บทที่ 259 อนาทรต่อใครบางคน2
ผ่านไปสามวันเต็มๆ
ซินเหยาและเสี่ยวป๋านล้วนไม่ได้ทานข้าวสักเม็ด ดื่มน้ำสักหยด…
หนึ่งคนหนึ่งเดรัจฉาน ต่างอ่อนแอและค่อยๆ ตกสู่สภาวะพร่าเบลอ
โดยเฉพาะเสี่ยวป๋านที่ดูจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ไม่ได้มีความสนอกสนใจต่อซินเหยาเลย…
ซินเหยาไม่โทษที่เสี่ยวป๋านไร้ปรานีและตระหนี่ถี่เหนียว
นางรู้ว่าเสี่ยวป๋านจะต้องป่วยแล้วแน่ๆ
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเสี่ยวป๋านป่วยเป็นโรคอะไร ทำไมถึงได้มีท่าทีหดหู่ เหี่ยวแห้ง และเงียบซึมเยี่ยงนี้…
แต่นางรู้ว่าเสี่ยวป๋านจะต้องได้รับบาดเจ็บ และจนปัญญามากๆ….
เมื่อก่อนตอนที่มันบิน ยังร่วงหล่นลงมา…
อาการป่วยส่งผลกระทบต่อความสามารถในการบิน…
ตอนนี้
สิ่งเดียวที่นางสามารถช่วยเหลือเสี่ยวป๋านได้ ก็คืออยู่เคียงข้างมันอย่างเงียบๆ
จวนเฉิงเสี้ยง
เล่ยถิงพีลี่สองแม่ทัพใหญ่เข้าไปในสวนหลังบ้านของจวนเฉิงเสี้ยงอย่างลับๆ…
ประกายตาของถางเปิ่นขุยมีความทมิฬระริกอยู่ “เรื่องจัดการไปถึงไหนแล้ว”
จางเล่ยถิงกล่าว “เฉิงเสี้ยงโปรดวางใจ ได้วางแผนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว”
ถางเปิ่นขุยเอ่ย “หาคนพบแล้ว?”
จางเล่ยถิงพูด “ขอรับ หาผู้คัดเลือกที่เหมาะสมคนหนึ่งพบแล้ว เป็นขอทานเล็กๆ คนหนึ่ง ข้าน้อยได้ให้คนเผาสลักปานประทับบนฝ่าเท้าของนางเอาไว้แล้ว”
ถางเปิ่นขุยพยักหน้าพลางกล่าว “คนเล่า?”
“ได้จัดการให้ไปอยู่ในโกดังร้างแห่งหนึ่งในชนบทแล้วขอรับ”
ฎดี ดีมาก ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้าสองคนจัดการเรื่องได้ดีทีเดียว”
“ขอบคุณเฉิงเสี้ยงที่ชื่นชมมาก นี่คือสิ่งที่พวกเราสองพี่น้องควรทำ เฉิงเสี้ยงไม่ละเลยต่อพวกเรา พวกเราย่อมต้องเกล้าก้มพนมกรต่อเฉิงเสี้ยงเป็นธรรมดา”
“ดีมาก ขอเพียงพวกเรามีใจภักดี ข้าก็จะไม่มีวันปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีเป็นอันขาด”
“ขอบพระคุณเฉิงเสี้ยงเป็นอย่างมาก เฉิงเสี้ยง ข้าน้อยมีเรื่องไม่เข้าใจอยู่หนึ่งเรื่อง…”
“เจ้าจะถามเจ้าเหตุใดข้าถึงต้องหาทางรับมือกับนักบอดี้การ์ดทั้งสี่ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
จางเล่ยถิงพยักหน้า ก่อนกล่าว “วรยุทธ์ของนักบอดี้การ์ดทั้งสี่นี้แกร่งกล้านัก อีกทั้งยังมีจิตใจจงรักภักดีต่อเฉิงเสี้ยง คืนวันนั้นถ้าหากไม่ได้พวกเขาทั้งสี่คนปกป้องจากความตาย เกรงว่าพวกเราต่างก็หนีออกมาไม่ได้เป็นแน่ พวกเราทั้งสี่ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ ไฉนเฉิงเสี้ยงถึงไม่เก็บไว้ใช้ประโยชน์ ทำไมต้องขุดรากถอนโคนพวกเขาทั้งหมดด้วย”
เฉิงเสี้ยงหัวเราะเย็นชา “แต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเห็นเฉิงเสี้ยงคนนี้อยู่ในสายตา ตอนนี้พวกเขาภักดีต่อข้า ก็เพราะต้องใช้ประโยชน์จากอำนาจของข้าเฉิงเสี้ยงคนนี้ช่วยพวกเขาตามหาเจ้านายเท่านั้น ครั้นพวกเขาตามหาเจ้านายพบแล้ว ก็ไม่อาจขายจิตวิญญาณให้แก่ข้าได้อีกต่อไป”
จางเล๋ยถิงกล่าว “อันที่จริงเฉิงเสี้ยงสามารถหาเจ้านายปลอมๆ คนหนึ่งมาเป็นหุ่นเชิด เช่นนี้ก็สามารถเรียกใช้พวกเขาได้ตลอดไปแล้ว”
เฉิงเสี้ยงกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าคิดว่าตัวข้าไม่เคยคิดถึงวิธีนี้หรือ แต่ว่าพวกเจาจดจำเจ้านายว่ามีปานประทับสี่ดาวที่ฝ่าเท้า ใต้หล้าไพศาลขนาดนี้จะไปตามหาคนแบบนี้จากที่ไหนกัน ต่อให้ปลอมก็ปลอมได้ไม่เท่าไหร่ เผื่อถูกจับได้ภายหลัง ยิ่งวุ่นวายมากกว่าเก่า แทนที่จะรอถึงวันที่พวกเขาทรยศข้า ไม่สู้ข้าฉวยโอกาสนี้กำจัดพวกเขาสี่คน เพื่อเลี่ยงการก่อปัญหาภายหลังจะไม่ดีกว่าหรือ”
จางเล๋ยถิงกล่าว “ที่เฉิงเสี้ยงว่ามาก็มีเหตุผล พวกเราสี่คนยากจะปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังล่วงรู้ถึงตัวตนของเฉิงเสี้ยง เผื่อว่าหักหลัง ผลที่ตามมาคงจะเหนือคาดหมาย”
เฉิงเสี้ยงกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่ เจ้าวางใจเถิด ขอเพียงพวกเจ้าเล๋ยถิงพีลี่รับใช้ข้าอย่างภักดี ข้าก็ไม่อาจเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลได้เป็นแน่ ในใจของพวกเขาสี่คนไม่ได้มีเจ้านายอย่างข้าคนนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องแยแสเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์นายบ่าวด้วยแล้ว”
“ขอรับ เฉิงเสี้ยง ข้าน้อยคิดมากไปแล้ว”
ความคิดและความกังวลที่ถูกซ่อนเร้นของจางเล๋ยถิงถูกถางเปิ่นขุยมองทะลุ ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายนัก
ถางเปิ่นขุยเอ่ย “เจ้ารีบไปรายงานนักบอดี้การ์ดทั้งสี่โดยด่วน บอกว่าตามหาเจ้านายของพวกเขาพบแล้ว บอกพวกเขาว่าให้ไปที่โกดังร้างแถบชนบทในคืนนี้ รอพวกเขาสี่คนไปถึง ก็ลงมือได้ ให้พวกมันสี่คนตายอย่างไม่มีแผ่นดินฝัง”
จางเล๋ยถิงเอ่ย “แต่ว่าชีวหยุนคนนั้น ยังอยู่ที่จวนเฉินเปียวนะขอรับ”
ถางเปิ่นขุยกล่าว “ส่งคนไปรายงานนางต่างหาก จะต้องหว่านแหให้ครอบคลุม อย่าได้ขาดแม้แต่คนเดียว อย่าให้ปลายหลุดจากแหได้ เลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ”
“คืนนี้ ข้าอยากเห็นหัวงามๆ ของพวกมันนักบอดี้การ์ดทั้งสี่ พวกเจ้าสองคนนำทัพพลธนูและทหารมรณะชุดดำไปซุ่มโจมตีด้วยตนเองเสีย”
“ขอรับ เฉิงเสี้ยง”
“เอาหัวงามๆ ของพวกมันสี่คนมาพบข้า ไม่เช่นนั้นก็เอาหัวของพวกเขาแทน”
“เฉิงเสี้ยงโปรดวางใจ ด้วยแผนการและอุบายอันแยบยลเยี่ยงนี้ พวกมันจะต้องติดกับเป็นแน่ ปลอดภัยหายห่วง เฉิงเสี้ยงรอฟังข่าวดีได้เลยขอรับ”
หลังจากที่สองแม่ทัพออกไปจากจวนเฉิงเสี้ยง ถางเปิ่นขุยก็เดินไปยังโถงด้านหน้า คว้าหมับเข้าที่ป้าจางผู้แดลบ้าน
“ป้าจาง รีบร้อนไปทำอะไร”
“นายท่าน…นายท่าน…เอ่อ…”
“รีบพูด”
“เจ้าค่ะ นายท่าน คือว่าเป็นอย่างนี้ เมื่อครู่ในค่ายทหารส่งคนมาในจวน เพื่อเรียกร้องให้นายน้อยใหญ่กลับไปค่ายทหารเพื่อขอคืนตำแหน่งเจ้าค่ะ”
“คืนตำแหน่ง? เขาก็อยู่ค่ายทหารตลอดมิใช่หรือ”
ถางเปิ่นขุยถามด้วยความโกรธ
“นายท่าน ที่จริง นายน้อยใหญ่ออกจากค่ายทหารได้ครึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่านายน้อยรองปกปิดเรื่อยมา ค่ายทหารส่งคนมาเร่งหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งนายน้อยรองมักจะหาข้ออ้างเพื่อให้คนของค่ายทหารออกไป ครั้งนี้นายน้อยรองไม่อยู่ คนในค่ายทหารจึงไปหาผู้ว่าการในจวน เรื่องนี้จึงแดงขึ้นมาเจ้าค่ะ”
“นายน้อยรอง เขาไปไหนเล่า”
“นายน้อยรองไม่ได้กลับมาสี่วันสี่คืนแล้วเจ้าค่ะ…”
ในใจของถางเปิ่นขุย มีอารมณ์ที่ซับซ้อนและไม่สงบประเภทหนึ่งผุดขึ้น
เขาส่งคนไปสืบข่าวที่ร้านจี้โม่ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว และรู้ว่าถางเปิ่นหู่ยังไม่ตาย แต่เขาเองก็รู้ว่าถางเปิ่นหู่จะต้องจงเกลียดจงชังเขาแล้วแน่