บทที่ 265 อันธพาลผู้กดขี่ข่มเหงคนจน2
“นี่ก็คือคำถามข้อที่สาม คำถามข้อที่สามนั้นง่ายมาก ถ้าหากพวกเจ้าทั้งสองล้วนเป็นนักเดินเรือ หรือไม่ก็คนสิ่งสินค้า พวกเจ้าหวังว่าจะมีการงานอย่างไร” ซินเหยาเสนอคำถามที่แลกเปลี่ยนมุมมอง
ส้งชิงขบคิดอย่างขะมักเขม้น ก่อนกล่าว “ถ้าหากข้าเป็นคนเดินเรือ ข้าย่อมหวังว่าอยากจะมีเรือเป็นของตนเองสักลำ ขนส่งสินค้าก็สามารถได้รับเงินที่เป็นของตนเอง ไม่คาดหวังว่าจะได้เพียงเศษก้อนเงินอันน้อยนิดที่แลกกับความยากลำบาก”
หลัวเสี่ยวหู่เองก็ไตร่ตรองอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนเอ่ย “ถ้าหากข้าเป็นคนงานส่งสินค้าคนหนึ่ง…การขนส่งข้าวสารสิบกระสอบมีเงินสิบเหรียญ ข้าคงไม่คาดหวังให้หัวหน้าการท่าริบไปแปดเหรียญ อีกอย่างการจัดขนส่งสินค้าเป็นงานใช้กำลังแรงอย่างหนัก กลางวันทำงานแล้วทั้งวัน ยามดึกก็อยากพักผ่อน ตอนนี้คนงานจำนวนมากล้วนทำงานกลางวันกลางคืนโดยไม่หยุดพัก อีกไม่กี่ปีร่างกายก็ย่อมทรุดตัวลง ผลสุดท้ายแม้แต่เงินซื้อยาก็ยังไม่มี”
ซินเหยายิ้มและไม่เอ่ยคำ
ส้งชิงเห็นดังนั้น ก่อนกล่าวอย่างค่อนข้างรีบร้อน “อาจารย์ ท่านยิ้มอะไรเล่า ที่พวกเราพูดนั้นไม่เข้าท่าใช่หรือไม่ พวกเราพูดอะไรผิดแล้วหรือ แต่ว่าท่านต้องการให้พวกเราคิดถึงพวกเขาโดยยืนหยัดในมุมมองของพวกเขา นี่ก็คือสิ่งที่พวกเราจะทำอย่างไรเล่า”
หลัวเสี่ยวหู่เองก็คับแน่นมาก พวกเราพูดผิดแล้วกระนั้นหรือ
ซินเหยากล่าวพลางยิ้มบาง “สิ่งที่พวกเจ้าพูดมานั้นดีมากๆ ในเมื่อพวกเจ้าก็พูดออกมาเอง ก็ควรรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วกระมัง”
ในที่สุดส้งชิงก็เข้าใจความมุมานะของท่านอาจารย์แล้ว ก่อนพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางกล่าว “ท่านอาจารย์ ท่านวางใจ ข้าส้งชิงขอใช้หัวเป็นประกัน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าจะใช้ความหมั่นเพียรอย่างสุดความสามารถเพื่อไปช่วยเหลือคนยากจนเหล่านั้น วันพรุ่งข้าจะส่งลูกน้องสักสี่ห้าคนไปสอบถามคนงานเหล่านั้นที่ท่าเรือเสียหน่อย ทำความเข้าใจความคิดความอ่านอย่างเที่ยวแท้ในจิตใจของเขา รอจนพวกเรากำจัดเจ้าเฉินเปียวอันธพาลคนนี้ ก็จะนำท่าเรือและเรือเหล่านี้คืนให้กับคนจนผู้ถูกข่มเหง ให้พวกเขาจัดการด้วยตัวของพวกเขาเอง และจัดสรรเม็ดเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาด้วยตนเอง”
ซินเหยากล่าว “อย่างนี้ไม่ได้”
ส้งชิงกล่าว “เพราะเหตุใด”
หลัวเสี่ยวหู่ก็เอ่ย “ข้าเองก็คิดว่าไม่ได้ พวกเราขับไล่เฉินเปียวไปแล้ว ยังมีจางเปียว หวังเปียวมาอีก ทุกคนยังคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างดีกันหรอก”
ซินเหยาพยักหน้า “ความคิดของเสี่ยวหู่นี้ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าไม่เพียงแต่ต้องโค่นอันธพาล ยังต้องมอบอิสรภาพให้แก่คนจนและคนงานเหล่านั้นด้วย อีกทั้งยังพัฒนาระบบการจัดการอันสมบูรณ์และเป็นระบบซึ่งเรียกว่าสหภาพ ทุกอุตสาหกรรม ทุกอาณาเขตจะต้องมีสหภาพ สหภาพร่วมแรงกันก็เรียกว่าสหภาพแรงงานทั่วไป ด้วยการจัดการและสนับสนุนของสหภาพการค้า คนยากจนเหล่านั้นจะสามารถรับประกันได้ว่าเงินที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาจะไม่ถูกขูดรีด”
ส้งชิงลูบหัว และกล่าวอย่างคับแน่น “ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้พวกเราจัดตั้งสังคมยุคมืดหรอกหรือ ไฉนจึงกลายเป็นสหภาพแรงงานไปได้”
ซินเหยากล่าว “เด็กโง่” สังคมยุคมืดคือการล้มภูมิประเทศ สหภาพแรงงานคือการรับภูมิทัศน์ ก็เหมือนกับราชสำนัก คนที่ออกไปทำศึกเป็นพลทหาร แต่คนที่ปกครองกิจการบ้านเมืองของประเทศคือเจ้าหน้าที่พลเรือน เข้าใจหรือยัง”
ส้งชิงเอ่ย “แต่ว่าพวกเจ้าเหล่านี้ล้วนเป็นคนจน คนหยาบ ไม่เคยศึกษาร่ำเรียน และไม่ค่อยรู้หนังสือ ข้ายังดี พี่สาวเคยสอนข้าอ่านหนังสือ เมื่อก่อนขายหนังสือ ก็เคยอ่านหนังสือเด็กบ้างประปราย ให้ข้าเคยจดหมายง่ายๆ ฉบับหนึ่งยังยากแร้นแสนเข็ญ แต่ว่าหากให้ข้าเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนเหมือนกับเฉิงเสี้ยงคนหนึ่งไปปกครองสหภาพแรงงานนั้น ข้าจะมีความสามารถนั้นเสียที่ไหนกันเล่า”
ซินเหยาหัวเราะพลางเอ่ย “ผู้ใดให้เจ้าไปปกครองสหภาพแรงงาน พวกเจ้าเป็นเด็กเล็กๆ ออกไปสู้รบอย่างเต็มเหนี่ยวยังพอทน แต่ให้ไปปกครองสหภาพแรงงานจะต้องเป็นบุคลากรบริหารผู้มีประสบการณ์และความอดทน เจ้านั้นไม่ได้หรอก แต่ว่าพี่สาวของเจ้าจะต้องทำได้แน่นอน คุณหนูซ่งเป็นถึงคุณหนูผู้รอบคอบและมีความรอบรู้เป็นอย่างมากเชียวนะ”
ส้งชิงกล่าว “พี่สาว? นาง…นางเป็นผู้หญิง มันล่อแหลมเกินไป”
ซินเหยาจ้องเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “เจ้าอย่าได้เลือกดูแคลนสตรีเป็นอันขาด”
ส้งชิงค่อนข้างละอาย เขาลืมไปเลยว่าอาจารย์ของตนก็เป็นสตรีนางหนึ่ง
ซินเหยากล่าว “คุณหนูซ่งจะต้องปกครองได้เป็นอย่างดีแน่ แต่ว่านางเพียงคนเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ยังต้องการผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากมายในอุตสาหกรรมต่างๆ อีก แต่ว่าปัญหาข้อนี้พวกเจ้าไม่ต้องใส่ใจแล้ว ขอเพียงให้พวกเจ้าจำไว้ จุดประสงค์ของพวกเจ้าคือจะต้องจัดตั้งสำนักสังคมยุคมืดที่แกร่งกล้าแห่งหนึ่ง จะต้องมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องบรรดาคนยากไร้เหล่านั้น แต่ว่า ต้องให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมอย่างแท้จริง ก็จะต้องสร้างระบบสหภาพขึ้นมา ขอเพียงพวกเจ้าจำเรื่องนี้ไว้ ก่อนที่จะทำการใดๆ ให้ขบคิดปัญหาจากมุมมองของคนยากจน”
ส้งชิงพยักหน้า ก่อนกล่าว “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
กล่าวจบ จู่ๆ เขาก็คุกกายลง โขลกศีรษะให้แก่ซินเหยาดังปึกปัก
“ตึง ตึง ตึง”
เขาโขลกศีรษะดังติดต่อกันเก้าครั้ง
ซินเหยาพูดด้วยความตกใจ “จู่ๆ เจ้าคุกเข่าลงไปโขลกหัวทำอะไร ตอนคารวะอาจารย์ไม่ใช่ว่าโขลกไปแล้วรึ”
ส้งชิงมีสีหน้าอ่อนเยาว์แต่จริงจัง พลางกล่าว “ท่านอาจารย์ ท่านช่างเป็นนางฟ้ามาโปรดจริงๆ ข้าส้งชิงตอนที่คารวะอาจารย์โขลกศีรษะไปเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ข้าต้องทำเก้าครั้ง เพราะว่าครั้งนี้ข้าเป็นตัวแทนของคนยากไร้หลายพันคนทั่วหล้ามาขอบคุณท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ บางทีใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดสักคนรับรู้ความดีของท่าน รู้ถึงจิตใจอารีของท่าน รู้ถึงความเมตตากรุณาของท่าน แต่ว่าข้าส้งชิงรับรู้ ท่านอาจารย์ท่านเป็นเทพธิดาผู้เมตตา ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ของคนยากไร้ทั่วหล้า”
“ยังมีข้า ข้าหลัวเสี่ยวหู่ก็รับรู้ หลัวเสี่ยวหู่เองก็จะขอบพระคุณท่านอาจารย์แทนคนจนทั่วหล้าด้วย”
หลัวเสี่ยวหู่ได้ยินส้งชิงกล่าวเช่นนั้น ก็รีบร้อนคุกกายลงโขลกศีรษะทันใด
ซินเหยาอึ้งค้างเล็กน้อย เด็กสองคนนี้ช่างไร้เดียงสาโดยธรรมชาตินัก หวังว่าจากนี้ไปพวกเขาจะยังคงรักษาความไร้เดียงสานี้เอาไว้ เช่นนั้นประชาชนทั่วเมืองหลวงนี้ต่างก็เป็นบุญนักแล้ว
“เอาล่ะ พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด ความฝันที่ดีมากเพียงใด แต่ถ้าพูดอย่างเดียวก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้ารีบกลับไปเรียกกองกำลังฉี ไม่ต้องเรียกคนมามากนัก ใช่แล้ว ตอนนี้สำนักชิงหลงมีคนอยู่เท่าไหร่”
“สำนักหลักเมืองเขตใต้แปดร้อยกว่าคน สาขาย่อยเมืองเขตตะวันออกสามร้อยกว่าคน เมืองเขตเหนือก็มีกว่าสิบคน แต่ว่ายังไม่ได้จัดตั้งสาขาย่อย เมืองเขตใต้…ถูกเฉินเปียวทำลายลงแล้ว”
“หนึ่งพันกว่าคน? ยังไม่เพียงพอหรอก พวกเจ้าต้องสู้รบให้งดงามสักหลายศึก ต่อไปคนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เอง รู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนดินแดนอาณาเขตเล็กๆ อย่างฮ่องกง สังคมยุคมืดมีถึงหนึ่งแสนคนเชียวนะ”