บทที่ 42 นักเลงพวกนั้น(1)
โจ๋วหยุนถิงขำอย่างฟืด ๆ แล้วพูดว่า: “ซินเหยา ข้าต้องไปช่วยลุงสามทำธุระนิดหน่อย เจ้าช่วยข้าส่งพวกเขาทั้งสองกลับบ้านได้ไหม”
ซินเหยามองไปที่พี่น้องคู่นั้น แล้วพยักหน้า
โจ๋วเส้าหัวพูดว่า: “ซินเหยาไม่ไปกับข้าหรือปูของเจ้าสั่งไว้ว่าถ้าเจอเจ้าแล้วให้นำเจ้ากลับบ้าน”
ซินเหยาพูด: “ข้าส่งพวกเขากลับบ้านก่อน ถ้าหากไปเจอกับพวกนักเลงอีกจะถูกรังแกเอง”
โจ๋วเส้าหัวคิดแล้วคิดอีก ก็พยักหน้า: “งั้นก็ตามนี้ เจ้าบอกข้ามาว่าตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ไหน ข้าเสร็จธุระแล้วจะไปหาเจ้า”
ซินเหยาตอบ: “ร้านพักป่ายเห๋อ”
ส้งชิงและส้งหมิ่นสองพี่น้องเป็นคนกำพร้า ตั้งแต่เล็กสองพี่น้องอยู่ด้วยกัน ยังต้องดูแลยายแก่คนที่เก็บเขาสองคนพี่น้องมาเลี้ยง ยายแก่ป่วย นอนอยู่กับเตียงต้องกินยาทุกวัน เงินทุกเดือนที่ต้องเอาไปใช้ ดังนั้นส้งชิงกับส้งหมิ่นเลยเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปเปิดแผงขายหนังสือ
ที่จริงกำไรจากการขายหนังสือนั้นน้อยมาก แต่สองคนพี่น้องก็ไม่มีเส้นสาย และไม่มีเงินทุน ส้งหมิ่นมีฝีมือศิลปะอยู่บ้าง วาดรูปได้ดี ดังนั้นเปิดแผงเล็ก ๆ ส้งชิงขายหนังสือ ส้งหมิ่นชายรูปวาดขยันขันแข็งทุกวัน
จากปากคำของส้งชิงและส้งหมิ่น ซินเหยายังรู้ว่าโจ๋วหยุนถิงกับพวกเขารู้จักกันมาหลายเดือนแล้ว และดูและพวกเขาสองพี่น้องได้ไม่เลว
ซินเหยาเป็นคนเข้าใจคน ในที่สุดก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดโจ๋วหยุนถิงถึงต้องไปเปิดแผงขายหนังสือ
ในความจริงแล้วโจ๋วหยุนถิงมีความสามารถและเส้นสาย และตัวเขาเองก็มีเงินทุน เปิดร้านเล็ก ๆ ค้าข้าย ใช้ชีวิตแน่นอนว่าไม่มีปัญหา ทำมาเป็นคนขายหนังสือความจริงแล้วคือมีเจตนาอื่นๆ
ส้งชิงร่างกายกำยำ ขี้เขินอาย ตลอดทางแบกลังหนังสือ เดินอยู่ข้างหลังพี่สาวและซินเหยา ไม่พูดไม่จา
“ถึงแล้ว!”
“จริงสิ ขอบคุณท่าน นายหญิง “ ส้งหมิ่นมีมารยาทมาก เป็นผู้หญิงรู้หนังสือ
ซินเหยายิ้มเล็กน้อย! “ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจได้เป็นคนบ้านเดียวกัน จะเกรงใจอะไรหล่ะ”
ส้งหมิ่นยิ้ม “น้องชาย เจ้าเอาหนังสือเข้าไปเก็บในห้องก่อน ท่านหญิงโจ๋ว ถ้าหากว่าท่านไม่รังเกียจห้องเล็ก ๆ เชิญเข้าไปนั่ง”
ซินเหยาโบกมือ:”ไม่หล่ะ ขอบคุณ ข้ายังมีธุระ เจ้าก็เข้าไปเถอะ พวกเจ้าปลอดภัยถึงบ้านก็ดีแล้ว หน้าที่ของข้าก็เสร็จเรียบร้อย
“ ช้าก่อน!”
ทันใดนั้น ส้งชิงก็พุ่งออกมาจากข้างนอกในหน้าเป็นสีแดง
ซินเหยาเห็นหน้าและร่างกายเขามีบาดแผลเต็มไปหมด เพื่อปกป้องพี่สาว เขาไม่กลัวที่ตัวเองจะโดนทำร้าย เป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักและซื่อสัตย์
“ท่านสามารถสอนวรยุทธ์ให้ข้าได้ไหม”
“หา”
“ท่านพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ชายฉกรรจ์ยี่สิบกว่าคนกลัวหนีไป และท่านยังมีชื่อเป็นคนในจวนอ๋องโจ๋ว ได้ยังว่าคนในจ๋วนอ๋องโจ๋วทั้งหมดเหมือนกับเทพอย่างนั้น ท่านต้องเก่งมาก ท่านสามารถสอนวรยุทธ์ให้ข้าได้หรือไม่” ส้งชิงพูดขึ้นอย่างขึงขัง ในที่สุดก็พูดจนจบแล้ว
ซินเหยามองเด็กชายที่สูงเมตรเก้ากว่าๆ ถามเข้า: “เจ้าอยากจะเรียนวรยุทธ์ขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม”
ส้งชิงพยักหน้า ในตาส่งความยืนหยัดประกายแวววาวไม่มีอะไรเปรียบ
“อย่างนั้นเจ้าสามารถบอกข้าได้ไหม เจ้าจะฝึกวรยุทธ์ไปทำไม”
.”ถ้าหากว่าวรยุทธ์ของข้าสุดยอดมาก นักเลงพวกนั้นก็จะไม่กล้ามารังแกพี่สาวอีก ข้าก็จะสามารถหาเงินได้มาก ๆ ให้มีเงินมารักษาย่าที่ป่วย!”
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบหกปี”
“เจ้าบอกข้า เจ้าอยากเรียนบู๊ หรือว่าอยากปกป้องคนในครอบครัวหล่ะ”
“อันนี้……มีอะไรแตกต่างหรือ”
ส้งชิงอย่างซื่อ ไม่ได้ฉลาดเหมือนกับพี่สาว ซินเหยาพูด เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะตอบกลับทันที
ซินเหยาพูด: “ แน่นอนว่าแตกต่าง ถ้าเจ้าอยากเรียนบู๊ เพื่อที่จะสามารถไปสู้กับนักเลงพวกนั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปี ถ้าเจ้าอยากจะเรียนเพื่อนไปดูแลพี่สาวกับย่า งั้นง่ายมาก ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็ทำได้!”
ส้งชิงพูด: “ไม่ว่าคืออะไร เพียงแค่ดูแลย่ากับสาว ข้าเต็มใจทำทั้งนั้น!”
ส้งหมิ่นดุ: “น้องชาย พี่สาวไม่ได้ต้องการให้เจ้าปกป้อง”
ส้งชิงเมินหน้าหนี
ส้งหมิ่นก็เห็นเป็นเพียงอารมณ์ของเด็ก ไม่ได้ถือสาอะไรเขา หลังจากบอกลาซินเหยา ก็เข้าห้องไป
ซินเหยาพูดอย่างหัวเราะกับส้งชิงว่า “เจ้าสามารถยืดอกตัวเองเข้าไปกั้นอันตรายแทนพี่สาว ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังเด็กมาก แต่ว่าเจ้าก็เป็นสุภาพบุรุษที่กล้าหาญ ถ้าหากว่าเจ้าต้องการไปสู้กับพวกนักเลงเหล่านั้น แน่นอนว่าไม่ต้องใช้เวลาถึงยี่สิบปีใน
การฝึกเพื่อวรยุทธ์ เจ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เป็นธรรมดาที่จะฝึกไม่ได้ถึงฝีมือขั้นสูง แม้ว่าพรสวรรค์เจ้าจะสูงมากแค่ไหน หรือจะพยายามฝึกมากแค่ไหน ก็เสียประโยชน์เปล่า !เจ้าก็ไม่สามารถสู้คนที่มีเงินมีอำนาจไปได้”
ส้งชิงพูด: “แล้วต้องทำอย่างไร”
ซินเหยาพูด: “วันนี้เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ว่าคุณชายสามตระกูลโจ๋วมีวรยุทธ์ที่จะสามารถเอาชนะนักเลงพวกนั้นได้ ทำไมเขาถึงไม่กล้าลงมือหล่ะ”
ส้งชิงพูด: “เขากลัวที่จะกระทบต่อตระกูลโจ๋ว!”
ซินเหยาพูด: “ใช่! เพราะว่าคุณชายสามตระกูลโจ๋วกลัว ! ถ้าหากมีความกลัว ให้เจ้ามีวรยุทธ์สูงแค่ไหนแล้วทำอะไรได้หล่ะ ไม่อยากถูกนักเลงรังแกจริง ๆแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นวรยุทธ์ แค่ให้ตัวเองดูดุกว่าคนที่มารังแกก็โอเคแล้ว!”
“ดุกว่าหรือ” แบบนี้มีประโยชน์หรือ วรยุทธ์พวกเขาสูงกว่าเรา คนก็มากกว่าเรา แค่ทำเป็นดุมันจะมีประโยชน์อะไร”
“ทำไมเจ้าต้องเอาคนเดียวเข้าไปสู้กับหลายคนหล่ะ!”
“ หรือว่าเราไม่สามารถที่จะเรียกคนส่วนมากให้มาช่วยกันสู้หรือ”
“คนส่วนมาก…..คนส่วนมาก…..”ปากของส้งชิงขมุบขมิบพูดประโยคนี้ เหมือนคำว่าประโยคง่าย ๆ นี้มีเหตุผลซ่อนอยู่ลึก ๆ แต่ว่าเขาก็คิดไม่ออก