บทที่ 301 วิธีเผด็จการ2
เหอเทียนจ้าวคุกเข่าลงพลางเอ่ยงึมงำ “ขอบพระทัยพระกรุณาของฝ่าบาท!”
เขาตึงเครียดตื่นเต้นเยี่ยงนี้ คำที่อยากเอ่ย จะต้องร้ายแรงยิ่งนักเป็นแน่
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “พูดมา”
เหอเทียนจ้าวคุกเข่ากล่าวอยู่บนพื้น “ฮ่องเต้ มิอาจแตะต้องจวนอ๋องโว๋ได้!”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “เพราะเหตุใด”
เหอเทียนจ้าวเอ่ย “มีสามเหตุผล!”
“เจ้าพูดมาดูสิว่ามีสามข้อไหนบ้าง ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกหรือไม่ ข้าล้วนอภัยเจ้าได้”
“ข้อหนึ่ง จวนอ๋องโจว๋ ครอบครองกำลังทหารทั่วหล้า เป็นกองกำลังสำคัญที่ยับยั้งต่างชนเผ่าและรักษาความมั่นคงในแนวชายแดน!”
“เหตุใดจึงมองว่าเป็นเยี่ยงนี้ ทหารของราชสำนักเทียบกับทหารของจวนอ๋องโจว๋ไม่ได้กระนั้นเชียวหรือ”
“มิใช่เยี่ยงนั้น!”
“เช่นนั้นเจ้าพูดเหตุผลนี้ออกมาทำไม เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้อำมหิตทรงกริ้วแล้ว ในน้ำคำก็ทั้งเย็นชาและเย็นเยียบ”
เหอเทียนจ้าวเป็นโศกนาฏกรรมดั่งหวนสู่บ้านเกิด รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดใจฮ่องเต้อำมหิต ก็ยังเอ่ยต่อไป “ถึงแม้จะผ่านไปแล้วหนึ่งร้อยปี!”
“แต่ตอนนั้นโจว๋เทียนหางองอาจไร้เทียมทาน พลังในการยับยั้งต่างชนเผ่าวันนี้ยังคงหยั่งรากฝังลึกในหัวใจของคนต่างเผ่าพันธุ์เหล่านั้นอยู่!”
“ดังนั้น ขอเพียงได้ยินเสียงทหารม้าของจวนอ๋องโจว๋ คนต่างชนเผ่าเหล่านั้นก็ล้วนรู้สึกเหมือนถูกข่มขู่ เคารพยำเกรง”
“ร้อยกว่าปีมานี้ราชสำนักไม่มีการสงคราม ทั้งในและนอกมั่นคง เป็นความดีความชอบของจวนอ๋องโจว๋อย่างเสียมิได้”
“บางทีฮ่องเต้อาจมิใคร่ฟังถ้อยคำนี้ แต่ว่ากระหม่อมยังขอเอ่ยอย่างอาจหาญ!”
“ทำลายจวนอ๋องโจว่แล้ว จะเป็นภัยไร้ผลประโยชน์ต่อราชสำนัก!”
เหอเทียนจ้าวพูดไปหยุดไป เอ่ยคำอย่างเฉียบแหลมและคมกริบ
การแสดงออกของฮ่องเต้อำมหิตนั้นเย็นชา ไร้ความรู้สึก ทำเพียงเอ่ยอย่างราบเรียบ “แล้วเหตุผลที่สองเล่า?”
เหอเทียนจ้าวเอ่ยคำ “เหตุผลข้อที่สอง จวนอ๋องโจว๋คือความซื่อสัตย์ภักดี เข้มงวดมีศักดิ์ศรี ความประพฤติละเอียดอ่อน มีสถานะและเกียรติภูมิอย่างยิ่งในใจของประชาชนทั่วไป ฮ่องเต้ฆ่าล้างบางจวนเฉิงเสี้ยง ประชาชนจะปรบมือชื่นชม ถูกอกถูกใจ”
“ถ้าหากทำลายจวนอ๋องโจว๋เล่า?”
“แต่ถ้าหากทำลายจวนอ๋องโจว๋ คงตกสู่คำตราหน้าว่าเป็นราชาเหลวไหลเท่านั้น!”
สีหน้าของฮ่องเต้อำมหิตยิ่งเพิ่มความปั้นยากเข้าไปอีก เงียบขรึมไม่เปล่งเสียงอย่างสมบูรณ์
เหอเทียนจ้าวกล่าวต่อ “และเหตุผลข้อที่สาม”
ฮ่องเต้อำมหิตไม่ได้แสดงความคิดเห็น
เหอเทียนจ้าวกลับคิดเสียว่าเขาแอบยอมรับกลายๆ จึงกล่าวอย่างองอาจ “ในบรรดาสามตระกูลใหญ่ ผู้ที่อุ่นหนาฝาคั่งมากที่สุดก็คือจวนเฉิงเสี้ยง ผู้ที่มีกองกำลังทางทหารแข็งแกร่งที่สุดคือจวนอ๋องโจว๋ แต่ว่าตระกูลที่คุกคามราชสำนักได้มากที่สุดกลับเป็นตระกูลป๋ายแห่งเจียงหนาน ขอประทานอภัยที่กระหม่อมบังอาจ แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงฝึกปรือวิทยายุทธ์จนกลายเป็นยอดฝีมือขั้นเก้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะต่อกรกับตระกูลป๋ายได้ ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะทำลายตระกูลป๋าย พระองค์ยังต้องพึ่งใบบุญความช่วยเหลือจากตระกูลโจว๋อยู่ และตระกูลโจว๋มีใจภักดีต่อราชสำนักมากที่สุด และเป็นความแข็งแกร่งที่ฝ่าบาททรงพึ่งพาได้ ด้วยเหตุนี้ จวนอ๋องโจว๋เฝ้าคุม มิอาจกดขี่ได้ นี่คือพระดำรัสเดิมของพระองค์”
เหอเทียนจ้าวกล่าวอย่างเฉียบคมและฉะฉาน แฝงกลิ่นอายห้าวหานของพลทหารอยู่กลายๆ
ถึงแม้ท่าทีของเขาจะเคารพยำเกรงเพียงนั้น ทว่าเนื้อหาของถ้อยวาจาเหล่านี้ แต่ละประโยคล้วนหักหน้าและทำลายศักดิ์ศรีของฮ่องเต้อย่างถึงที่สุด
นัยน์เนตรของฮ่องเต้อำมหิตฉายแววเข่นฆ่าอันรุนแรง แต่ว่าแววเพชรฆาตนี้กลับจางหายไปในพริบตา
ไม่นานก็มลายหายไป
จู่ๆ เขาก็กระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “นักอาคมทั้งสองท่าน”
นักอาคมทั้งฝั่งซ้ายขวารีบรุดหน้ามารับบัญชาทันใด
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวอย่างเย็นเยียบ “พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากท่านแม่ทัพเหอ เขารู้ทั้งรู้ว่าการกบฏต่อข้าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษถึงตาย แต่เพื่อราชสำนักและเพื่อข้า เขาไม่กลัวถูกตัดหัว ทั้งยังกล่าววาจาเถรตรงซื่อสัตย์ ถ้าหากพวกเจ้าสองคน วันหน้าคิดจะประสบสอพลอกับข้าอีก ข้าจะขับไล่ปีศาจทรราชอย่างพวกเจ้าสองคนออกจากวังหลวงเสีย”
“ขอรับ ขอรับ ฝ่าบาทผู้ทรงพระปรีชา”
นักอาคมทั้งสองขวัญกระเจิงจนตายไปครึ่งหนึ่ง
พวกเขาทั้งสองคนแทบจะไม่มีความสามารถอะไรเลย และไม่มีอำนาจหนุนหลังใดๆ…
สิ่งที่พึ่งพาก็คือการใช้คำเยินยอประจบประแจง หลอกล่อต้มตุ๋นไปวันๆ
แต่ว่าก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้อำมหิตต้องการข้าราชบริพารที่ประสบฉอเลาะเช่นนี้ไว้ข้างกาย เอาไว้ล่อลวงตบตาเหล่าขุนนางใหญ่ที่ริษยาและทะเยอทะยาน และต้องการมาไว้ลวงหลอกประชาชนไร้เดียงสาทั่วหล้า
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมกล่องเหล็กกล่องหนึ่งที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ถึงได้ถูกนักอาคมและราชสำนักคุยโวว่าเป็นกล่องเทพเจ้าประหลาด…
อันที่จริงฮ่องเต้อำมหิตเองไม่เชื่อว่ากล่องเหล็กกล่องนั้นจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเซียนใดๆ หรอก
บางทีอาจจะเป็นสมบัติที่แปลกพิสดาร…
แต่ว่าของศักดิ์สิทธิ์?
ลืมไปเสียเถิด
ใครก็ไม่เคยเห็นลักษณะว่าเทพเซียนมีรูปร่างอย่างไร
ฮ่องเต้อำมหิตเชื่อว่ามนุษย์เท่านั้นที่เอาชนะลิขิตฟ้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยศรัทธาเทพเซียนอะไรเลย
สิ่งเดียวที่เขาเชื่อในเทพเจ้า นั่นก็คือเทพเจ้าสามารถหลอกลวงประชาชนให้งมงาย คุยโวถึงความเอาใจใส่ของเทพเจ้า ความคิดงมงายที่เชื่อเรื่องโชคลางจำพวกโอรสธิดาสวรรค์ สามารถทำให้ประชาชนภักดีต่อกฎของราชสำนัก ไม่ปันใจเป็นสองเท่านั้นแหละ
ตอนนี้ เขามีกำลังมากพอที่จะทำให้ดินแดนมั่นคง ตำแหน่งสถานะในวังของนักอาคมทั้งสองคนนี้ก็ลดระดับลง…
สิ่งเดียวที่ทำให้ฮ่องเต้อำมหิตยังทนต่อพวกเขาได้ ก็มีเพียงแค่นักอาคมของสองคนนี้สามารถต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชนได้ก็เท่านั้น
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “เหอเทียนจ้าว เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ารู้เสมอมาว่าเจ้าเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญ ข้าจะกล้าสังหารคนที่มีใจภักดีต่อข้ากระนั้นเชียว? ทุกถ้อยวาจาที่เจ้าพูดมาทั้งหมดล้วนมีเหตุผล แต่ว่า ข้านั้นมีแผนการของข้าเอง แผนการพวกนี้ยังบอกกับพวกเจ้าไม่ได้ชั่วคราว และพวกเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ พวกเจ้าแค่ต้องทำสิ่งต่างๆ ภายในขอบเขตหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดีเท่านั้นพอ จวนอ๋องโจว๋ ข้าจะทำลายล้างแน่นอน ภายในเวลาหนึ่งเดือน จวนอ๋องโจว๋ก็จะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้”
เหอเทียนจ้าวกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่เข้าใจ ในบรรดาสามตระกูลชั้นสูง จวนอ๋องโจว๋นั้นมีใจภักดีต่อฮ่องเต้ และมีเกียรติยศชื่อเสียงสูงส่งในหมู่ประชาชน เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้จัดการกับจวนอ๋องโจว๋เยี่ยงนี้”
“ยิ่งพวกเขาภักดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้หัวใจของประชาชนมากเท่านั้น บารมีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไรมาข้าไม่เคยเห็นจวนเฉิงเสี้ยงอยู่ในสายตาเลยสักนิด ศัตรูที่คุกคามข้าอย่างแท้จริง มีเพียงจวนอ๋องโจว๋เท่านั้น”
ในสายตาของฮ่องเต้อำมหิตผุดแววแข็งกร้าวอย่างเข้มข้น
หลังออกจากท้องพระโรง ท้องนภาก็มืดสงัดแล้ว
ท่ามกลางวังหลวง ความโดดเดี่ยวถาโถมอย่างเย็นยะเยือก