บทที่ 201 คุณชายเหลือทิ้งไว้2
“ผู้เชื้อเชิญคือ คุณชายรูปวิการ”
นามบัตรใบหนึ่งที่เรียบง่าย มีเพียงเวลา สถานที่ และชื่อผู้ส่งอย่างเรียบง่าย
ซินเหยาเรียกคนใช้เสี่ยเอ้อของร้านเข้ามา ถามเขาว่าเคยได้ยินร้านจี้โม่หรือไม่
ครั้นคนใช้เสี่ยวเอ้อของร้านได้ยินคำว่าร้านจี้โม่ ก็พลันเอ่ยด้วยท่าทีเคารพยำเกรงขึ้นมาทันใด “ร้านจี้โม่เป็นถึงโรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งในเมืองหลวง ลึกลับ หรูหรา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้คนทั่วไปเชียว”
ซินเหยาเอ่ย “โรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งของเมืองหลวงมิใช่ฉองเทียนโหลหรอกหรือ”
คนใช้เสี่ยวเอ้อกล่าว “ฉองเทียนโหล ฉองเทียนโหลและร้านจี้โม่แห่งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนะ!”
ซินเหยาพูด “มีอะไรที่แตกต่างกัน”
คนใช้เสี่ยวเอ้อว่า “จะว่าอย่างไรดีล่ะ ฉองเทียนโหลนั้นมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวงจริง คนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างพากันชมชอบฉองเทียนโหล แต่ว่าฉองเทียนโหลเป็นเพียงร้านเหล้าเพียวร้านหนึ่ง เป็นสถานที่ไว้สำหรับกินหนำร่ำสุราแห่งหนึ่ง!”
ซินเหยาสดับฟังเงียบๆ
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อของร้านพูดต่อ “อีกอย่างฉองเทียนโหลได้ทรุดตัวลงกะทันหันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ได้ยินว่ามีการสู้รบกันระหว่างทหารระดับหัวกะทิลึกลับในยุทภพท่ามกลางฉองเทียนโหล ว่ากันว่าคุณชายถางเปิ่นเป้าแห่งจวนเฉินเสี้ยงถางเปิ่นเองก็เสียชีวิตท่ามกลางศึกครั้งนั้นด้วย ต่อมา ฉองเทียนโหลก็ถูกปิดกิจการถาวร ตอนนี้ฉองเทียนโหลได้ล้มลงอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ซินเหยากล่าว “เช่นนั้นร้านจี้โม่เล่า?”
ซินเหยาเองก็นับว่าพำนักอยู่ในเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังใช้สถานะของกุหลาบทมิฬท่องไปตามยุทธภพ แต่กลับไม่เคยได้ยินร้านจีโม่แห่งนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
คนใช้เสี่ยวเอ้อกล่าว “ร้านจี้โม่…มันคือสถานที่อันลึกลับมากๆ แห่งหนึ่ง!”
ซินเหยากล่าว “ลึกลับอย่างไรหรือ”
คนใช้เสี่ยวเอ้อบอก “ร้านจี้โม่…ผู้คนแทบจะทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้กัน แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง!”
ซินเหยาพูด “นี่มันก็แปลกมากๆ อย่างว่า!”
คนใช้เสี่ยวเอ้อบอก “เนื่องจากร้านจี้โม่ไม่ใช่สถานที่สำหรับธุรกิจร้านเหล้า นั่นคือสถานที่ลึกลับสำหรับการรวมตัวกันของคนใร้ยุทธภพ! ! ดังนั้น ร้านจี้โม่จึงวิเวก ลึกลับเรื่อยมา ในใจของประชาชนคนทั่วไปนี่ก็คือสถานที่ในตำนานก็เท่านั้นเอง!”
ซินเหยาเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง! เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินคุณชายรูปวิการชื่อนี้บ้างหรือไม่”
“อ้อ!”
“คุณชายรูปวิการ?”
คนใช้เสี่ยวเอ้อตื่นตระหนกสุดฤทธิ์!
ซินเหยาเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
คนใช้เสี่ยเอ้อพูด “คุณชายรูปวิการเป็นถึงเถ้าแก่ร้านจี้โม่เชียว! ได้ยินว่าเป็นคนหนึ่งที่มีความลึกลับและที่มาที่ไปอันพิศวงสุดๆ!”
ซินเหยาเอ่ย “ที่มาที่ไปอะไร”
คนใช้เสี่ยวเอ้อส่ายหน้า “ข้อนี้ข้าที่เป็นคนใช้คนหนึ่งจะไปล่วงรู้ความลับของคนท่ามกลางยุทธภพเหล่านี้ได้เสียที่ไหนกันเล่า เพียงแต่ว่าข้าเองก็ได้ยินลูกค้าของร้านบางส่วนในยุทธภพพูดขึ้นมาก็เท่านั้นเอง!”
ซินเหยาว่า “พวกเราพูดอย่างไรกันบ้าง”
คนใช้เสี่ยวเอ้อบอก “ทุกคนต่างบอกว่าคุณชายรูปวิการเป็นบุคคลที่ลึกลับและเหมือนปีศาจ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขา และไม่มีใครรู้จักเขา ไม่มีใครรู้ชื่อแซ่จริงๆ ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครรู้ว่าวรยุทธ์ของเขาเป็นอย่างไร แต่ว่า เขาก็มีตำแหน่งอันศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางจิตใจของคนทุกคน!”
ซินเหยาพูด “คุณชายรูปวิการก็คือเถ้าแก่ร้านจี้โม่หรือ?”
คนใช้เสี่ยวเอ้อของร้านเอ่ย “คนข้างนอกต่างพากันพูดต่อๆ กันมาอย่างนี้ น่าจะไม่ผิดแน่แล้วกระมัง!”
ซินเหยากล่าว “คุณชายรูปวิการคนนี้เป็นบุคคลอย่างไรกัน คนดีหรือว่าคนเลว?”
คนใช้เสี่ยวเอ้อกล่าวพลางยิ้มๆ “แม่นางช่างยกยอผู้น้อยเกินไปจริงๆ เสียแล้ว เรื่องเหล่านี้ผู้น้อยจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า”
“เอาเถิด ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว เจ้าไปทำธุระเสียเถิด”
“รับทราบ! แม่นางมีคำสั่งอะไร เรียกข้ามาอีกก็ได้!”
“ดี”
ซินเหยาอยากรู้อยากเห็นนัก
คุณชายรูปวิการคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่
หรือว่าจะเป็นผู้ชายขี้เมาคนนั้นที่ดื่มเหล้ากับนางเมื่อคืนวาน ซ้ำยังร้องเพลงแปลกประหลาดมากๆ เพลงหนึ่ง?
คืนวันพรุ่งนี้?
ไฉนเขาจึงนัดข้าไปพบที่ร้านจี้โม่คืนวันพรุ่งนี้?
วังหลวง
สีหน้าของฮ่องเต้อำมหิต เคร่งขรึม…
เฉิงเสี้ยงถางเปิ่นขุยและโจว๋เส้ากวางทั้งสองยืนเคียงข้างกันในห้องโถง แต่ละคนรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ศึกรบของชายแดน
หลังจากฟังรายงานของคนทั้งสองจบ สีหน้าของฮ่องเต้อำมหิตยิ่งเพิ่มความเคร่งขรึมขึ้นไปอีก!
“เฉิงเสี้ยง” ฮ่องเต้อำมหิตมองทางถางเปิ่นขุยอย่างพิโรธ
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งอันใดหรือ”
“ตอนนี้คลังประเทศมีเงินจำนวนเท่าใด”
“มีเงินราวๆ สี่สิบล้านตำลึง ทองคำสิบหกล้านตำลึง สมบัติของเก่าต่างๆ มูลค่าราวๆ ห้าสิบล้านตำลึง!”
“มีแค่ร้อยล้านเท่านั้น?”
ดวงตาของฮ่องเต้อำมหิตค่อยๆ ขึงขังลงไป
กองทัพยังไม่ทันเคลื่อน เสบียงจรก่อน!
หากต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ในระยะยาว จำนวนเงินทีจะใช้อย่างน้อยต้องมากกว่าสองร้อยล้าน!
เฉิงเสี้ยงกล่าว “เนื่องจากไม่มีการทำสงครามในราชวงศ์มานานหลายปี ดังนั้นหลายปีมานี้ราชวงศ์จึงไม่มีเงินสำรองมากนัก นอกจากอัดเงินงบประมาณสำหรับเสบียงทหารยามจำเป็นในยามปกติแล้ว สิ่งของจำเป็นสำหรับเตรียมทัพมีสำรองน้อยยิ่งนัก”
โจว๋เส้ากวางกล่าวเสริม “ฮ่องเต้ ไม่มีการทำศึกมาตั้งนานหลายปีแล้ว เครื่องจักรกลหนักในกองทัพจำนวนมากถูกใช้งานจนสึกหรอ ถ้าหากไม่ได้รับการซ่อมบำรุงได้ทันท่วงทีเกรงกว่าจะส่งผลกระทบต่อกองกำลังศึกร้ายแรงเป็นอย่างมาก…”
เฉิงเสี้ยงคิดคำนวณบัญชี “ฮ่องเต้ ถ้าหากต้องการเปลี่ยนอาวุธทั้งหมด เงินที่จำต้องใช้สอยอย่างน้อยก็ต้องยี่สิบล้านตำลึง”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “พูดมาเช่นนี้ หากแม้นตอนนี้จะทำศึก ไม่เพียงแต่จะเป็นการผลาญคลังสำนักจนหมดเกลี้ยง แต่ยังอาจทำให้ประชาชนแร้นแค้น?”
เฉิงเสี้ยงเงียบไปถนัด
ในฐานะที่เขาเป็นแงเสี้ยงมีหน้าที่เพียงแค่จัดการดูแลฝ่ายงานภายในราชสำนัก ส่วนหน้าที่ทางการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจะประกาศสงครามให้คนนอกแคว้นรู้หรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เฉิงเสี้ยงคนหนึ่งอย่างเขาต้องพิจารณาแล้ว
ฮ่องเต้อำมหิตมองโจว๋เส้ากวางแวบหนึ่ง ก่อนกล่าว “โจว๋เส้ากวาง เจ้าเป็นแม่ทัพทหารใหญ่แห่งราชสำนัก เรื่องนี้เจ้าเห็นว่าอย่างไร”