็นมิตรและไม่อคติ
“คุณควรพูดออกมาอย่างกล้าหาญ คุณไม่ควรทำร้ายตัวเองแบบนี้”โจวเฉิงตบไหล่เธอเบาๆ พลางพูดอย่างจริงจัง
ซ่งหมิ่นหมิ่นเช็ดน้ำตาออก พูด”ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ประธานซือเชื่อมั่นเธอขนาดนี้ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย แม้ฉันจะแอบบอกประธานซือแล้ว ท่านเพียงแค่สงสัยว่าเป็นฉันที่ต้องการใส่ร้ายเธอเท่านั้น……”ซ่งหมิ่นหมิ่นพูดอย่างจำใจ เหมือนใจตายไปแล้ว
เมื่อเห็นทองชิ้นนี้ถูกซือเหม่ยหยวนเหยียบย่ำเช่นนี้ ในใจโจวเฉิงไม่สบายอย่างมาก พูดอะไรที่ว่าเป็นทองยังไงก็ต้องเปล่งกายวันยังค่ำ
หากถูกเธอกดไว้แบบนี้ งั้นตลอดชีวิตก็ไม่สามารถเปล่งแสงได้หรอก
“ต้องการให้ผมช่วยคุณไหม”โจวเฉิงถาม
“คุณ……”ซ่งหมิ่นหมิ่นมองใบที่เต็มไปด้วยความจริงใจของโจวเฉิงแล้วอยู่ๆ ก็งุนงงเล็กน้อย
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอได้รับสายตาดูถูกดูแคลนและท่าทีความเย็นชาจากคนอื่นมาตลอด แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็ยังไม่ค่อยชอบตัวเองเลย ปัญหาเกิดจากรูปลักษณ์ภายนอกนี้
“หากคุณต้องการความช่วยเหลืออันนี้ของผม ผมเต็มใจมากที่จะช่วยคุณ”โจวเฉิงยิ้มพูด
“ฉัน……ฉันต้องการแน่นอน เพียงแต่ ผู้ช่วยโจวเรื่องนี้จะส่งผลกระทบกับคุณไหมคะ……”ซ่งหมิ่นหมิ่นถามอย่างกังวลเล็กน้อย
สาเหตุเกิดจากนิสัยโดยตลอดเวลาที่ผ่านมาเรื่องอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้ก็จะไปไม่รบกวนคนอื่นอย่างแน่นอน
“ที่จริงก็เป็นจุดประสงค์ของประธานซูพวกผมด้วย ประธานซูสามารถมองออกได้ว่าสิ่งที่ซือเหม่ยหยวนพูดเมื่อกี้ไม่ได้มาจากความสามารถของเธอ แถมยังพูดอีกว่าถ้าหาคนเขียนที่ตรรกะดีเช่นนี้ออกมาได้ ก็ลองดึงตัวมาดู”
เมื่อได้ฟังที่โจวเฉิงพูด ซ่งหมิ่นหมิ่นก็ยิ่งตะลึงไปอีก ซูซีมู่เป็นนักธุรกิจอัจฉริยะที่เธอยกย่องมาตลอด หากสามารถไปทำงานที่บริษัทเขาจริงๆ ต้องได้โชว์ความสามารถได้อย่างเต็มที่แน่นอน
แต่พอคิดได้ว่าที่บริษัทซือซื่อยังเหลือสัญญาอีกแปดปี แสงประกายในตาของซ่งหมิ่นหมิ่นก็หม่นลงไปทันที